วิธีการใช้ Moving Average เพื่อการเทรดที่มีประสิทธิภาพ

ผู้เริ่มต้นลงทุน

Moving Average คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐานของเครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้มที่นักเทรดทุกคนต้องรู้

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการเทรดหรือมีประสบการณ์มานานแล้ว การใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์กราฟที่แม่นยำและเชื่อถือได้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสุดในหมู่นักลงทุนทั่วโลกก็คือ Moving Average หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่า เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นพื้นฐานของเทคนิคการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เกือบทุกคนต้องผ่านการเรียนรู้

แต่ที่จริงแล้ว Moving Average คืออะไร? ถ้าพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือการนำราคาย้อนหลังของสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือค่าเงิน มาคำนวณเป็นค่าเฉลี่ยในช่วงเวลาที่กำหนด แล้วนำมาแสดงเป็นเส้นบนกราฟราคา เส้นนี้จะเคลื่อนที่ไปตามราคาจริง ทำหน้าที่กรองความผันผวนชั่วคราวหรือ “สัญญาณรบกวน” ออกไป เพื่อให้เราเห็นภาพรวมของ แนวโน้มหลัก ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น แทนที่จะถูกดึงความสนใจไปกับการแกว่งตัวรายวันที่อาจไม่ได้สะท้อนทิศทางที่แท้จริงของตลาด

สิ่งที่ควรเข้าใจให้ลึกคือ Moving Average เป็นเครื่องมือประเภท Lagging Indicator หรือตัวชี้วัดที่ตามหลังราคา เพราะมันสร้างขึ้นจากข้อมูลในอดีต จึงไม่สามารถทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ แต่ทำหน้าที่ยืนยันว่า “แนวโน้มนี้เริ่มขึ้นแล้ว” หรือ “ทิศทางกำลังเปลี่ยน” ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจเข้า-ออกตำแหน่งได้อย่างมีระบบและลดอารมณ์เข้ามาแทรกแซง

ภาพประกอบกราฟการเทรดพร้อมเส้น Moving Average แสดงแนวโน้มและแนวรับแนวต้าน

ประเภทของเส้น Moving Average ที่นักเทรดควรรู้จักและเลือกใช้ให้เหมาะสม

แม้แนวคิดพื้นฐานของ Moving Average จะดูเรียบง่าย แต่การประยุกต์ใช้มีหลากหลาย โดยเฉพาะในเรื่องของวิธีการคำนวณที่แตกต่างกัน ส่งผลให้แต่ละประเภทตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาไม่เหมือนกัน ซึ่งนักเทรดจำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างเพื่อเลือกใช้ให้ตรงกับสไตล์และเป้าหมายของตนเอง สองประเภทหลักที่นิยมใช้กันมากที่สุด ได้แก่ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA)

1. Simple Moving Average (SMA) – เส้นค่าเฉลี่ยพื้นฐานที่เน้นความเรียบง่าย

Simple Moving Average หรือ SMA เป็นรูปแบบแรกที่หลายคนสัมผัส โดยการคำนวณคือการนำราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 10 วัน มาบวกกัน แล้วหารด้วยจำนวนวันทั้งหมด ทำให้ข้อมูลทุกจุดในช่วงนั้นมีน้ำหนักเท่ากัน

ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้ SMA 10 วัน ระบบจะคำนวณจากผลรวมของราคาปิด 10 วันล่าสุด แล้วหารด้วย 10 ทุกครั้งที่มีข้อมูลใหม่เข้ามา เส้นที่ได้จะมีลักษณะนุ่มนวล เคลื่อนที่ช้า ทำให้เหมาะกับการมองภาพรวมของแนวโน้มระยะกลางถึงยาว อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของ SMA คือความล่าช้าในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาล่าสุด เนื่องจากยังคงให้ค่าน้ำหนักกับข้อมูลเก่าเท่ากับข้อมูลใหม่ ซึ่งอาจทำให้พลาดจังหวะสำคัญในตลาดที่เคลื่อนที่เร็ว

