ภาวะ Stagflation คืออะไร? ทำความเข้าใจนิยามและลักษณะสำคัญ
นิยามของ Stagflation: เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะงักงัน และอัตราการว่างงานสูง
ภาวะ Stagflation เกิดจากการผสมผสานระหว่างคำว่า stagnation หรือเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง กับ inflation หรือเงินเฟ้อ ซึ่งบรรยายถึงสถานการณ์ที่เศรษฐกิจเผชิญปัญหาหลักสามด้านพร้อมกัน นั่นคือเงินเฟ้อที่พุ่งสูง เศรษฐกิจที่เติบโตช้า และการว่างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง

- เงินเฟ้อสูง: ราคาสินค้าและบริการทั่วไปขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่าของเงินลดลง ผู้คนจึงซื้อของได้น้อยลงด้วยเงินจำนวนเดิม
- เศรษฐกิจชะงักงัน: การขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ในเกียร์ต่ำหรือแทบไม่ขยับเลย เมื่อดูจากตัวเลข GDP ที่น่าเป็นห่วง
- อัตราการว่างงานสูง: จำนวนคนที่หางานทำไม่ได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจต่างๆ ชะลอการผลิตและลดการจ้างพนักงาน
ปกติแล้ว เงินเฟ้อสูงมักมาพร้อมกับเศรษฐกิจที่รุ่งเรืองและการว่างงานต่ำ แต่ในกรณีของ Stagflation สิ่งเหล่านี้กลับขัดแย้งกัน ทำให้หน่วยงานกำหนดนโยบายต้องปวดหัวกับทางเลือกที่ยากเย็น
Stagflation แตกต่างจาก Recession และ Inflation ทั่วไปอย่างไร?
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูการเปรียบเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดกัน
| ภาวะเศรษฐกิจ | เงินเฟ้อ | การเติบโตทางเศรษฐกิจ | อัตราการว่างงาน |
|---|---|---|---|
| เงินเฟ้อทั่วไป | สูง | สูง/ดี | ต่ำ |
| ภาวะเศรษฐกิจถดถอย | ต่ำ/ติดลบ (เงินฝืด) | ต่ำ/ติดลบ | สูง |
| ภาวะ Stagflation | สูง | ต่ำ/ชะงักงัน | สูง |
จุดเด่นที่ทำให้ Stagflation แตกต่างคือ มันสร้างภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้กับธนาคารกลางและรัฐบาล ถ้าพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาว่างงาน เงินเฟ้ออาจยิ่งรุนแรง แต่ถ้าคุมเงินเฟ้อด้วยนโยบายเข้มงวด เศรษฐกิจก็อาจยิ่งซบเซาและคนตกงานเพิ่ม
ย้อนรอยประวัติศาสตร์: Stagflation ครั้งสำคัญในยุค 1970s
วิกฤตการณ์น้ำมันและการช็อกซัพพลาย
หนึ่งในตัวอย่างคลาสสิกของ Stagflation ที่เกิดขึ้นทั่วโลกคือในช่วงปี 1970s โดยเฉพาะวิกฤตน้ำมันที่เขย่าวงการ สาเหตุหลักมาจากการที่องค์กร OPEC จำกัดการผลิตและขึ้นราคาน้ำมันอย่างฉับพลันในปี 1973 เพื่อตอบโต้การที่ชาติตะวันตกสนับสนุนอิสราเอล สิ่งนี้กลายเป็น supply shock ที่รุนแรง

ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงกระทบแบบโดมิโน่ไปยังทุกภาคส่วน เพราะน้ำมันเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการผลิตและขนส่ง เมื่อต้นทุนเพิ่ม ธุรกิจต้องปรับราคาสินค้าขึ้นเพื่อรักษากำไร ส่งผลให้เงินเฟ้อแผ่ขยาย ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง เศรษฐกิจทั่วโลกจึงชะงักและการว่างงานพุ่งในหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ และอังกฤษ
