ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยตัวเลือกหลากหลายและความซับซ้อน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าฟิวเจอร์ กลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งมือโปรและมือสมัครเล่น ด้วยโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงพร้อมกับการจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมุมของฟิวเจอร์ ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน วิธีการทำงาน ส่วนประกอบหลัก การซื้อขายในตลาด TFEX หรือ Thailand Futures Exchange ไปจนถึงการเปรียบเทียบกับออปชั่น และเคล็ดลับการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสำหรับนักลงทุนชาวไทย

ฟิวเจอร์ คืออะไร? นิยามและหลักการพื้นฐานของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ฟิวเจอร์ หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นรูปแบบหนึ่งของตราสารอนุพันธ์ที่มูลค่าขึ้นอยู่กับราคาของสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต สิ่งที่ทำให้สัญญานี้โดดเด่นคือการตกลงกันระหว่างคู่สัญญาว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์นั้นในวันที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ด้วยราคาที่ตกลงกันตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์จริงในทันที แต่เป็นการผูกมัดให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องทำตามข้อตกลงนั้นๆ
ในประเทศไทย การซื้อขายฟิวเจอร์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในตลาดซื้อขายล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ TFEX ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ตลาดนี้ช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์และอนุพันธ์อื่นๆ ให้กับนักลงทุนทั่วไป (TFEX Education)

ทำไมต้องมี Futures? วัตถุประสงค์และประโยชน์หลักในการลงทุน
สัญญาฟิวเจอร์ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดการเงินหลายด้าน โดยสามารถแบ่งวัตถุประสงค์หลักออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่
* **การป้องกันความเสี่ยง (Hedging):** ช่วยให้นักลงทุนหรือธุรกิจลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา เช่น ผู้ส่งออกที่คาดว่าจะได้เงินต่างประเทศในอีกสามเดือนข้างหน้า อาจใช้สัญญาฟิวเจอร์สกุลเงินเพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ป้องกันกรณีที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยไม่คาดคิด หรือเกษตรกรที่ขายสัญญาฟิวเจอร์สินค้าเกษตรเพื่อล็อกราคาผลผลิตในอนาคต แม้ราคาตลาดจะผันผวนอย่างไร
* **การเก็งกำไร (Speculation):** เปิดช่องทางให้ผู้ลงทุนทำกำไรจากแนวโน้มราคา โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง เพียงวางเงินหลักประกันส่วนหนึ่งของมูลค่าสัญญา ก็สามารถเข้าท่าทีซื้อ (Long Position) ในตลาดขาขึ้น หรือขาย (Short Position) ในตลาดขาลงได้ สิ่งนี้สร้างอัตราทดที่สูง นำไปสู่ผลตอบแทนมหาศาล แต่ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับการขับรถเร็วที่ทั้งตื่นเต้นและอันตราย
* **การทำกำไรจากส่วนต่างราคา (Arbitrage):** ใช้ประโยชน์จากช่องว่างราคาระหว่างตลาดต่างๆ เช่น ถ้าราคาสินทรัพย์ในตลาดสปอตกับตลาดฟิวเจอร์ห่างกันมาก ผู้ลงทุนอาจซื้อในตลาดถูกแล้วขายในตลาดแพง เพื่อเก็บส่วนต่างนั้นเป็นกำไร โดยไม่ต้องกังวลทิศทางตลาดโดยรวม