2. Exponential Moving Average (EMA) – ไวต่อราคา เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการความรวดเร็ว

เพื่อแก้ข้อจำกัดของ SMA นักวิเคราะห์จึงพัฒนา Exponential Moving Average หรือ EMA ขึ้นมา โดยมีหลักการคือให้ “น้ำหนักมากกว่า” กับราคาของช่วงล่าสุด ยิ่งใกล้ปัจจุบัน ยิ่งมีผลต่อค่าเฉลี่ยมาก ทำให้ EMA ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาได้รวดเร็วกว่าอย่างชัดเจน

ด้วยความไวนี้ จึงเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดระยะสั้นและผู้ที่ต้องการจับสัญญาณกลับตัวหรือการเปลี่ยนแนวโน้มอย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ความเร็วของ EMA ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงในการเกิด สัญญาณหลอก หรือ false signal โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวนสูงหรือเคลื่อนที่แบบไซด์เวย์ ซึ่งอาจทำให้เกิดการซื้อ-ขายผิดจังหวะได้หากไม่มีการยืนยันเพิ่มเติม

คุณสมบัติ Simple Moving Average (SMA) Exponential Moving Average (EMA)
การคำนวณ ให้น้ำหนักข้อมูลทุกช่วงเวลาเท่ากัน ให้น้ำหนักข้อมูลล่าสุดมากกว่า
ความเร็วในการตอบสนอง ช้ากว่า ให้สัญญาณที่ราบรื่นกว่า เร็วกว่า ไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคา
ความเหมาะสม เหมาะกับการมองแนวโน้มระยะยาว เหมาะกับการเทรดระยะสั้น-กลาง และจับสัญญาณกลับตัว
สัญญาณรบกวน มีสัญญาณรบกวน (Whipsaws) น้อยกว่า อาจเกิดสัญญาณหลอกได้บ่อยกว่า
ภาพเปรียบเทียบ Simple Moving Average และ Exponential Moving Average บนกราฟการซื้อขาย

3. Weighted Moving Average (WMA) และประเภทอื่น ๆ ที่ควรรู้จักผ่าน ๆ

นอกจาก SMA และ EMA แล้ว ยังมีรูปแบบอื่น ๆ ที่ใช้กันในวงการวิเคราะห์ เช่น Weighted Moving Average (WMA) ซึ่งให้ค่าน้ำหนักกับข้อมูลล่าสุดเช่นกัน แต่ใช้สูตรการคำนวณที่แตกต่างจาก EMA ไปอีกแบบ โดยทั่วไปแล้ว WMA จะตอบสนองเร็วใกล้เคียงกับ EMA แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่า สำหรับนักเทรดส่วนใหญ่ การเข้าใจและใช้งาน SMA กับ EMA ได้อย่างคล่องแคล่วก็เพียงพอแล้วในการสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ

วิธีใช้ Moving Average อย่างชาญฉลาดในกราฟเทคนิค

เมื่อเข้าใจประเภทของเส้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำไปประยุกต์ใช้จริงบนกราฟ เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อ-ขายอย่างมีระบบ ซึ่ง Moving Average สามารถใช้งานได้หลากหลายวิธี ไม่ใช่แค่ดูแนวโน้ม แต่ยังช่วยระบุจุดเข้า-ออก รวมถึงทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้านได้ด้วย

การระบุแนวโน้มของตลาด (Trend Identification)

หนึ่งในบทบาทพื้นฐานที่ทรงพลังที่สุดของ Moving Average คือการช่วยระบุทิศทางของตลาด ซึ่งสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ราคาปิดอยู่ “เหนือ” เส้น MA โดยตัวเส้นเองมีทิศทางชี้ขึ้นอย่างชัดเจน บ่งบอกว่าแรงซื้อเป็นฝ่ายควบคุมตลาด
  • แนวโน้มขาลง (Downtrend): ราคาเคลื่อนที่ “ต่ำกว่า” เส้น MA และเส้นค่อย ๆ ชี้ลง แสดงถึงแรงขายที่ยังคงกดดัน
  • ตลาดไซด์เวย์ (Sideways): ราคาขึ้น-ลงตัดเส้น MA ไปมาอย่างต่อเนื่อง เส้น MA ไม่มีความชันที่ชัดเจน บ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในช่วงพักตัวหรือรอทิศทางใหม่ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงการใช้กลยุทธ์ตามแนวโน้มในช่วงนี้
ภาพแสดงการระบุแนวโน้มด้วยเส้น Moving Average บนกราฟการเทรด

ใช้เป็นแนวรับ-แนวต้านแบบไดนามิก (Dynamic Support & Resistance)