บทเรียนจากนโยบายการเงินและการคลังในอดีต
ในยุคนั้น หน่วยงานต่างๆ ลองใช้นโยบายหลากหลายแต่ไม่ค่อยเวิร์คเท่าที่หวัง เริ่มต้นด้วยการคลายนโยบายการเงิน เช่น ลดดอกเบี้ยและเพิ่มเงินในระบบเพื่อลดการว่างงาน แต่กลับยิ่งจุดชนวนเงินเฟ้อให้แรงขึ้น
ต่อมา เมื่อเงินเฟ้อลุกลาม Paul Volcker ประธานเฟดสหรัฐฯ ตัดสินใจใช้มาตรการเข้มงวดสุดขีด โดยขึ้นดอกเบี้ยสูงลิ่วในช่วงปลาย 1970s ถึงต้น 1980s แม้จะทำให้เศรษฐกิจถดถอยชั่วคราวและคนตกงานเพิ่ม แต่สุดท้ายก็ควบคุมเงินเฟ้อได้ และปูทางให้เศรษฐกิจฟื้นตัวยั่งยืน บทเรียนที่ได้คือ ต้องให้ความสำคัญกับการสกัดเงินเฟ้อก่อน และนโยบายแบบค่อยๆ ทำอาจไม่พอสำหรับปัญหาที่หนักหน่วงแบบนี้
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะ Stagflation
Stagflation มักเกิดจากปัจจัยหลายอย่างที่มาบวกกัน ทั้งจากฝั่งอุปทานและอุปสงค์ รวมถึงการตัดสินใจของรัฐ

ปัญหาจากฝั่งอุปทาน (Supply Shocks)
ตัวกระตุ้นหลักมักมาจาก supply shock ที่ทำให้ต้นทุนผลิตพุ่งโดยไม่เกี่ยวกับความต้องการที่เพิ่ม เช่น
- ราคาพลังงานที่พุ่ง: โดยเฉพาะน้ำมันที่เป็นหัวใจของการผลิตและขนส่ง เมื่อราคาขึ้น ต้นทุนทั้งระบบก็สูงตาม สร้าง cost-push inflation
- ห่วงโซ่อุปทานสะดุด: อย่างที่เห็นหลังโควิด การผลิตและขนส่งติดขัด สินค้าขาดตลาด ราคาจึงทะยาน
- ขาดแคลนวัตถุดิบหรือแรงงาน: สงครามหรือภัยธรรมชาติอาจหยุดแหล่งวัตถุดิบสำคัญ หรือการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานที่ทำให้ขาดคนเก่ง
ปัจจัยด้านอุปสงค์และนโยบายภาครัฐ
นอกจาก supply shock แล้ว นโยบายรัฐก็อาจทำให้เรื่องแย่ลง
- นโยบายการเงินหลวมเกิน: ถ้าธนาคารกลางลดดอกเบี้ยหรือพิมพ์เงินมากเพื่อกระตุ้น อาจจุดเงินเฟ้อโดยที่เศรษฐกิจไม่โตจริง
- นโยบายการคลังไม่ระวัง: การใช้จ่ายรัฐบาลฟุ่มเฟือยโดยไม่จัดการดี อาจนำไปสู่ขาดดุลงบและหนี้เพิ่ม ซึ่งกระตุ้นเงินเฟ้อ
- แทรกแซงตลาดแรงงาน: การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำกะทันหันหรือการผูกขาดในตลาดงาน อาจเพิ่มต้นทุนผลิตโดยที่ประสิทธิภาพไม่ตามทัน
ผลกระทบของ Stagflation ต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวัน
ผลกระทบต่อผู้บริโภคและกำลังซื้อ
Stagflation กระทบผู้บริโภคตรงๆ ในหลายมุม
- กำลังซื้อหด: เงินเฟ้อพุ่งแต่รายได้ไม่ตาม ทำให้เงินในกระเป๋าซื้อของได้น้อยลง
- ค่าครองชีพพุ่ง: สินค้าจำเป็นอย่างอาหาร พลังงาน และค่าน้ำมันรถแพงขึ้น ครอบครัวต้องแบกภาระหนัก
- ความไม่แน่นอน: คนอาจงดใช้จ่ายฟุ่มเฟือยหรือเลื่อนซื้อของใหญ่ๆ อย่างบ้านหรือรถ ด้วยความกังวลเรื่องอนาคตและรายได้ที่สั่นคลอน
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและการจ้างงาน