ส่วนประกอบสำคัญของสัญญา Futures ที่ควรรู้
ก่อนจะลงมือลงทุน การรู้จักส่วนประกอบหลักของสัญญาฟิวเจอร์จะช่วยให้คุณเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร และส่งผลต่อมูลค่าอย่างไรบ้าง แต่ละส่วนล้วนเชื่อมโยงกันเพื่อกำหนดเงื่อนไขการซื้อขาย
* **สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset):** สินทรัพย์ที่เป็นฐานของสัญญา เช่น ดัชนี SET50 สำหรับ SET50 Index Futures ทองคำสำหรับ Gold Futures น้ำมัน หุ้นรายตัว สกุลเงิน หรืออัตราดอกเบี้ย ราคาสัญญาจะเคลื่อนไหวตามสินทรัพย์นี้โดยตรง
* **ราคาใช้สิทธิ / ราคาอ้างอิง (Strike Price / Reference Price):** ราคาที่ตกลงกันไว้สำหรับการซื้อขายสินทรัพย์ในวันหมดอายุ เป็นจุดกำหนดว่ากำไรหรือขาดทุนจะคำนวณอย่างไร
* **วันหมดอายุ (Expiration Date):** วันที่สัญญาสิ้นสุดและต้องชำระบัญชี ใน TFEX ส่วนใหญ่ใช้การชำระด้วยเงินสด ไม่ต้องส่งมอบสินทรัพย์จริง ทำให้สะดวกสำหรับนักลงทุนทั่วไป
* **ขนาดสัญญา (Contract Size):** ปริมาณสินทรัพย์ต่อหนึ่งสัญญา เช่น SET50 Futures หนึ่งสัญญาอาจเท่ากับ 200 บาทคูณด้วยดัชนี SET50 หรือ Gold Futures หนึ่งสัญญาเท่ากับทองคำ 10 บาท ช่วยกำหนดมูลค่ารวมของการลงทุน
* **หลักประกัน (Margin):** เงินที่ต้องฝากกับโบรกเกอร์เพื่อรับประกันการปฏิบัติตามสัญญา แบ่งเป็นหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) ที่วางตอนเปิดสถานะ และหลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) ที่เป็นระดับต่ำสุด หากต่ำกว่านี้จะถูกเรียกเติมเงินเพิ่ม (Margin Call) เพื่อกลับไปสู่ระดับเริ่มต้น
Futures เทรดอย่างไร? กลไกการซื้อขายและขั้นตอนเบื้องต้นในตลาด TFEX
การเทรดฟิวเจอร์ในไทยดำเนินผ่าน TFEX ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด ขั้นตอนเริ่มต้นไม่ยุ่งยากนัก แต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม
1. **เปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์:** เลือกโบรกเกอร์ที่เป็นสมาชิก TFEX เช่น InnovestX หรือ บล.บัวหลวง แล้วยื่นเอกสารเปิดบัญชี
2. **วางหลักประกัน:** ฝากเงิน Initial Margin ตามที่โบรกเกอร์กำหนด ซึ่งขึ้นกับประเภทสัญญา
3. **ส่งคำสั่งซื้อขาย:** ใช้แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์เพื่อเปิด Long (ซื้อ) หรือ Short (ขาย) สัญญา
สำหรับการคำนวณกำไรขาดทุน:
* **Long Position:** ถ้าคาดว่าราคาขึ้น เปิดซื้อแล้วขายปิดเมื่อราคาสูงขึ้นเพื่อล็อกกำไร
* **Short Position:** ถ้าคาดว่าราคาลง เปิดขายก่อนแล้วซื้อคืนเมื่อราคาต่ำลง
ตัวอย่างสมมติสำหรับ SET50 Futures (Series M24) ขนาดสัญญา 200 บาทต่อจุด:
* หลักประกันขั้นต้น: 10,000 บาท
* หลักประกันรักษาสภาพ: 7,000 บาท
สมมติ นักลงทุน A เชื่อว่าดัชนี SET50 จะขึ้น จึง Long 1 สัญญาที่ 850 จุด
1. ใช้เงินเปิดสถานะ: 10,000 บาท
2. ถ้าทำกำไร: ดัชนีขึ้นเป็น 860 จุด ขายปิด กำไร = (860 – 850) x 200 = 2,000 บาท
3. ถ้าขาดทุน: ดัชนีลงเป็น 820 จุด ขาดทุนลอย = (850 – 820) x 200 = 6,000 บาท หลักประกันเหลือ 4,000 บาท ซึ่งต่ำกว่า 7,000 บาท จึงถูก Margin Call ให้เติมอย่างน้อย 3,000 บาท หรือตามนโยบายโบรกเกอร์
ตลาดฟิวเจอร์มีสภาพคล่องสูง ทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง แต่ความเสี่ยงจากอัตราทดทำให้ต้องระวัง (ข้อมูล SET50 Futures จาก SET)
ความแตกต่างระหว่าง Futures และ Options: เลือกแบบไหนดี?