อีกหนึ่งวิธีที่นักเทรดมืออาชีพนิยมใช้กันคือมองเส้น MA ไม่ใช่แค่ตัวชี้แนวโน้ม แต่เป็น แนวรับแนวต้านที่เคลื่อนที่ได้ หรือ Dynamic Support & Resistance ซึ่งแตกต่างจากเส้นแนวนอนที่อยู่กับที่

ในแนวโน้มขาขึ้น เมื่อราคาถอยตัวลงมาใกล้เส้น MA มักจะเกิดแรงซื้อกลับ ทำให้ราคาเด้งขึ้นต่อ ซึ่งแสดงว่า MA ทำหน้าที่เป็นแนวรับ ในทางกลับกัน ในแนวโน้มขาลง เมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปแตะเส้น MA มักจะถูกแรงขายกดกลับลงมา แสดงว่าเส้นนี้กลายเป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง ยิ่งหากมีการเด้งกลับหลายครั้งที่จุดเดิม ความน่าเชื่อถือของระดับนั้นก็ยิ่งสูงขึ้น

สัญญาณการตัดกันของเส้น (Crossovers) – กลยุทธ์จับจังหวะเข้า-ออก

หนึ่งในวิธีที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดคือการใช้ เส้น MA สองเส้น ที่มีค่า Period ต่างกัน แล้วดูจังหวะที่เส้นสั้นตัดข้ามเส้นยาว ซึ่งถือเป็นสัญญาณสำคัญที่อาจบ่งบอกถึงการเปลี่ยนทิศทางของแนวโน้ม

  • Golden Cross (สัญญาณซื้อ): เกิดเมื่อเส้น MA ระยะสั้น เช่น EMA 50 วัน ตัดขึ้นไป “เหนือ” เส้น MA ระยะยาว เช่น SMA 200 วัน ซึ่งตามข้อมูลจาก Investopedia ถือเป็นสัญญาณที่มีน้ำหนักสำคัญในเชิงบวก โดยเฉพาะในดัชนีหุ้นใหญ่ บ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นระยะยาว
  • Death Cross (สัญญาณขาย): เกิดในทางตรงกันข้าม เมื่อเส้น MA ระยะสั้นตัดลง “ต่ำกว่า” เส้น MA ระยะยาว เป็นสัญญาณเตือนถึงการเริ่มต้นแนวโน้มขาลง

อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่าสัญญาณเหล่านี้เป็น Lagging Indicator จึงอาจเกิดขึ้นหลังจากราคาเริ่มเคลื่อนที่ไปแล้วพอสมควร ดังนั้นควรมองว่าเป็น “การยืนยัน” มากกว่า “การคาดการณ์”

เคล็ดลับการเลือกช่วงเวลา (Period) ให้เหมาะกับสไตล์การเทรด

หนึ่งในคำถามที่พบบ่อยที่สุดคือ “ควรตั้งค่า Period เท่าไหร่ดี?” คำตอบคือ ไม่มีค่าที่ “ดีที่สุด” เพียงค่าเดียว เพราะขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละคน ดังนี้

  • นักเทรดระยะสั้น (Day Trader / Scalper): มักใช้ค่า Period สั้น ๆ เช่น 5, 10 หรือ 20 เพื่อจับการเคลื่อนไหวรายวันหรือรายชั่วโมง
  • นักเทรดระยะกลาง (Swing Trader): นิยมใช้ค่า 50 หรือ 100 วัน เพื่อจับการแกว่งตัวที่กินเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์
  • นักลงทุนระยะยาว (Trend Follower): ใช้ค่า 100 หรือ 200 วัน เพื่อมองภาพรวมของตลาดในระยะยาว และกรองความผันผวนรายวันออก

สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้เริ่มจากค่ามาตรฐานที่นักเทรดทั่วไปใช้กัน เช่น EMA 20, SMA 50, และ SMA 200 จากนั้นค่อยทดลองปรับค่าให้เหมาะกับสินทรัพย์และกรอบเวลาที่คุณเทรด โดยบางแพลตฟอร์ม เช่น Moneta Markets มีฟีเจอร์การตั้งค่า MA ที่ยืดหยุ่นและใช้งานง่าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5 ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Moving Average และวิธีหลีกเลี่ยง