ธุรกิจก็เจอศึกหนักในช่วงนี้
- ต้นทุนผลิตสูง: ราคาน้ำมัน วัตถุดิบ และค่าแรงที่แพงขึ้น บีบกำไรให้เล็กลง
- ยอดขายตก: ผู้บริโภคกระเป๋าแบน ความต้องการสินค้าลด ส่งผลให้รายได้ธุรกิจหด
- ลงทุนและจ้างงานชะงัก: ด้วยต้นทุนสูงและยอดขายน้อย ธุรกิจมักชะลอขยายกิจการ ลดกำลังผลิต หรือปลดพนักงานเพื่อประหยัด ทำให้ว่างงานเพิ่ม
ความท้าทายต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลและธนาคารกลาง
อย่างที่บอก Stagflation สร้าง dilemma ให้ผู้กำหนดนโยบาย
- ธนาคารกลาง: ขึ้นดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้ออาจทำให้เศรษฐกิจยิ่งช้าและว่างงานพุ่ง แต่ลดดอกเบี้ยกระตุ้นก็ยิ่งจุดเงินเฟ้อ
- รัฐบาล: ลดใช้จ่ายคุมเงินเฟ้ออาจซ้ำเติมเศรษฐกิจ แต่ใช้จ่ายกระตุ้นก็เพิ่มแรงกดดันเงินเฟ้อ
ต้องระวังและประสานนโยบายการเงินกับการคลังให้ดี รวมถึงคิดถึงมาตรการโครงสร้างเพื่อแก้ปัญหายาวๆ
Stagflation ในบริบทของประเทศไทย: ความเสี่ยงและสัญญาณ
สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบันกับความเสี่ยง Stagflation
ไทยเองก็เสี่ยงไม่แพ้ใคร โดยเฉพาะหลังโควิดและความขัดแย้งโลกที่กระทบราคาพลังงานและห่วงโซ่อุปทาน
ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับคาดการณ์เงินเฟ้อและ GDP โดยคำนึงถึงแรงกดจากราคาพลังงานอาหารที่สูงและค่าเงินบาทผันผวน แม้การท่องเที่ยวจะช่วยดันเศรษฐกิจ แต่การส่งออกบางส่วนยังลำบากจากเศรษฐกิจโลกที่ช้า ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงยังเป็นจุดอ่อนที่อาจกัดกำลังซื้อ ถ้า Stagflation มาจริง หนี้สูงจะยิ่งทำให้คนเดือดร้อนจากค่าครองชีพที่แพงและรายได้นิ่ง
บทเรียนจากวิกฤตเศรษฐกิจไทยที่ผ่านมา
ไทยเคยเจอวิกฤตหลายหน ซึ่งให้บทเรียนหลากหลาย
- วิกฤตต้มยำกุ้ง 1997: เศรษฐกิจถดถอยหนักจากปัญหาการเงินและหนี้ต่างประเทศ แต่เงินเฟ้อไม่สูงมาก
- วิกฤตโลก 2008: ช็อกจากการเงินต่างชาติ ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอและว่างงานเพิ่ม แต่ฟื้นตัวเร็ว
ถึงไทยยังไม่เคยโดน Stagflation แบบหนักๆ อย่างยุค 1970s แต่ประสบการณ์จากวิกฤตเก่าๆ ชี้ว่าต้องมีนโยบายยืดหยุ่น สร้างภูมิคุ้มกัน และเตรียมพร้อมรับมือเหตุไม่คาดฝัน การเรียนรู้จากอดีตช่วยให้วางแผนรับมือปัจจุบันได้ดีขึ้น PIER เผยแพร่บทความฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยหลังโควิด ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับประเมินความเสี่ยง
กลยุทธ์การรับมือ Stagflation: สิ่งที่นักลงทุนและประชาชนควรทำ
การเตรียมตัวคือกุญแจสำคัญ ไม่ว่าจะระดับบุคคลหรือนโยบาย
การปรับพอร์ตการลงทุนในภาวะ Stagflation
การลงทุนแบบเก่าๆ อาจไม่เวิร์ค นักลงทุนควรปรับดังนี้
- ทองคำ: เป็น safe haven และ hedge เงินเฟ้อชั้นดี เพราะมูลค่ามักขึ้นเมื่อเศรษฐกิจสั่นคลอน
