บทนำ: ทำความเข้าใจการควบรวมกิจการในยุคปัจจุบัน
ในโลกธุรกิจที่หมุนเปลี่ยนเร็วแค่ไหน การรวมกิจการหรือที่รู้จักกันในชื่อ mergers and acquisitions หรือ M&A กลายเป็นเครื่องมือหลักที่บริษัททั่วโลก รวมถึงในไทย นิยมใช้เพื่อเร่งการเติบโต ยกระดับการแข่งขัน และเพิ่มมูลค่าสำหรับผู้ถือหุ้น การเลือกเดินทางนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเกี่ยวข้องกับความซับซ้อนและเดิมพันสูง ต้องชั่งน้ำหนักทั้งโอกาสที่อาจเกิดขึ้นและอุปสรรคที่ซ่อนอยู่ให้รอบคอบ

บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่หัวใจของการรวมกิจการ โดยสำรวจทั้งประโยชน์ที่น่าดึงดูดและความเสี่ยงที่ต้องระวัง พร้อมมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จ โดยเฉพาะในสถานการณ์ของไทย ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหาร นักลงทุน หรือคนที่สนใจกลยุทธ์ธุรกิจ การเข้าใจเรื่องนี้อย่างแท้จริงจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีสติ และนำพาองค์กรสู่ความยั่งยืนในระยะยาว
การควบรวมกิจการ (Mergers) และการเข้าซื้อกิจการ (Acquisitions) คืออะไร?
แม้คำว่า “การรวมกิจการ” กับ “การเข้าซื้อกิจการ” จะถูกใช้แทนกันบ่อยๆ แต่จริงๆ แล้วทั้งสองมีจุดต่างที่ชัดเจน

- การรวมกิจการ: คือการที่บริษัทสองแห่งหรือมากกว่านั้นรวมตัวกันเพื่อสร้างบริษัทใหม่แยกต่างหาก โดยบริษัทเดิมจะยุติการดำเนินงานและโอนทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ หนี้สิน หรือหน้าที่ ไปยังบริษัทใหม่ ผู้ถือหุ้นจากบริษัทเก่าจะกลายเป็นเจ้าของในบริษัทใหม่ เช่น บริษัท A กับ B รวมกันกลายเป็น C
- การเข้าซื้อกิจการ: เกิดขึ้นเมื่อบริษัทหนึ่งซื้อหุ้นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดของอีกบริษัท เพื่อควบคุมการบริหาร บริษัทผู้ซื้อยังคงอยู่ต่อไป ขณะที่บริษัทที่ถูกซื้ออาจยังแยกตัวเป็นหน่วยย่อย หรือถูกรวมเข้าไปในโครงสร้างใหญ่ เช่น บริษัท A ซื้อ B แล้ว A ยังเป็น A ส่วน B อาจกลายเป็นบริษัทย่อย
- การรวมกิจการ: ในมุมกฎหมายไทย คำนี้ใกล้เคียงกับการรวมกิจการ คือบริษัทหลายแห่งรวมกันเป็นใหม่ โดยบริษัทเก่าหยุดอยู่ แต่ในทางปฏิบัติ คำว่า merger กับ acquisition ถูกนำมาใช้กว้างกว่า ส่วน amalgamation มักปรากฏในเอกสารกฎหมายที่เน้นขั้นตอนนิติบุคคลอย่างเป็นทางการ
ไม่ว่าจะรูปแบบไหน การรวมกิจการทั้งหมดล้วนเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเจ้าของและการควบคุม ซึ่งส่งผลกระทบยาวนานต่ออนาคตของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
ข้อดีของการควบรวมกิจการ: โอกาสในการเติบโตและสร้างมูลค่า
การรวมกิจการเปิดประตูสู่ประโยชน์มากมาย ที่ช่วยผลักดันการเติบโตและยกระดับมูลค่าของบริษัท

การเพิ่มขนาดและส่วนแบ่งตลาด
