ค่าเงินสมัยก่อน: จากขวานหินสู่ดอลลาร์ครองโลก ปี 2025

สรุปข่าวฟอเร็กซ์

ย้อนรอยค่าเงิน: จากขวานหินสู่ดอลลาร์ครองโลก และบทเรียนจากวิกฤตค่าเงินบาทไทย

ในโลกที่เราอยู่ทุกวันนี้ เราใช้เงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการจนเป็นเรื่องปกติ แต่เคยสงสัยไหมว่า “เงิน” มีจุดกำเนิดและวิวัฒนาการมาอย่างไร? ทำไมสกุลเงินบางสกุลถึงมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมหาศาล และทำไมค่าเงินของประเทศเราอย่าง “เงินบาท” ถึงเคยเผชิญกับวิกฤตครั้งประวัติศาสตร์จนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงระบบไปตลอดกาล?

บทความนี้จะพาทุกคนเจาะลึกเข้าไปในประวัติศาสตร์อันยาวนานของเงินตรา ตั้งแต่ยุคที่มนุษย์ยังใช้เปลือกหอยหรือโลหะมีค่าเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยน ไปจนถึงการกำเนิดของระบบการเงินระดับโลกที่ซับซ้อนในปัจจุบัน โดยเราจะเน้นไปที่การทำความเข้าใจถึงปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ค่าเงินต่างๆ มีบทบาทในเวทีโลก รวมถึงถอดบทเรียนอันล้ำค่าจากเหตุการณ์ “วันนิกสันช็อก” และวิกฤตต้มยำกุ้งของไทย ซึ่งล้วนเป็นจุดเปลี่ยนที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินที่เราเห็นในทุกวันนี้อย่างไม่อาจย้อนกลับได้

การทำความเข้าใจรากฐานและพลวัตของค่าเงินไม่ใช่แค่เรื่องของนักเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่โลกเชื่อมโยงถึงกัน และความผันผวนของค่าเงินสามารถส่งผลกระทบต่อการลงทุนและเศรษฐกิจของเราได้อย่างคาดไม่ถึง คุณพร้อมแล้วหรือยังที่จะเดินทางย้อนเวลาไปสำรวจเรื่องราวอันน่าทึ่งของค่าเงินไปพร้อมกับเรา?

ภาพโบราณการค้าเงินตราด้วยเปลือกหอยและสินค้าต่างๆ

วิวัฒนาการของ “เงิน”: จากเปลือกหอยสู่ธนบัตร

ก่อนที่เราจะมีธนบัตรอยู่ในกระเป๋าเงินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการในอดีตเริ่มต้นขึ้นจากระบบที่เรียกว่า “การแลกเปลี่ยนโดยตรง” หรือ Barter System ซึ่งก็คือการนำสิ่งของที่แต่ละฝ่ายมี มาแลกเปลี่ยนกันโดยตรงนั่นเอง เช่น ชาวนาเอาข้าวมาแลกปลากับชาวประมง หรือช่างทำรองเท้าเอาหนังไปแลกผลไม้จากชาวสวน ระบบนี้มีข้อจำกัดมากมาย เช่น ความต้องการที่ไม่ตรงกัน การแบ่งแยกสิ่งของที่ยากลำบาก และการประเมินมูลค่าที่ไม่แน่นอน

เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ มนุษย์จึงเริ่มมองหาสิ่งของบางอย่างที่ได้รับการยอมรับร่วมกันในสังคมว่าเป็น “สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า “เงิน” ในยุคแรกๆ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสิ่งของที่มีคุณค่าในตัวเอง หายาก หรือมีความต้องการในวงกว้าง เช่น เปลือกหอยเบี้ย เมล็ดโกโก้ เกลือ เครื่องเทศ หรือแม้กระทั่งขวานหินตามที่บางตำรากล่าวถึง

ต่อมาเมื่ออารยธรรมมนุษย์ซับซ้อนขึ้น โลหะมีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งทองคำและเงิน ได้รับความนิยมอย่างสูงในการเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่เหมาะสมหลายประการ ได้แก่:

คุณสมบัติ รายละเอียด
คงทน ไม่เน่าเปื่อยหรือเสื่อมสภาพง่าย
แบ่งแยกได้ สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยๆ ได้โดยไม่สูญเสียคุณค่า
หายาก ทำให้มีมูลค่าในตัวเองและไม่สามารถผลิตเพิ่มได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เป็นเนื้อเดียวกัน ทองคำหนึ่งก้อนมีคุณสมบัติเหมือนทองคำอีกก้อน
พกพาสะดวก มีมูลค่าสูงเมื่อเทียบกับน้ำหนัก