ทั้งฟิวเจอร์และออปชั่นเป็นตราสารอนุพันธ์ยอดฮิตใน TFEX แต่พื้นฐานต่างกันมาก นักลงทุนควรชั่งน้ำหนักเพื่อเลือกให้ตรงกับสไตล์และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
| คุณสมบัติ | ฟิวเจอร์ (Futures) | ออปชั่น (Options) |
| :—————- | :—————————————————- | :——————————————————- |
| **ภาระผูกพัน** | ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีภาระผูกพันต้องปฏิบัติตามสัญญา | ผู้ซื้อมีสิทธิ แต่ไม่มีภาระผูกพัน, ผู้ขายมีภาระผูกพัน |
| **สิทธิ/หน้าที่** | สัญญาบังคับให้ซื้อ/ขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต | ผู้ซื้อมีสิทธิที่จะซื้อ/ขาย, ผู้ขายมีหน้าที่ต้องทำตามสิทธิ |
| **ความเสี่ยงสูงสุด** | ไม่จำกัด (ขึ้นอยู่กับราคาที่เปลี่ยนแปลง) | ผู้ซื้อ: จำกัดที่ค่าพรีเมียม, ผู้ขาย: ไม่จำกัด |
| **ผลตอบแทนสูงสุด** | ไม่จำกัด | ผู้ซื้อ: ไม่จำกัด, ผู้ขาย: จำกัดที่ค่าพรีเมียม |
| **เงินที่ใช้เริ่มต้น** | หลักประกัน (Margin) | ค่าพรีเมียม (Premium) สำหรับผู้ซื้อ, หลักประกันสำหรับผู้ขาย |
| **Margin Call** | มี (หากหลักประกันต่ำกว่า Maintenance Margin) | ผู้ซื้อไม่มี, ผู้ขายมี |
| **การใช้ประโยชน์** | ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไรในทิศทางราคา | ป้องกันความเสี่ยง, เก็งกำไรในทิศทางและระดับราคา, สร้างรายได้ (ผู้ขาย) |
**เลือกแบบไหนดี?**
* **เลือก Futures หาก:** คุณมั่นใจในทิศทางราคาชัดเจน ต้องการอัตราทดสูงเพื่อผลตอบแทนเร็ว ชอบป้องกันความเสี่ยงแบบผูกมัด และพร้อมรับมือ Margin Call ด้วยวินัยที่ดี
* **เลือก Options หาก:** อยากจำกัดความเสี่ยงแค่ค่าพรีเมียมในฐานะผู้ซื้อ ต้องการความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ คาดการณ์ทั้งทิศทาง ระดับราคา และเวลา หรืออยากสร้างรายได้จากการขายพรีเมียมแต่เข้าใจความเสี่ยงไม่จำกัด
บางครั้งนักลงทุนผสมทั้งสองเพื่อกลยุทธ์ขั้นสูง เช่น ใช้ออปชั่นลดความเสี่ยงจากฟิวเจอร์
ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการเทรด Futures (พร้อมคำแนะนำสำหรับมือใหม่)
แม้ฟิวเจอร์จะให้ผลตอบแทนสูง แต่ความเสี่ยงก็รุนแรงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะมือใหม่ที่ต้องเรียนรู้การจัดการเพื่อไม่ให้พลาดท่า
* **ความเสี่ยงจากอัตราทด (Leverage Risk):** ควบคุมสัญญามูลค่าสูงด้วยเงินน้อย ถ้าผิดทางนิดเดียว ขาดทุนอาจเกินหลักประกันได้ง่ายๆ
* **ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด (Market Volatility Risk):** ราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรง สร้างกำไรหรือขาดทุนมหาศาลในพริบตา
* **ความเสี่ยงจากการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call Risk):** ถ้าหลักประกันต่ำเกิน โบรกเกอร์เรียกเติม ถ้าเติมไม่ทัน อาจถูกบังคับปิดสถานะ
* **ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk):** สัญญาบางตัวสภาพคล่องต่ำ ยากต่อการเข้า-ออกในราคาที่ต้องการ โดยเฉพาะช่วงตลาดไม่คึกคัก
**คำแนะนำสำหรับมือใหม่:**
1. **ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้:** ใช้เวลาอ่านหลักการ ความเสี่ยง และกลยุทธ์ให้ละเอียดก่อนลงสนามจริง (ข้อมูลการลงทุนในฟิวเจอร์จาก ก.ล.ต.)