พอบริษัทสองแห่งมารวมกัน ขนาดธุรกิจขยายตัวทันที ส่งผลให้ครองส่วนแบ่งตลาดมากขึ้น สร้างอำนาจต่อรองกับผู้ขายและลูกค้าได้ดีกว่าเดิม แถมยังนำมาซึ่งการประหยัดต้นทุนจากขนาดใหญ่ หรือ economies of scale ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยถูกลง จากการผลิตหรือดำเนินงานที่ขยายตัว
การเข้าถึงเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญ
การซื้อกิจการคือทางลัดสู่เทคโนโลยีใหม่ สิทธิบัตร ความรู้เฉพาะทาง หรือทีมงานเก่งๆ ซึ่งถ้าพัฒนาเองอาจกินเวลาและเงินมหาศาล
การสร้าง Synergy (การทำงานร่วมกัน)
Synergy หมายถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการรวมกันมากกว่าบวกกันแยกส่วน เช่น ลดค่าใช้จ่ายโดยรวมแผนก ลดต้นทุน หรือเพิ่มยอดขายจากการขายข้ามผลิตภัณฑ์ หรือใช้ช่องทางจำหน่ายร่วมกัน สุดท้ายก็ยกระดับประสิทธิภาพและกำไร
การขยายตลาดและผลิตภัณฑ์
รวมกิจการช่วยให้ทะลุสู่ตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ หรือเพิ่มตัวเลือกสินค้าและบริการ โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหรือสินค้าใดสินค้าหนึ่งมากเกินไป
ประโยชน์ทางภาษีและการเงิน
บางครั้งการรวมกันอาจได้เปรียบเรื่องภาษี เช่น เอากำไรขาดทุนเก่ามาชดเชยกำไรใหม่ หรือเข้าถึงเงินทุนถูกกว่าเพราะขนาดใหญ่ขึ้น แต่ในไทย เรื่องภาษีซับซ้อนมาก ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้แน่ใจ
ข้อเสียและความท้าทายของการควบรวมกิจการ: ความเสี่ยงที่ต้องตระหนัก
ถึงจะมีข้อดีเพียบ แต่การรวมกิจการก็มาพร้อมความเสี่ยงและอุปสรรคที่ร้ายแรง ถ้าไม่จัดการดีอาจพังได้ทั้งหมด
ปัญหาการรวมกิจการและการบริหารจัดการ
การผสานระบบงาน ไอที ห่วงโซ่อุปทาน และกระบวนการต่างๆ ของสองบริษัทเข้าด้วยกัน มันยุ่งยากและใช้เวลานาน อาจทำให้ธุรกิจสะดุด ช่องว่างหน้าที่เกิดขึ้น หรือประสิทธิภาพตกฮวบในช่วงแรกๆ
ความขัดแย้งทางวัฒนธรรมองค์กร
วัฒนธรรมที่ต่างกันคือสาเหตุหลักของความล้มเหลว โดยเฉพาะในบริษัทไทย ที่มักเน้นลำดับชั้น ความสัมพันธ์ส่วนตัว หรือการเคารพผู้ใหญ่ ถ้าบริษัทไทยเก่ากับบริษัทต่างชาติที่วัฒนธรรมตะวันตกมารวมกัน อาจเกิดความเข้าใจผิด ความไม่พอใจ หรือการต่อต้านจากลูกทีมได้ง่าย
ปัญหาทางการเงินและหนี้สิน
ถ้าประเมินค่าบริษัทผิด อาจจ่ายแพงเกินไป สร้างภาระหนี้ก้อนโตและผลตอบแทนน้อยกว่าคาด แถมค่าผสานกิจการจริงๆ มักแพงกว่าที่คิดไว้ตั้งแต่แรก
การสูญเสียพนักงานหลัก
ผู้บริหารและพนักงานเก่งๆ อาจรู้สึกไม่แน่นอนหรือโอกาสก้าวหน้าลดลงหลังรวมกิจการ นำไปสู่การลาออกของคนสำคัญที่บริษัทขาดไม่ได้
ความเสี่ยงด้านกฎหมายและกฎระเบียบ
ต้องยึดกฎหมายเข้มงวด เช่น พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า ที่ควบคุมการผูกขาด รวมถึงกฎแรงงานและข้อบังคับจากสำนักงาน ก.ล.ต. สำหรับบริษัทจดทะเบียน ถ้าผิดพลาดอาจโดนปรับหรือยกเลิกดีล
ประเภทของการควบรวมกิจการ: รูปแบบที่หลากหลาย
การรวมกิจการแบ่งได้หลายแบบ ขึ้นกับความเชื่อมโยงทางธุรกิจระหว่างบริษัทที่เกี่ยวข้อง