แม้ Moving Average จะเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่า แต่การใช้งานผิดวิธีอาจนำไปสู่การขาดทุนได้ โดยเฉพาะในหมู่นักเทรดมือใหม่ นี่คือข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุด พร้อมแนวทางแก้ไข

  1. ใช้ MA ในตลาดไซด์เวย์: ในช่วงที่ตลาดไม่มีทิศทางชัดเจน เส้น MA มักให้สัญญาณหลอกบ่อย ทำให้เกิดการซื้อขายผิดจังหวะ วิธีแก้: ใช้เครื่องมือเสริม เช่น ADX เพื่อวัดความแรงของแนวโน้ม หากค่า ADX ต่ำกว่า 25 แสดงว่าตลาดอ่อนแอหรือไซด์เวย์ ควรพักกลยุทธ์ตามแนวโน้ม
  2. ใช้เส้นเดียวตัดสินใจ: การมองแค่เส้นเดียวอาจให้ภาพไม่ครบถ้วน วิธีแก้: ใช้เส้น MA 2 เส้นขึ้นไป เช่น 50 และ 200 เพื่อดูความสัมพันธ์และสัญญาณตัดกัน
  3. มองข้ามปัจจัยพื้นฐาน: MA ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเกิดข่าวร้ายหรือเหตุการณ์สำคัญที่อาจพลิกทิศทางราคาได้ วิธีแก้: ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและข่าวสารสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงประกาศผลประกอบการหรือการตัดสินใจของธนาคารกลาง
  4. เลือก Period ไม่ตรงกับสไตล์: ใช้ SMA 200 วันในกราฟ 5 นาที ไม่ได้ช่วยอะไร วิธีแก้: ปรับค่าให้สอดคล้องกับกรอบเวลา เช่น ใช้ MA 10 หรือ 20 ในกราฟ 15 นาที
  5. รีบเข้า-ออกตามสัญญาณเล็กน้อย: โดยเฉพาะเมื่อใช้ EMA ที่ไวต่อราคา การเห็นราคาแค่แตะหรือเบรคเส้นนิดหน่อยแล้วรีบตัดสินใจอาจเจอสัญญาณหลอก วิธีแก้: รอให้แท่งเทียนปิดตัวอย่างชัดเจนเหนือหรือใต้เส้น MA และดูปริมาณการซื้อขาย (Volume) ร่วมด้วย

เทคนิคขั้นสูง: ใช้ Moving Average ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่นเพื่อยืนยันสัญญาณ

นักเทรดมืออาชีพมักไม่พึ่งพา MA เพียงอย่างเดียว แต่ใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นเพื่อ ยืนยันสัญญาณ และเพิ่มความแม่นยำ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดังนี้

  • MA + RSI: ใช้ MA ดูทิศทางแนวโน้มหลัก และใช้ RSI หาจุดเข้าซื้อเมื่อตลาด “ถูกเกินไป” (Oversold) ในขาขึ้น หรือ “แพงเกินไป” (Overbought) ในขาลง
  • MA + MACD: เมื่อเส้น MA เกิด Golden Cross พร้อมกับเส้น MACD ตัดขึ้น ถือเป็น “การยืนยันสองชั้น” ที่เพิ่มความมั่นใจในการเปิดสถานะ
  • MA + Volume: หากราคาเบรคเหนือ SMA 200 พร้อมกับ Volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงแรงซื้อที่แท้จริง น่าเชื่อถือมากกว่าการเบรคที่ไม่มีปริมาณ

สรุป: Moving Average คือเครื่องมือพื้นฐานที่ทรงพลังและจำเป็น

Moving Average เป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ที่เรียบง่ายแต่กลับมีประสิทธิภาพสูงมาก หากใช้อย่างถูกวิธี สามารถช่วยระบุแนวโน้ม ทำหน้าที่เป็นแนวรับแนวต้าน และให้สัญญาณจับจังหวะซื้อขายผ่านการตัดกันของเส้นได้อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจข้อจำกัดของมันว่าเป็น Lagging Indicator ที่ทำงานได้ดีในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน แต่อาจล้มเหลวในช่วงไซด์เวย์ ความสำเร็จในการใช้งานขึ้นอยู่กับการเลือก Period ที่เหมาะสม การใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น และการบริหารความเสี่ยงที่ดี โดยเฉพาะการใช้ในแพลตฟอร์มที่เสถียรและมีเครื่องมือครบอย่าง Moneta Markets ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถประยุกต์ใช้ MA ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกสภาพตลาด

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Moving Average ตัวไหนดีที่สุดระหว่าง SMA กับ EMA?