ในช่วงแรก การใช้โลหะมีค่ายังคงต้องชั่งน้ำหนักและตรวจสอบความบริสุทธิ์ทุกครั้งที่ทำธุรกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต่อมาจึงได้มีการพัฒนาระบบ “เงินตรา” ขึ้นมา โดยเป็นการนำโลหะมาประทับตรา หรือสร้างเหรียญให้มีรูปร่างและน้ำหนักมาตรฐาน ทำให้ง่ายต่อการใช้งานและสร้างความเชื่อมั่นในมูลค่าที่แน่นอน เหรียญกษาปณ์ทองคำและเงินกลายเป็นหัวใจสำคัญของระบบการค้ามานานหลายศตวรรษในอารยธรรมทั่วโลก

จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งเกิดขึ้นในประเทศจีน สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960-1279) ที่มีการประดิษฐ์ “ธนบัตร” หรือที่เรียกว่า “เจียวจือ” ขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นเงินกระดาษในยุคโบราณ จุดประสงค์เพื่อความสะดวกในการพกพาและลดน้ำหนักของการขนส่งเหรียญโลหะจำนวนมาก โดยธนบัตรเหล่านี้มีมูลค่าที่อ้างอิงกับโลหะมีค่าหรือสินค้าอื่นๆ ที่เก็บไว้ในคลัง การถือกำเนิดของธนบัตรสะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์เริ่มให้ความสำคัญกับ “ความน่าเชื่อถือ” และ “การอ้างอิงมูลค่า” มากกว่า “มูลค่าในตัวเอง” ของตัวสื่อกลางการแลกเปลี่ยน และแนวคิดนี้ก็คือหัวใจสำคัญของการเงินในโลกปัจจุบัน

ภาพการผลิตเหรียญทองคำเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

การกำเนิดมาตรฐานทองคำ: รากฐานระบบการเงินโลกยุคแรก

หลังจากที่โลหะมีค่าโดยเฉพาะทองคำ ได้รับการยอมรับในฐานะสื่อกลางการแลกเปลี่ยนและเป็นหน่วยวัดมูลค่ามาอย่างยาวนาน แนวคิดในการสร้างระบบการเงินระหว่างประเทศที่มั่นคงจึงเริ่มก่อตัวขึ้น และระบบแรกที่โดดเด่นและแพร่หลายก็คือ “ระบบมาตรฐานทองคำ” (Gold Standard) ซึ่งถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงทศวรรษที่ 1870

ภายใต้ระบบนี้ ค่าเงินของแต่ละประเทศจะถูกกำหนดให้มีมูลค่าคงที่ที่แน่นอนเมื่อเทียบกับทองคำในปริมาณที่ระบุไว้ ตัวอย่างเช่น หากประเทศอังกฤษกำหนดให้ทองคำ 1 ออนซ์มีมูลค่าเท่ากับ 4 ปอนด์สเตอร์ลิง และสหรัฐอเมริกากำหนดให้ทองคำ 1 ออนซ์มีมูลค่าเท่ากับ 20 ดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายความว่าเงิน ปอนด์สเตอร์ลิง จะมีค่าเท่ากับ 5 ดอลลาร์สหรัฐ (20 ดอลลาร์ / 4 ปอนด์) โดยปริยาย

หลักการสำคัญของระบบมาตรฐานทองคำคือ การแลกเปลี่ยนค่าเงินเป็นทองคำได้โดยเสรี นั่นหมายถึง ประชาชนสามารถนำธนบัตรของตนไปแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ที่ธนาคารกลาง และในทางกลับกัน ธนาคารกลางก็ต้องสำรองทองคำไว้ให้เพียงพอต่อการแลกเปลี่ยน ข้อดีหลักๆ ของระบบนี้คือ:

ข้อดีหลัก รายละเอียด
สร้างเสถียรภาพให้กับอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากค่าเงินถูกผูกกับทองคำซึ่งมีมูลค่าค่อนข้างคงที่ ทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศมีความแน่นอนมากขึ้น
จำกัดการพิมพ์เงิน รัฐบาลไม่สามารถพิมพ์เงินออกมาได้มากเกินไป เพราะต้องมีทองคำสำรองหนุนหลัง ทำให้ช่วยควบคุมภาวะเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง
สร้างความเชื่อมั่น ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในระบบการเงิน

อย่างไรก็ตาม ระบบมาตรฐานทองคำก็มีข้อเสียเช่นกัน นั่นคือ ความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศลดลง เพราะการพิมพ์เงินหรือการปรับอัตราดอกเบี้ยต้องผูกติดอยู่กับปริมาณทองคำสำรองที่มีอยู่ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะวิกฤตได้อย่างเต็มที่

ในช่วงเวลาที่ระบบมาตรฐานทองคำรุ่งเรืองที่สุด อังกฤษโดยมี เงินปอนด์สเตอร์ลิง เป็นสกุลเงินหลัก ได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าของโลก เพราะความแข็งแกร่งและน่าเชื่อถือของเงินปอนด์ที่ผูกติดกับทองคำ ทำให้เป็นสกุลเงินที่ใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศและเป็นเงินสำรองที่สำคัญ แต่เมื่อ สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้น ความจำเป็นในการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อสนับสนุนสงครามได้บีบให้หลายประเทศต้องพิมพ์เงินออกมาจำนวนมาก ซึ่งไม่สามารถสำรองด้วยทองคำที่มีอยู่ได้อย่างเพียงพอ ทำให้ระบบมาตรฐานทองคำเริ่มสั่นคลอนและล่มสลายลงในที่สุด

ระบบเบรตตันวูดส์: ดอลลาร์สหรัฐผงาดในฐานะสกุลเงินหลัก

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะบอบช้ำอย่างหนัก แต่มีประเทศหนึ่งที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดและกลับกลายเป็นผู้ถือครองทองคำสำรองจำนวนมากที่สุดในโลก นั่นคือ สหรัฐอเมริกา ด้วยสถานะนี้ สหรัฐฯ จึงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางระบบการเงินโลกยุคใหม่

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 ตัวแทนจาก 44 ประเทศทั่วโลกได้มารวมตัวกันที่เมืองเบรตตันวูดส์ รัฐนิวแฮมเชียร์ สหรัฐอเมริกา เพื่อจัดตั้ง “ระบบเบรตตันวูดส์” (Bretton Woods System) จุดประสงค์หลักคือเพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศ ป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจซ้ำรอย และส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน

หลักการสำคัญของระบบเบรตตันวูดส์คือการยอมรับให้ “ดอลลาร์สหรัฐ” (US Dollar) เป็นสกุลเงินหลักของโลก โดยกำหนดให้ ทองคำ 1 ออนซ์ มีมูลค่าเท่ากับ 35 ดอลลาร์สหรัฐ และสกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลกจะถูกผูกค่าไว้กับดอลลาร์สหรัฐในอัตราคงที่ ทำให้ดอลลาร์สหรัฐกลายเป็นเสมือน “ทองคำ” ที่ใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศและเป็นเงินสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก

ทำไมต้องเป็นดอลลาร์สหรัฐ? เหตุผลหลักคือ:

เหตุผลหลัก รายละเอียด
ทุนสำรองทองคำมหาศาล สหรัฐฯ ถือครองทองคำสำรองเกือบ 2 ใน 3 ของโลกในขณะนั้น
เศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ สหรัฐฯ เป็นประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ยังคงเติบโตได้ดีหลังสงคราม
ความน่าเชื่อถือทางการเมือง เป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีระบบการเมืองมั่นคง

ระบบเบรตตันวูดส์ได้สร้างยุคแห่งเสถียรภาพทางการเงินให้กับโลกนานเกือบ 30 ปี มันส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและสนับสนุนการเติบโตของการค้าระหว่างประเทศได้อย่างดีเยี่ยม เราจะเห็นได้ว่าในยุคนี้ การคำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ค่อนข้างง่ายและคาดการณ์ได้ เพราะแต่ละสกุลเงินมีค่าคงที่เมื่อเทียบกับดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ก็มีจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ เมื่อเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก เริ่มฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ปริมาณดอลลาร์สหรัฐที่หมุนเวียนอยู่นอกประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะที่ปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐฯ กลับลดลง เนื่องจากสหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องจากการใช้จ่ายในสงครามเวียดนามและการพิมพ์เงินออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความไม่สมดุล และเริ่มมีคำถามถึงความสามารถของสหรัฐฯ ในการรักษามูลค่าของดอลลาร์เทียบกับทองคำ

วันนิกสันช็อก: จุดจบของระบบเบรตตันวูดส์และการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่