- อสังหา: ประเภทที่ให้ค่าเช่าสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันเงินเฟ้อระยะยาวเพราะค่าเช่าปรับตาม
- สินค้าโภคภัณฑ์: อย่างน้ำมัน ก๊าซ โลหะ หรือผลผลิตเกษตร ราคามักพุ่งเพราะเป็นต้นตอเงินเฟ้อ
- หุ้นบริษัทที่มี pricing power: บริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมจำเป็นที่ส่งต่อต้นทุนให้ลูกค้าได้โดยไม่เสียตลาด
- กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน: ให้ผลตอบแทนมั่นคง รายได้ปรับตามเงินเฟ้อ
แต่การลงทุนไหนก็มีความเสี่ยง ควรศึกษาดีๆ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคล
คนทั่วไปก็ปกป้องตัวเองได้
- ลดหนี้: โดยเฉพาะหนี้ดอกเบี้ยลอยตัว เพราะดอกเบี้ยอาจขึ้นสกัดเงินเฟ้อ
- คุมจ่ายและออม: ทบทวนรายจ่าย ลดของฟุ่มเฟือยเพื่อเพิ่มเงินเก็บ
- เพิ่มรายได้: หาช่องทางเสริมหรือพัฒนาทักษะเพื่อโอกาสงานดีขึ้น
- เงินสำรองฉุกเฉิน: ควรมีเงินเท่าค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน สำหรับรับมือความไม่แน่นอน
บทบาทภาครัฐและธนาคารกลางในการแก้ไขปัญหา
ระดับมหภาคต้องร่วมมือกัน
- ธนาคารกลาง: ต้องเด็ดขาดกับนโยบายเข้มเพื่อคุมเงินเฟ้อ แม้เศรษฐกิจช้าชั่วคราว
- รัฐบาล: ใช้จ่ายอย่างรอบคอบ ลดของไม่จำเป็น ช่วยกลุ่มเปราะบาง และลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลิตภาพยาว
- ปฏิรูปโครงสร้าง: แก้คอขวดห่วงโซ่อุปทาน ส่งเสริมแข่งขัน ลงทุน R&D และพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อลดเงินเฟ้อระยะยาว
สรุป: เตรียมพร้อมรับมือ Stagflation เพื่อความมั่นคงทางการเงิน
Stagflation เป็นสถานการณ์เศรษฐกิจที่ซับซ้อน ท้าทายทั้งระบบใหญ่ ธุรกิจ และชีวิตประจำวัน การเข้าใจนิยาม สาเหตุ ผลกระทบ และวิธีรับมือจึงจำเป็นมาก
สำหรับไทย ถึงยังไม่มีสัญญาณชัด แต่ความเสี่ยงยังอยู่ จากปัจจัยภายนอกและปัญหาภายใน การเตรียมตัวของรัฐ ธนาคารกลาง การเงินส่วนบุคคล และลงทุนฉลาด จะช่วยรักษาความมั่งคั่งในยุคผันผวน การตามข่าวเศรษฐกิจโลกและไทยใกล้ชิดช่วยปรับตัวทัน
ภาวะ Stagflation คืออะไร และมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร?
ภาวะ Stagflation คือสถานการณ์ที่เศรษฐกิจชะงักงัน (อัตราการเติบโตต่ำหรือติดลบ) มีอัตราเงินเฟ้อสูง และอัตราการว่างงานสูงพร้อมกัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยคือ:
- กำลังซื้อลดลง: ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่รายได้ไม่เพิ่ม ทำให้ประชาชนซื้อของได้น้อยลง
- ภาคธุรกิจชะลอตัว: ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ยอดขายลดลง ทำให้ลดการลงทุนและลดการจ้างงาน
- ความท้าทายต่อนโยบาย: ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบากในการควบคุมเงินเฟ้อและกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
Stagflation กับ Recession ต่างกันอย่างไรในมุมมองของนักลงทุนไทย?