2. **เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย:** ใช้เงินที่ยอมเสียได้ อย่าทุ่มหมด แล้วค่อยเพิ่มเมื่อชำนาญ
3. **กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss):** เครื่องมือสำคัญในการจำกัดขาดทุนไม่ให้เกินตัว
4. **ควบคุมขนาดการลงทุน (Position Sizing):** ลงทุนทีละน้อยให้เหมาะกับทุนและความเสี่ยงที่รับไหว
5. **มีแผนการเทรดที่ชัดเจน:** กำหนดจุดเข้า-ออก จุดกำไร-ขาดทุน แล้วยึดแผน ไม่ปล่อยให้อารมณ์นำ
6. **ระวังจิตวิทยาการลงทุน:** หลีกเลี่ยงกับดักอย่างกลัว โลภ ไล่ราคา หรือถัวเฉลี่ยขาดทุน ต้องมีสติเสมอ
7. **ใช้เครื่องมือช่วย:** ฝึกวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานเพื่อตัดสินใจดีขึ้น เช่น ดูกราฟหรือข่าวเศรษฐกิจที่กระทบสินทรัพย์
สรุป: ฟิวเจอร์ คือ เครื่องมือทางการเงินที่ต้องศึกษาให้ดีก่อนลงทุน
ฟิวเจอร์คือเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลัง ช่วยป้องกันความเสี่ยง เก็งกำไร หรือทำกำไรจากช่องว่างราคา ด้วยอัตราทดที่สูง มันดึงดูดใจนักลงทุนด้วยโอกาสผลตอบแทน แต่ความเสี่ยงก็สูงไม่น้อย โดยเฉพาะมือใหม่ที่อาจพลาดเพราะขาดประสบการณ์
สิ่งสำคัญคือเข้าใจพื้นฐาน ส่วนประกอบ การซื้อขายใน TFEX ความต่างจากออปชั่น และการบริหารความเสี่ยง เช่น ตั้ง Stop Loss ควบคุมขนาดลงทุน และมีวินัย นี่คือกุญแจสู่ความสำเร็จระยะยาว จำไว้ว่าการลงทุนใดๆ ก็มีความเสี่ยง ศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนเริ่มเสมอ
ฟิวเจอร์ (Futures) กับ ออปชั่น (Options) ต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างหลักคือ ภาระผูกพัน: ผู้ซื้อและผู้ขายฟิวเจอร์มีภาระผูกพันต้องซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงตามสัญญา ในขณะที่ผู้ซื้อออปชั่นมีเพียงสิทธิที่จะซื้อหรือขาย แต่ไม่มีภาระผูกพัน หากไม่ใช้สิทธิก็จะเสียเพียงค่าพรีเมียมที่จ่ายไป ส่วนผู้ขายออปชั่นมีภาระผูกพันต้องทำตามสิทธิของผู้ซื้อ
การเทรดฟิวเจอร์สใน TFEX ต้องใช้เงินเท่าไหร่ (หลักประกัน)?
จำนวนเงินที่ต้องใช้เริ่มต้นคือ หลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) ซึ่งกำหนดโดย TFEX และโบรกเกอร์ โดยจะแตกต่างกันไปตามประเภทของสัญญา (เช่น SET50 Futures, Gold Futures) และมูลค่าของสินทรัพย์อ้างอิง ณ เวลานั้น ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบหลักประกันล่าสุดได้จากเว็บไซต์ TFEX หรือโบรกเกอร์ที่ใช้บริการ
มือใหม่ควรเริ่มต้นเทรดฟิวเจอร์สอย่างไร และต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง?
มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการ ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ทำความเข้าใจความเสี่ยง ฝึกฝนในบัญชีจำลอง (Paper Trading) ก่อน และเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย คุณสมบัติหลักคือต้องมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีความเข้าใจในการลงทุน และเปิดบัญชีซื้อขายอนุพันธ์กับโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาต
ฟิวเจอร์สมีประเภทใดบ้างที่นิยมในตลาด TFEX? (เช่น SET50 Futures, Gold Futures)
ฟิวเจอร์สที่นิยมใน TFEX ได้แก่ SET50 Index Futures (อ้างอิงดัชนี SET50), Gold Futures (อ้างอิงราคาทองคำแท่ง), Single Stock Futures (อ้างอิงหุ้นรายตัว), Currency Futures (อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยน) และ Interest Rate Futures (อ้างอิงอัตราดอกเบี้ย)
ความเสี่ยงหลักของการลงทุนในฟิวเจอร์สคืออะไร และมีวิธีบริหารจัดการอย่างไร?
ความเสี่ยงหลักคือ ความเสี่ยงจากอัตราทดสูง (Leverage) ทำให้กำไรขาดทุนรุนแรง, ความผันผวนของตลาด, และ Margin Call (ถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม) วิธีบริหารจัดการ ได้แก่ การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss), การควบคุมขนาดการลงทุน (Position Sizing), การมีแผนการเทรดที่ชัดเจน, และการไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ
สามารถทำกำไรจากการเทรดฟิวเจอร์สได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลงจริงหรือไม่?
จริง คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งสองทิศทาง หากคาดว่าราคาจะขึ้น คุณสามารถเปิดสถานะซื้อ (Long Position) และขายทำกำไรเมื่อราคาขึ้น แต่หากคาดว่าราคาจะลง คุณสามารถเปิดสถานะขาย (Short Position) และซื้อคืนทำกำไรเมื่อราคาลง
การเปิดบัญชีซื้อขายฟิวเจอร์สในประเทศไทยมีขั้นตอนอย่างไร?
ขั้นตอนโดยทั่วไปคือ:
- ติดต่อบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่เป็นสมาชิกของ TFEX
- กรอกเอกสารเปิดบัญชีและยื่นเอกสารประกอบ
- ทำแบบประเมินความเสี่ยงและทดสอบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในอนุพันธ์
- เมื่อบัญชีได้รับการอนุมัติ จะสามารถวางหลักประกันและเริ่มเทรดได้
ค่าคอมมิชชั่น (ค่าธรรมเนียม) ในการเทรดฟิวเจอร์สคิดอย่างไร?
ค่าคอมมิชชั่นจะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์ โดยทั่วไปจะคิดเป็น บาทต่อสัญญา หรือเป็น เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสัญญา และอาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่เรียกเก็บโดย TFEX และสำนักหักบัญชี ผู้ลงทุนควรสอบถามรายละเอียดจากโบรกเกอร์โดยตรง
มีข้อควรระวังหรือสิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเทรดฟิวเจอร์สบ้างไหม?
ข้อควรระวังหลักคือ อย่าลงทุนเกินตัว ทำความเข้าใจ ความเสี่ยง ของอัตราทดและ Margin Call ให้ดี ควรมีเงินสำรองเผื่อสภาพคล่อง และเรียนรู้การใช้โปรแกรมเทรดให้คล่องแคล่ว นอกจากนี้ ควรติดตามข่าวสารและปัจจัยที่มีผลต่อสินทรัพย์อ้างอิงอย่างสม่ำเสมอ และระวังการเทรดตามข่าวลือ
ฟิวเจอร์สเหมาะกับนักลงทุนประเภทใด?
ฟิวเจอร์สเหมาะกับนักลงทุนที่:
- มีความรู้ความเข้าใจ ในตลาดการเงินและอนุพันธ์เป็นอย่างดี
- สามารถรับความเสี่ยงสูงได้ และมีแผนบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน
- มีเวลาติดตามตลาด และสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
- ต้องการใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยง ให้กับพอร์ตการลงทุนหลัก
- ต้องการเก็งกำไร จากการเคลื่อนไหวของราคาด้วยอัตราทด