การควบรวมกิจการแนวนอน (Horizontal Merger)
คือการรวมของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันที่แข่งขันตรงๆ เช่น ผู้ผลิตรถสองรายมารวม เพื่อครองตลาดมากขึ้น ลดคู่แข่ง และประหยัดจากขนาด
การควบรวมกิจการแนวตั้ง (Vertical Merger)
เกิดกับบริษัทในห่วงโซ่เดียวกันแต่ขั้นตอนต่าง เช่น ผู้ผลิตซื้อผู้จัดจำหน่าย เพื่อคุมซัพพลายเชน ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพ
การควบรวมกิจการแบบรวมกลุ่ม (Conglomerate Merger)
คือการรวมของบริษัทจากอุตสาหกรรมต่างกันสนิท เช่น บริษัทอาหารซื้อบริษัทเทค เพื่อกระจายความเสี่ยง เพิ่มความหลากหลาย และหาโอกาสเติบโตใหม่
การควบรวมกิจการแบบต่อขยาย (Concentric Merger หรือ Congeneric Merger)
รวมบริษัทที่ธุรกิจเกี่ยวข้องกันแต่ไม่แข่งตรงๆ เช่น ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ออฟฟิศซื้อผู้ผลิตซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัย เพื่อขยายฐานลูกค้าและสินค้าที่ครบครันกว่า
การควบรวมกิจการในบริบทไทย: กฎหมายและกรณีศึกษา
ในไทย การรวมกิจการมีเอกลักษณ์เฉพาะที่ต้องคิดให้ละเอียด โดยเฉพาะกฎหมายและวัฒนธรรม
กรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ไทยมีกฎหมายและหน่วยงานหลักหลายอย่างที่กำกับการรวมกิจการ
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต. – SEC Thailand): ดูแลการซื้อขายหุ้นและข้อเสนอซื้อของบริษัทจดทะเบียน ถ้าดีลเกี่ยวข้องกับหุ้นต้องตามกฎ ก.ล.ต. เช่น การเสนอซื้อทั้งหมดถ้าถึงเกณฑ์
- พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560: 旨在ส่งเสริมการแข่งขันยุติธรรม ป้องกันผูกขาด คณะกรรมการ กขค. อนุมัติดีลที่อาจลดแข่งขัน โดยดูส่วนแบ่งตลาดและมูลค่าธุรกิจ
- กฎหมายแพ่งและพาณิชย์: กำหนดกฎทั่วไปเรื่องตั้ง ชี้ขาด และเลิกนิติบุคคล รวมกระบวนการรวมและเลิก
- กฎหมายแรงงาน: ดีลกระทบพนักงาน ต้องแจ้งล่วงหน้า ชดเชยถ้าลดคน และโอนย้ายลูกทีมให้ถูกต้อง
การพิจารณาภาษีสำหรับการควบรวมกิจการ
กรมสรรพากร มีกฎภาษีซับซ้อนสำหรับดีลรวมกิจการ ซึ่งอาจมีทั้งภาระและสิทธิ์
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล: โอนสินทรัพย์หรือแลกหุ้นอาจกระทบกำไรขาดทุนที่เสียภาษี
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม: โอนกิจการทั้งหมดอาจยกเว้นภายใต้เงื่อนไข
- อากรแสตมป์: อาจมีค่าตราประทับสำหรับโอนหุ้นหรือจดทะเบียนเปลี่ยน
ดังนั้น การวางแผนภาษีโดยผู้เชี่ยวชาญจึงจำเป็น เพื่อลดภาระและใช้สิทธิ์ให้คุ้ม
กรณีศึกษาการควบรวมกิจการของบริษัทไทย
ไทยมีดีลรวมกิจการทั้งสำเร็จและล้มเหลวมากมาย โดยเฉพาะในโทรคมนาคมและค้าปลีกที่ถูกจับตา
- กรณีศึกษาความสำเร็จ: บริษัทค้าปลีกใหญ่ในไทยซื้อเครือร้านสะดวกซื้อท้องถิ่น เพื่อขยายฐานลูกค้าและช่องทางใหม่ๆ ด้วยการผสานซัพพลายเชนและไอทีอย่างดี บวกการสื่อสารต่อเนื่องกับทีมและลูกค้า สร้าง synergy และยอดขายพุ่ง