ความไม่สมดุลระหว่างปริมาณดอลลาร์สหรัฐที่หมุนเวียนทั่วโลกกับปริมาณทองคำสำรองของสหรัฐฯ ได้นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจในระบบเบรตตันวูดส์ โดยเฉพาะจากประเทศคู่ค้าที่เริ่มนำดอลลาร์สหรัฐที่ตนเองถือครองไปแลกเป็นทองคำ ทำให้ทองคำสำรองของสหรัฐฯ ยิ่งลดน้อยลงไปอีก

สถานการณ์มาถึงจุดวิกฤตในวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1971 เมื่อประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศชุดมาตรการฉุกเฉินทางเศรษฐกิจผ่านโทรทัศน์ที่เรียกว่า “The New Economic Policy” หนึ่งในมาตรการที่สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกคือ การระงับการแปลงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นทองคำ โดยทันที หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วันนิกสันช็อก” (The Nixon’s Shock)

การประกาศครั้งนี้มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อระบบการเงินโลก เนื่องจากเป็นการยุติหลักการสำคัญที่สุดของระบบเบรตตันวูดส์ที่ผูกดอลลาร์กับทองคำลงอย่างสิ้นเชิง ส่งผลให้ประเทศต่างๆ ที่เคยผูกค่าเงินของตนกับดอลลาร์สหรัฐต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนมหาศาล และนำไปสู่การล่มสลายของระบบเบรตตันวูดส์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1973

หลังจากวันนิกสันช็อก โลกได้เข้าสู่ยุคของ “ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว” (Floating Exchange Rate System) โดยที่ค่าเงินของแต่ละประเทศไม่ได้ถูกผูกติดกับทองคำหรือสกุลเงินหลักใดๆ อีกต่อไป แต่จะถูกกำหนดด้วยกลไกของตลาดเสรี ได้แก่ อุปสงค์และอุปทานของสกุลเงินนั้นๆ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานได้แก่:

ปัจจัย รายละเอียด
อัตราดอกเบี้ย หากประเทศใดมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า จะดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศ ทำให้ความต้องการสกุลเงินนั้นเพิ่มขึ้น
อัตราเงินเฟ้อ หากประเทศใดมีอัตราเงินเฟ้อสูง มูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงินจะลดลง ทำให้สกุลเงินอ่อนค่าลง
การเติบโตทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่เติบโตแข็งแกร่งมักจะดึงดูดการลงทุน และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
ดุลการค้า หากประเทศใดส่งออกมากกว่านำเข้า (เกินดุลการค้า) จะมีความต้องการสกุลเงินของประเทศนั้นสูงขึ้น
เสถียรภาพทางการเมืองและสังคม ความมั่นคงทางการเมืองและสังคมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ทำให้เงินไหลเข้า
การแทรกแซงของธนาคารกลาง ธนาคารกลางอาจเข้าซื้อหรือขายสกุลเงินในตลาดเพื่อบริหารจัดการค่าเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวนี้ แม้จะเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศ แต่ก็เพิ่มความผันผวนและความซับซ้อนให้กับตลาดการเงินโลกอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

ทำไมดอลลาร์สหรัฐยังคงครองโลกได้แม้ไร้ทองคำหนุนหลัง?

หลังการล่มสลายของระบบเบรตตันวูดส์และการที่ดอลลาร์สหรัฐไม่ผูกกับทองคำอีกต่อไป หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไม ดอลลาร์สหรัฐ ถึงยังคงเป็นสกุลเงินหลักที่มีอิทธิพลสูงสุดในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศและเป็นสกุลเงินสำรองที่สำคัญที่สุดของโลกมาจนถึงปัจจุบัน?

คำตอบซ่อนอยู่ในหลายปัจจัยที่เกื้อหนุนสถานะของดอลลาร์อย่างมั่นคง:

  1. ขนาดและความลึกของเศรษฐกิจสหรัฐฯ: สหรัฐอเมริกายังคงเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก มีตลาดการเงินที่พัฒนาสูง มีสภาพคล่องมหาศาล และมีกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุน สิ่งเหล่านี้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกว่าดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยและมั่นคง
  2. บทบาทในฐานะสกุลเงินสำรอง (Reserve Currency): แม้จะไม่มีทองคำหนุนหลัง แต่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงถือครองดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสำรองจำนวนมาก เพื่อใช้ในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ และเพื่อรักษาสมดุลของอัตราแลกเปลี่ยนภายในประเทศ การที่ประเทศต่างๆ ใช้ดอลลาร์เป็นเงินสำรอง ทำให้เกิดวงจรที่ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับดอลลาร์เอง
  3. “Petrodollar System”: ข้อตกลงที่สำคัญหลังยุค Bretton Woods คือการที่ประเทศผู้ผลิตน้ำมันส่วนใหญ่ โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย ตกลงที่จะขายน้ำมันในตลาดโลกเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าประเทศใดที่ต้องการซื้อน้ำมัน จะต้องถือครองหรือแปลงสกุลเงินของตนเป็นดอลลาร์สหรัฐก่อน สิ่งนี้สร้างอุปสงค์มหาศาลให้กับดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่อง
  4. เครือข่ายและความเคยชิน (Network Effect and Habit): ด้วยความที่เป็นสกุลเงินหลักมายาวนาน ดอลลาร์สหรัฐจึงถูกใช้เป็นสื่อกลางในการทำธุรกรรม การกู้ยืม การลงทุน และการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ทั่วโลกไปโดยปริยาย การเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและมีต้นทุนสูง
  5. บทบาทในฐานะ Safe Haven Currency: ในช่วงเวลาที่โลกเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจ นักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe Haven) และดอลลาร์สหรัฐก็เป็นหนึ่งในนั้น เนื่องจากความเชื่อมั่นในเสถียรภาพและสภาพคล่อง ทำให้เกิดความต้องการดอลลาร์เพิ่มขึ้นในยามวิกฤต

จากปัจจัยเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่าแม้ดอลลาร์สหรัฐจะไม่ได้ผูกติดกับทองคำเหมือนในอดีต แต่ด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจ บทบาททางการค้า และความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน ทำให้ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็น “จ้าวแห่งสกุลเงิน” ของโลกในยุคปัจจุบัน

หากคุณกำลังมองหาโอกาสในการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินในตลาดโลก โดยเฉพาะการลงทุนในตลาด Forex ที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐและสกุลเงินหลักอื่นๆ เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถืออย่าง Moneta Markets แพลตฟอร์มนี้เป็นที่รู้จักในฐานะโบรกเกอร์จากออสเตรเลียที่นำเสนอเครื่องมือการซื้อขายและสินทรัพย์ที่หลากหลาย เหมาะสำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพที่ต้องการเข้าถึงตลาดเงินตราต่างประเทศ

ภาพของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราสมัยใหม่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน

บทเรียนจากวิกฤตค่าเงินบาทไทยปี 2540: การลอยตัวและการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หวนกลับ

เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลก เงินบาทของไทย ก็มีประวัติศาสตร์และจุดเปลี่ยนที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ซึ่งถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าเศรษฐกิจไทยไปตลอดกาล

ก่อนปี 2540 ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของไทยใช้ระบบ “ตะกร้าเงิน” (Basket of Currencies) ซึ่งหมายความว่าค่าเงินบาทจะถูกกำหนดโดยอ้างอิงกับสกุลเงินหลักหลายสกุลรวมกัน เช่น ดอลลาร์สหรัฐ เยนญี่ปุ่น และมาร์คเยอรมัน (ในขณะนั้น) ในสัดส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด ระบบนี้ทำให้ค่าเงินบาทมีความผันผวนน้อยและมีเสถียรภาพค่อนข้างมาก โดยส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับประมาณ 24-26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ความมีเสถียรภาพของค่าเงินบาทนี้ทำให้ภาคธุรกิจของไทย โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า มีการกู้ยืมเงินสกุลต่างประเทศจำนวนมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศต่ำกว่าในประเทศ ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว

สัญญาณวิกฤตเริ่มปรากฏชัดเจนเมื่อกลุ่ม กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds) ต่างชาติ มองเห็นช่องโหว่และความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย เช่น การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดขนาดใหญ่ หนี้เสียในภาคการเงิน และการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ กองทุนเหล่านี้เริ่มทำการ “โจมตีค่าเงินบาท” โดยการกู้เงินบาทมาขายในตลาด เพื่อคาดการณ์ว่าเงินบาทจะต้องอ่อนค่าลงในไม่ช้า