ไม่มีตัวไหน “ดีที่สุด” อย่างตายตัว แต่ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การใช้งาน EMA ตอบสนองต่อราคาเร็วกว่า เหมาะสำหรับนักเทรดระยะสั้นที่ต้องการจับสัญญาณเร็ว ส่วน SMA ให้เส้นที่ราบรื่นกว่า เหมาะสำหรับการมองแนวโน้มระยะยาวและกรองสัญญาณรบกวน นักเทรดจำนวนมากนิยมใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน

ควรตั้งค่า Period เท่าไหร่ดีสำหรับนักเทรดมือใหม่?

สำหรับมือใหม่ แนะนำให้เริ่มต้นด้วยค่ามาตรฐานที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่:

  • EMA 20: สำหรับแนวโน้มระยะสั้น
  • SMA 50: สำหรับแนวโน้มระยะกลาง (มักใช้เป็นแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ)
  • SMA 200: สำหรับแนวโน้มระยะยาว ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างตลาดกระทิงและตลาดหมี

สัญญาณ Golden Cross และ Death Cross เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?

Golden Cross และ Death Cross ถือเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะยาวที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ๆ อย่างดัชนีหุ้น อย่างไรก็ตาม มันเป็นสัญญาณที่เกิดขึ้นช้า (Lagging) และอาจให้สัญญาณหลอกได้ในตลาด Sideways ดังนั้นจึงควรใช้เป็นเครื่องมือยืนยันภาพรวมของตลาด มากกว่าที่จะใช้เป็นสัญญาณเข้าซื้อขายเพียงอย่างเดียว

เราสามารถใช้ Moving Average กับตลาดหุ้นไทยและคริปโตได้หรือไม่?

ได้แน่นอน หลักการของ Moving Average และการวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาดที่มีสภาพคล่องเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย (SET), สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency), หรือตลาด Forex เพราะพฤติกรรมราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ล้วนขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์และอุปทาน ซึ่งสะท้อนออกมาเป็นแนวโน้มบนกราฟได้เช่นเดียวกัน

ทำไม Moving Average ถึงถูกเรียกว่าเป็น Lagging Indicator?

เพราะว่าค่าของเส้น Moving Average ถูกคำนวณมาจาก “ข้อมูลราคาในอดีต” (เช่น ราคาปิด 50 วันที่ผ่านมา) มันจึงเคลื่อนไหว “ตามหลัง” ราคาปัจจุบันเสมอ มันไม่สามารถทำนายอนาคตได้ แต่ทำหน้าที่ “ยืนยัน” ว่าแนวโน้มได้เกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

การใช้เส้น Moving Average หลายๆ เส้นพร้อมกันมีประโยชน์อย่างไร?

การใช้เส้น MA หลายเส้นพร้อมกัน (เช่น 10, 20, 50, 200) หรือที่เรียกว่า “Moving Average Ribbon” ช่วยให้เห็นภาพความแข็งแกร่งของแนวโน้มได้ชัดเจนขึ้น หากเส้นทั้งหมดเรียงตัวกันอย่างสวยงาม (เส้นสั้นสุดอยู่บนสุดในขาขึ้น) แสดงว่าเป็นแนวโน้มที่แข็งแกร่งมาก นอกจากนี้ ช่องว่างระหว่างเส้นยังสามารถทำหน้าที่เป็นโซนแนวรับ-แนวต้านได้อีกด้วย

เมื่อไหร่ที่ไม่ควรใช้ Moving Average ในการเทรด?

ช่วงเวลาที่ไม่ควรใช้ Moving Average มากที่สุดคือ “ตลาด Sideways” หรือตลาดที่ไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในสภาวะเช่นนี้ ราคาจะวิ่งตัดเส้น MA ไปมา ทำให้เกิดสัญญาณซื้อขายที่ผิดพลาดบ่อยครั้ง ดังนั้น ก่อนใช้ MA ควรประเมินก่อนว่าตลาดกำลังมีแนวโน้มหรือไม่

發佈留言