สำหรับนักลงทุนไทย:
- Recession (ภาวะเศรษฐกิจถดถอย): เศรษฐกิจหดตัว อัตราการว่างงานสูง แต่โดยทั่วไปเงินเฟ้อจะต่ำหรือเกิดภาวะเงินฝืด ในช่วง Recession สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่หุ้นมักจะปรับตัวลดลง
- Stagflation: เศรษฐกิจชะลอตัว อัตราการว่างงานสูง และมีเงินเฟ้อสูงพร้อมกัน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ยากกว่าสำหรับนักลงทุน เพราะเงินสดจะถูกกัดกร่อนด้วยเงินเฟ้อ หุ้นของบริษัทส่วนใหญ่อาจไม่ดี และพันธบัตรก็อาจไม่น่าสนใจเนื่องจากเงินเฟ้อสูง ในภาวะนี้ สินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ดี เช่น ทองคำ สินค้าโภคภัณฑ์ หรืออสังหาริมทรัพย์บางประเภท มักจะเป็นที่นิยม
สาเหตุหลักที่อาจทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ Stagflation มีอะไรบ้าง?
สาเหตุหลักที่อาจทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะ Stagflation ได้แก่:
- การช็อกอุปทานจากภายนอก: เช่น ราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรุนแรง หรือการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก
- การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก: ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ
- ปัญหาเชิงโครงสร้างภายใน: เช่น หนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งลดกำลังซื้อของประชาชน และการขาดการลงทุนเพื่อเพิ่มผลิตภาพในระยะยาว
- นโยบายที่ผิดพลาด: การใช้นโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายเกินไปในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม อาจกระตุ้นเงินเฟ้อโดยไม่ก่อให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน
ในภาวะ Stagflation คนไทยควรลงทุนอะไรดีเพื่อรักษามูลค่าเงิน?
ในภาวะ Stagflation คนไทยควรพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและยังคงมีมูลค่าในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ได้แก่:
- ทองคำ: ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและป้องกันเงินเฟ้อ
- อสังหาริมทรัพย์: โดยเฉพาะที่ให้ผลตอบแทนค่าเช่าสม่ำเสมอ ซึ่งอาจปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ
- สินค้าโภคภัณฑ์: เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในพลังงานหรือสินค้าเกษตร
- หุ้นของบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา: บริษัทที่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้โดยไม่กระทบยอดขายมากนัก มักเป็นบริษัทในกลุ่มสาธารณูปโภคหรือสินค้าจำเป็น
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน: ให้ผลตอบแทนค่อนข้างมั่นคงและมีรายได้ที่ปรับตามเงินเฟ้อ
ควรปรึกษาผู้แนะนำการลงทุนก่อนตัดสินใจและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลมีนโยบายรับมือ Stagflation ที่เป็นไปได้อย่างไร?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และรัฐบาลอาจต้องใช้นโยบายที่ระมัดระวังและประสานงานกัน:
- นโยบายการเงิน (ธปท.): อาจจำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แม้จะเสี่ยงทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวมากขึ้นในระยะสั้น
- นโยบายการคลัง (รัฐบาล): ควรเน้นการใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ ลดการขาดดุล และลงทุนในโครงการที่ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตของประเทศในระยะยาว เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
- มาตรการช่วยเหลือเฉพาะจุด: อาจมีมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น และส่งเสริมการแข่งขันในตลาดเพื่อลดแรงกดดันด้านราคา
ประชาชนทั่วไปในประเทศไทยจะเตรียมรับมือกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นในภาวะ Stagflation ได้อย่างไร?
ประชาชนทั่วไปในประเทศไทยสามารถเตรียมรับมือได้ดังนี้:
- บริหารจัดการหนี้สิน: ชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน โดยเฉพาะหนี้ลอยตัว
- ควบคุมรายจ่าย: ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เพื่อระบุและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
- สร้างรายได้เสริม: มองหาช่องทางเพิ่มรายได้จากงานอดิเรก หรือพัฒนาทักษะใหม่ ๆ
- มีเงินออมสำรองฉุกเฉิน: เตรียมเงินสดสำรองไว้สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นอย่างน้อย 3-6 เดือน
- ลงทุนในสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อ: พิจารณาการลงทุนในทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์บางประเภท หากมีกำลังทรัพย์
อุตสาหกรรมใดในประเทศไทยที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดจาก Stagflation?