- กรณีศึกษาความท้าทาย: การรวมระหว่างบริษัทเทคไทยสองแห่งที่มีวัฒนธรรมแข็งแกร่งและต่างกัน โดยแห่งหนึ่งเน้นลำดับชั้นและตัดสินใจรวมศูนย์ อีกแห่งแบบสตาร์ทอัพยืดหยุ่นและกระจายอำนาจ การรวมโดยไม่เข้าใจลึกๆ นำไปสู่ขัดแย้ง ลาออกเยอะ และล่าช้าผลิตภัณฑ์ สุดท้ายผลเงินไม่เป็นดังหวัง
ข้อควรพิจารณาสำหรับ SMEs ไทย
สำหรับ SMEs การรวมกิจการอาจเป็นก้าวกระโดด แต่มีความเสี่ยงเฉพาะ
- การประเมินมูลค่า: SMEs มีโครงสร้างการเงินเรียบง่าย การประเมินถูกต้องสำคัญเพื่อไม่ให้ถูกกดราคา
- การปฏิบัติตามกฎหมาย: SMEs อาจขาดทรัพยากรกฎหมาย ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายและบัญชีจำเป็นช่วยนำทาง
- การรักษาพนักงานหลัก: พนักงาน SMEs มักผูกพันเจ้าของและวัฒนธรรม การเปลี่ยนอาจสร้างความไม่แน่นอนและลาออก
- การเข้าถึงเงินทุน: ดีลอาจต้องทุนเยอะ ซึ่ง SMEs เข้าถึงยากกว่าบริษัทใหญ่
การบริหารจัดการความเสี่ยงและปัจจัยสู่ความสำเร็จ
เพื่อให้ดีลรวมกิจการไปรอด บริษัทควรโฟกัสจัดการความเสี่ยงและปัจจัยหลัก
การตรวจสอบวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) อย่างละเอียด
Due diligence ที่ครอบคลุมคือก้าวสำคัญ ต้องสืบทุกด้านของบริษัทเป้าหมาย ไม่ว่าจะการเงิน กฎหมาย ภาษี การงาน ทรัพย์สินปัญญา หรือคน เพื่อหาความเสี่ยงและโอกาสที่ซ่อน
แผนการรวมกิจการที่ชัดเจน
ต้องมีแผนผสานที่ละเอียดและมีขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนดีลเสร็จ แผนควรตั้งเป้า ผู้รับผิดชอบ และ timeline ที่สมเหตุสมผล สำหรับทุกอย่าง ตั้งแต่ไอทีไปจนปรับโครงสร้าง
การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
การสื่อสารเปิด โปร่งใส และต่อเนื่องสำคัญมาก ทั้งในและนอกองค์กร ต้องแจ้งพนักงาน ผู้ถือหุ้น ลูกค้า ผู้ขาย และสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจ ลดกังวล และรักษาความไว้วางใจ
การจัดการวัฒนธรรมองค์กร
เข้าใจและจัดการความต่างวัฒนธรรมคือกุญแจ ต้องประเมินวัฒนธรรมทั้งสอง แล้ววางกลยุทธ์ผสานที่เหมาะ เช่น ผสานรวม ดูดซับ หรือแยกต่าง ในไทย การเคารพผู้ใหญ่ สร้างสายสัมพันธ์ และเข้าใจสังคม ช่วยลดขัดแย้งและเพิ่มการยอมรับ
สรุป: การตัดสินใจควบรวมกิจการอย่างชาญฉลาด
การรวมกิจการคือกลยุทธ์ทรงพลังสำหรับเติบโตและสร้างมูลค่า แต่มาพร้อมความท้าทายและเสี่ยงสูง การตัดสินใจฉลาดต้องชั่งข้อดีข้อเสีย ทำ due diligence ละเอียด วางแผนผสานแข็งแกร่ง และจัดการคนกับวัฒนธรรมให้ดี
ในไทย การรู้กฎหมายและกฎระเบียบ บวกตระหนักวัฒนธรรมไทยเฉพาะ จะเป็นกุญแจให้ดีลสำเร็จและสร้างผลดียั่งยืน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ (FAQ)
การควบรวมกิจการมีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างในประเทศไทยที่แตกต่างจากบริบทสากล?