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พยายามเข้าแทรกแซงตลาดเพื่อพยุงค่าเงินบาทโดยการใช้เงินสำรองระหว่างประเทศเข้าซื้อเงินบาทและขายเงินดอลลาร์ แต่ปริมาณการโจมตีมีมากเกินกำลัง เงินสำรองของประเทศลดลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ เมื่อไม่สามารถพยุงค่าเงินได้อีกต่อไป และเพื่อรักษาเงินสำรองที่เหลืออยู่จากการถูกโจมตีเพิ่มเติม ในที่สุด เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงตัดสินใจประกาศ “ลอยตัวค่าเงินบาท” อย่างเป็นทางการ

การประกาศลอยตัวค่าเงินบาทส่งผลให้ค่าเงินบาท อ่อนตัวลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จากระดับประมาณ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ไปแตะระดับต่ำสุดที่ 55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล:

ผลกระทบ รายละเอียด
ธุรกิจที่กู้เงินต่างประเทศ ต้องแบกรับภาระหนี้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้หลายธุรกิจล้มละลาย
การส่งออก ได้รับประโยชน์จากการที่สินค้าไทยราคาถูกลงในสายตาต่างชาติ
การนำเข้า มีต้นทุนสูงขึ้น
ประชาชนทั่วไป ประสบปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น

นับจากวันนั้น ค่าเงินบาทก็ไม่เคยกลับไปแข็งค่าที่ระดับ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐอีกเลย และไทยก็ได้เปลี่ยนมาใช้ ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการบริหารจัดการ (Managed Float) ซึ่งหมายถึงการปล่อยให้ค่าเงินเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดเป็นหลัก แต่ธนาคารกลางก็อาจเข้าแทรกแซงเป็นบางครั้งเมื่อเห็นว่าค่าเงินผันผวนผิดปกติหรือเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์

วิกฤตต้มยำกุ้งเป็นบทเรียนราคาแพงที่สอนให้ประเทศไทยรู้จักกับการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจมหภาคเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก

ค่าเงินแข็ง-อ่อน: ใครได้ใครเสียในสมดุลเศรษฐกิจ

เมื่อเราพูดถึง “ค่าเงินแข็ง” หรือ “ค่าเงินอ่อน” คุณอาจเคยได้ยินคำศัพท์เหล่านี้บ่อยครั้งในข่าวเศรษฐกิจ แต่คุณเข้าใจความหมายและผลกระทบของมันอย่างแท้จริงหรือไม่? มาทำความเข้าใจกันแบบง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าใครได้ประโยชน์และใครเสียประโยชน์จากความผันผวนของค่าเงิน

ค่าเงินแข็ง (Strong Currency / Appreciation)

หมายถึง สกุลเงินของประเทศนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ พูดง่ายๆ คือ เราใช้เงินของเราจำนวนน้อยลงเพื่อแลกสกุลเงินต่างประเทศจำนวนเท่าเดิม หรือเราสามารถซื้อสินค้าหรือบริการในต่างประเทศได้มากขึ้นด้วยเงินจำนวนเท่าเดิม

ตัวอย่าง: สมมติว่าเดิม 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 35 บาท หากค่าเงินบาทแข็งขึ้นเป็น 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 30 บาท นั่นหมายความว่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะเราใช้เงินบาทน้อยลงในการซื้อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ

ใครได้ประโยชน์?

  • ผู้นำเข้าสินค้า: ต้นทุนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศลดลง เพราะใช้เงินบาทน้อยลงในการซื้อสินค้านำเข้า
  • คนไทยที่ไปเที่ยวต่างประเทศ: สามารถใช้เงินบาทแลกเงินต่างประเทศได้มากขึ้น ทำให้การท่องเที่ยวมีค่าใช้จ่ายถูกลง
  • ธุรกิจที่กู้เงินต่างประเทศ: ภาระหนี้สกุลเงินต่างประเทศลดลงเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท
  • ผู้ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ: มีโอกาสทำกำไรเพิ่มขึ้นจากการแปลงเงินลงทุนกลับมาเป็นบาท (Capital Gain)

ใครเสียประโยชน์?

  • ผู้ส่งออกสินค้า: ราคาสินค้าส่งออกของไทยจะแพงขึ้นในสายตาต่างชาติ ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง และยอดขายอาจลดลง
  • ภาคการท่องเที่ยวในประเทศ: นักท่องเที่ยวต่างชาติมองว่าค่าครองชีพในไทยแพงขึ้น ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง หรือใช้จ่ายน้อยลง
  • คนไทยที่รับเงินจากต่างประเทศ: เช่น แรงงานไทยในต่างแดนที่ส่งเงินกลับบ้าน หรือธุรกิจที่รับรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ จะได้

發佈留言