อุตสาหกรรมในประเทศไทยที่อาจได้รับผลกระทบมากที่สุดจาก Stagflation ได้แก่:
- อุตสาหกรรมที่พึ่งพาพลังงานสูง: เช่น การขนส่ง โลจิสติกส์ และการผลิตบางประเภท เพราะต้นทุนพลังงานจะพุ่งสูงขึ้น
- อุตสาหกรรมที่พึ่งพากำลังซื้อของผู้บริโภค: เช่น ค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย อสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัยจำเป็น เพราะผู้บริโภคจะลดการใช้จ่าย
- อุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกสูง: หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อยอดส่งออกของไทย
- อุตสาหกรรมที่ต้องมีการลงทุนขนาดใหญ่: เช่น โครงการอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่อาจชะลอตัวลงเนื่องจากความไม่แน่นอนและต้นทุนที่สูงขึ้น
ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับนักลงทุนไทยในภาวะ Stagflation หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ทองคำยังคงถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ปลอดภัยและเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ดีในภาวะ Stagflation สำหรับนักลงทุนไทย เนื่องจาก:
- ป้องกันเงินเฟ้อ: เมื่อค่าเงินอ่อนลงจากเงินเฟ้อ ทองคำมักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
- สินทรัพย์ทางเลือก: ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวนและพันธบัตรให้ผลตอบแทนไม่น่าสนใจ ทองคำมักเป็นที่พึ่ง
- ความเชื่อมั่น: นักลงทุนไทยมีความคุ้นเคยและเชื่อมั่นในทองคำมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำก็ยังคงผันผวนตามปัจจัยอื่น ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง และความแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น ควรพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย
การปรับตัวของภาคธุรกิจไทยเพื่อรับมือกับ Stagflation ควรทำอย่างไร?
ภาคธุรกิจไทยควรปรับตัวเพื่อรับมือกับ Stagflation ดังนี้:
- บริหารจัดการต้นทุน: หาแนวทางลดต้นทุนการผลิตและดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการหาแหล่งวัตถุดิบและพลังงานทางเลือก
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่ช่วยเพิ่มผลิตภาพและลดการพึ่งพาแรงงาน/พลังงาน
- สร้างอำนาจในการกำหนดราคา: สร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ (Value-Added) เพื่อให้สามารถส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคได้
- กระจายความเสี่ยง: มองหาตลาดใหม่ ๆ หรือพัฒนาสินค้า/บริการที่หลากหลาย เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดหรือผลิตภัณฑ์เดียว
- บริหารกระแสเงินสด: รักษาเงินสดสำรองให้เพียงพอ และบริหารจัดการลูกหนี้/เจ้าหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
Stagflation ในยุคหลังโควิด-19 มีความแตกต่างจากในอดีตอย่างไรสำหรับประเทศไทย?
Stagflation ในยุคหลังโควิด-19 มีความแตกต่างจากในอดีตสำหรับประเทศไทยในหลายด้าน:
- สาเหตุ: ในอดีตมักเกิดจากราคาน้ำมันพุ่งสูง แต่ปัจจุบันมีปัจจัยซับซ้อนกว่า ทั้งปัญหาห่วงโซ่อุปทาน การขาดแคลนแรงงาน และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคหลังโควิด
- หนี้ครัวเรือน: ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยในปัจจุบันสูงกว่าในอดีตมาก ซึ่งทำให้ประชาชนเปราะบางต่อผลกระทบจากเงินเฟ้อและเศรษฐกิจชะลอตัว
- การฟื้นตัวไม่เท่าเทียม: เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวไม่ทั่วถึง ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวดี แต่ภาคอื่น ๆ ยังคงเผชิญความท้าทาย
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: เทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจเป็นทั้งโอกาสในการเพิ่มผลิตภาพ และความท้าทายในการปรับตัวของแรงงาน
- นโยบายการเงินและการคลัง: ธปท.และรัฐบาลมีบทเรียนจากวิกฤตครั้งก่อน ๆ ทำให้มีเครื่องมือและประสบการณ์ในการรับมือมากขึ้น แต่ก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