ข้อดีหลักๆ เช่น การเพิ่มขนาดตลาด การเข้าถึงเทคโนโลยี และ Synergy นั้นคล้ายคลึงกับบริบทสากล แต่ในประเทศไทย ข้อเสียอาจเน้นไปที่ความซับซ้อนทางกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า กฎหมายแรงงาน และข้อกำหนดของ ก.ล.ต. รวมถึงความท้าทายในการผสานวัฒนธรรมองค์กรไทยที่มักให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโสและความสัมพันธ์ส่วนบุคคล
Amalgamation กับ Merger แตกต่างกันอย่างไรในทางกฎหมายและปฏิบัติของไทย?
ในทางกฎหมายไทย คำว่า “Amalgamation” หรือ “การรวมกิจการ” มักใช้ในความหมายที่บริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปรวมกันและสิ้นสภาพไปเพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ ซึ่งคล้ายกับ Merger ในทางปฏิบัติสากล ในขณะที่ “Merger” ในความหมายสากลอาจครอบคลุมถึงการที่บริษัทหนึ่งเข้าซื้ออีกบริษัทหนึ่งแล้วบริษัทเป้าหมายยังคงอยู่เป็นบริษัทย่อย (Acquisition) ได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคำมักถูกใช้สลับกันในภาษาพูด แต่ในเอกสารทางกฎหมายไทยจะระบุอย่างชัดเจนถึงรูปแบบที่เกิดขึ้น
ผลของการควบรวมกิจการมีอะไรบ้างต่อพนักงานและผู้ถือหุ้นของบริษัทไทย?
สำหรับพนักงานไทย อาจเกิดความกังวลเรื่องการปรับโครงสร้าง ตำแหน่งงาน หรือการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่การลาออกของพนักงานหลักได้ ส่วนผู้ถือหุ้นไทย หากเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ถูกซื้อ อาจได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินสดหรือหุ้นของบริษัทใหม่ หากเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทผู้ซื้อ อาจเห็นราคาหุ้นผันผวนจากการคาดการณ์ผลกระทบของการควบรวมกิจการ
บริษัทขนาดเล็ก (SMEs) ในประเทศไทยควรพิจารณาควบรวมกิจการหรือไม่ และมีความเสี่ยงอะไรเป็นพิเศษ?
SMEs อาจพิจารณาควบรวมกิจการเพื่อขยายขนาด เพิ่มขีดความสามารถ หรือเข้าถึงตลาดใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงพิเศษสำหรับ SMEs ไทยคือการขาดทรัพยากรในการทำ Due Diligence อย่างละเอียด การประเมินมูลค่าที่ซับซ้อน การจัดการกับภาระหนี้สินที่อาจเพิ่มขึ้น และความท้าทายในการรักษาพนักงานหลักที่มีความผูกพันกับองค์กรเดิม
กฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมบริษัทมีกี่แบบ อะไรบ้างที่ผู้ประกอบการควรรู้?
กฎหมายหลักๆ ที่ผู้ประกอบการควรรู้ ได้แก่:
- พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า: สำหรับการรวมธุรกิจที่อาจก่อให้เกิดการผูกขาดหรือลดการแข่งขัน
- พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์: สำหรับบริษัทจดทะเบียน (ผ่านสำนักงาน ก.ล.ต.)
- ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์: สำหรับกระบวนการทางนิติบุคคลของการควบรวมหรือเลิกบริษัท
- กฎหมายคุ้มครองแรงงาน: สำหรับผลกระทบต่อพนักงาน
- ประมวลรัษฎากร: สำหรับผลกระทบทางภาษี
การควบรวมกิจการมีผลกระทบต่อเรื่อง สรรพากร และภาษีในประเทศไทยอย่างไรบ้าง?
การควบรวมกิจการอาจส่งผลกระทบต่อภาษีหลายประเภท เช่น ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากการโอนสินทรัพย์หรือหุ้น, ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการโอนกิจการ (ซึ่งอาจได้รับการยกเว้นภายใต้เงื่อนไข), และอากรแสตมป์ การวางแผนภาษีที่เหมาะสมและการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีของไทยเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดภาระภาษีและใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่อาจมี
วัฒนธรรมองค์กรแบบไทยมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวของการควบรวมกิจการอย่างไร?
วัฒนธรรมองค์กรไทยที่เน้นความสัมพันธ์ส่วนบุคคล (เส้นสาย), ลำดับอาวุโส, และการเคารพผู้มีอำนาจ อาจเป็นปัจจัยสำคัญ หากบริษัทที่รวมกันมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างบริษัทไทยด้วยกันเอง หรือระหว่างบริษัทไทยกับบริษัทต่างชาติ อาจนำไปสู่ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจ และการต่อต้านจากพนักงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานร่วมกันและประสิทธิภาพโดยรวม
มีตัวอย่างการควบรวมกิจการที่น่าสนใจของบริษัทไทยที่ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวบ้างหรือไม่?
ประเทศไทยมีตัวอย่างการควบรวมกิจการมากมายในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ค้าปลีก หรือธนาคาร ที่มีการรวมตัวกันเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดหรือสร้าง Synergy บางกรณีประสบความสำเร็จจากการวางแผนที่ดีและการจัดการวัฒนธรรมองค์กรอย่างชาญฉลาด ขณะที่บางกรณีเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาการรวมระบบ ความขัดแย้งภายใน หรือการประเมินมูลค่าผิดพลาด ซึ่งมักจะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรหรือผลประกอบการหลังการควบรวม
ขั้นตอนสำคัญในการทำ Due Diligence สำหรับการควบรวมกิจการในไทยมีอะไรบ้าง?
ขั้นตอนสำคัญในการทำ Due Diligence ในไทยประกอบด้วย:
- Due Diligence ด้านการเงิน: ตรวจสอบงบการเงิน กระแสเงินสด หนี้สิน และหนี้คงค้าง
- Due Diligence ด้านกฎหมาย: ตรวจสอบสัญญา ข้อพิพาท สิทธิบัตร และการปฏิบัติตามกฎหมาย
- Due Diligence ด้านภาษี: ตรวจสอบประวัติการเสียภาษี ภาระภาษี และสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- Due Diligence ด้านการดำเนินงาน: ตรวจสอบประสิทธิภาพการผลิต ระบบ ซัพพลายเชน
- Due Diligence ด้านทรัพยากรบุคคล: ตรวจสอบโครงสร้างองค์กร สวัสดิการ และสัญญาจ้างพนักงาน
การควบรวมกิจการจะส่งผลต่อการแข่งขันทางการค้าในตลาดไทยอย่างไร และมีข้อจำกัดด้านกฎหมายอะไรบ้าง?
การควบรวมกิจการขนาดใหญ่อาจลดจำนวนคู่แข่งในตลาด ทำให้เกิดการผูกขาดหรือลดการแข่งขัน ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายย่อย พระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ของไทยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มีการรวมธุรกิจและเข้าเกณฑ์ที่กำหนดต้องแจ้งหรือขออนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เพื่อป้องกันการผูกขาดและรักษาการแข่งขันที่เป็นธรรม