เงินฝืด: สาเหตุและผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย

ผู้เริ่มต้นลงทุน

เงินฝืด คืออะไร? เข้าใจลึกถึงกลไกเศรษฐกิจเมื่อ “ของถูกลง” กลายเป็นปัญหา

เงินฝืด หรือที่เรียกกันในภาษาเศรษฐศาสตร์ว่า Deflation ไม่ใช่แค่การที่ราคาสินค้าลดลงชั่วคราว แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ระดับราคาโดยรวมของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เมื่อเทียบกับภาวะเงินเฟ้อที่เราคุ้นเคย นี่คือสถานการณ์ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แม้ในระยะสั้น ผู้บริโภคจะรู้สึกดีใจที่เงินในกระเป๋าซื้อของได้มากขึ้น แต่เมื่อมองภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ เงินฝืดกลับเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายแรงที่อาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจที่ลึกและยาวนานกว่าเงินเฟ้อเสียอีก

ภาพประกอบแนวคิดเงินฝืดในเศรษฐกิจ

ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงินฝืดคือการเกิด “วงจรอุบาทว์” ทางเศรษฐกิจ เมื่อคนเริ่มมองว่าสิ่งของจะถูกลงอีกในอนาคต พวกเขาก็เลือกที่จะชะลอการจับจ่าย รอให้ราคาตกต่ำกว่าเดิม ผลที่ตามมาคือยอดขายของร้านค้าและบริษัทผลิตตกลง ทำให้บริษัทต้องระงับการผลิต ลดพนักงาน หรือปิดกิจการในที่สุด รายได้ของประชาชนหดหาย ความต้องการซื้อโดยรวมลดลง ทำให้เศรษฐกิจติดหล่มในภาวะถดถอยที่ยากจะรอดพ้น

รากเงื่อนของเงินฝืด: เกิดจากอะไร? วิเคราะห์ลึก 3 ปัจจัยหลัก

แม้เงินฝืดจะไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่เมื่อมันปรากฏขึ้น มักมีรากฐานมาจากความผิดปกติของสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในเศรษฐกิจ โดยสามารถแบ่งสาเหตุหลักได้เป็น 3 ประการใหญ่ๆ

อุปสงค์รวมหดตัว: เมื่อทุกคนหยุดจับจ่าย

นี่คือต้นตอที่พบบ่อยที่สุดและน่ากังวลที่สุด เกิดขึ้นเมื่อความต้องการใช้จ่ายของทั้งประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐ ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้มีหลายด้าน

  • ความวิตกกังวลต่ออนาคต: เมื่อครัวเรือนและนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง พวกเขาจะเลือกเก็บเงินแทนการใช้ ความต้องการบริโภคจึงลดลง
  • ภาระหนี้ครัวเรือนสูงลิ่ว: หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่หนักเกินไป ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ต้องถูกใช้ไปกับการชำระหนี้ ไม่มีเงินเหลือสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • นโยบายรัฐที่ตึงตัวเกินไป: การขึ้นภาษีหรือลดการใช้จ่ายของรัฐบาลอย่างฉับพลัน จะดูดเงินออกจากระบบ ทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง และกำลังซื้อโดยรวมหดตัวตามไปด้วย

อุปทานล้นฟ้า: เทคโนโลยีพุ่ง แต่ความต้องการตามไม่ทัน

บางครั้งเงินฝืดก็เกิดขึ้นจากการที่ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าออกมามากเกินไปในราคาที่ต่ำลงอย่างรวดเร็ว จนอุปทานมาเหนือกว่าอุปสงค์ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็น “เงินฝืดเชิงบวก” หากเกิดจากปัจจัยด้านเทคโนโลยี

  • เทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก: การใช้หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือกระบวนการผลิตอัตโนมัติช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมหาศาล ทำให้บริษัทสามารถลดราคาเพื่อแข่งขันได้
  • การค้นพบทรัพยากรใหม่: การเข้าถึงวัตถุดิบใหม่ เช่น แหล่งน้ำมัน หรือแร่สำคัญในพื้นที่ใหม่ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างทันที

อย่างไรก็ตาม หากอุปทานพุ่งเร็วเกินไป ราคาอาจตกลงเร็วจนบริษัทไม่สามารถรักษากำไรได้ นำไปสู่การปรับโครงสร้างธุรกิจหรือการปลดพนักงานได้เช่นกัน

ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจถดถอย

เงินคือเลือดของเศรษฐกิจ หากปริมาณเงินหมุนเวียนลดลง มูลค่าของเงินแต่ละบาทจะสูงขึ้น ทำให้ราคาโดยรวมต้องลดลงตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงและนโยบายการเงินเข้มงวดคือตัวเร่งสำคัญ

  • ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ: เมื่อต้องการควบคุมเงินเฟ้อที่ร้อนแรง ธนาคารกลางอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้การกู้ยืมแพงขึ้น สินเชื่อชะลอตัว และเงินใหม่ไม่ถูกสร้างขึ้นในระบบ หากดำเนินนโยบายเชิงรุกเกินไป อาจผลักดันเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดได้ ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบายอย่างละเอียดว่า นโยบายการเงินมีบทบาทสำคัญเพียงใดในการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

เงินฝืดกระทบใครบ้าง? ใครได้ ใครเจ็บหนัก

ผลกระทบนี้ไม่ได้ตกกระทบเท่ากันทั้งระบบ กลุ่มหนึ่งอาจได้ประโยชน์ชั่วคราว แต่ภาพรวมของประเทศกลับถูกฉุดให้ย่ำแย่ลงอย่างรุนแรง

ผู้บริโภคและผู้ออม: ได้ดีในวันนี้ แต่เสียในวันหน้า

คนที่มีเงินสดหรือเงินฝากในธนาคารจะได้รับผลดีในช่วงต้น เพราะเงินของพวกเขามี “อำนาจซื้อ” สูงขึ้น สามารถซื้อของได้มากขึ้นด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังว่า “พรุ่งนี้ของจะถูกกว่านี้” กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะมันทำให้คนถ่วงการซื้อของ ชะลอทุกการใช้จ่าย ซึ่งเป็นการเร่งให้เศรษฐกิจตกลงไปเรื่อยๆ

ภาคธุรกิจ: กำไรหาย ต้นทุนติดที่

เมื่อต้องขายสินค้าในราคาที่ลดลง แต่ยังคงต้องจ่ายค่าจ้าง พื้นที่ หรือต้นทุนคงที่อื่นๆ เท่าเดิม ผลคืออัตรากำไรของบริษัทจะย่ำแย่ลง การลงทุนหยุดชะงัก แผนขยายกิจการถูกเลื่อนออกไป และในที่สุด บริษัทอาจต้องปลดพนักงานหรือปิดกิจการเพื่อลดต้นทุน ส่งผลให้ปัญหาการว่างงานลุกลามไปทั่ว

ลูกหนี้ vs เจ้าหนี้: ความเหลื่อมล้ำที่ถูกยกระดับ

นี่คือผลกระทบที่รุนแรงที่สุด เงินฝืดทำให้มูลค่า “หนี้สินที่แท้จริง” เพิ่มขึ้นทันที แม้ยอดเงินต้นจะเท่าเดิม แต่รายได้ของลูกหนี้กลับลดลง ในขณะที่เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนในรูปแบบที่มี “อำนาจซื้อ” สูงกว่าเดิม ความไม่สมดุลนี้อาจทำให้ลูกหนี้จำนวนมากกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) และถูกธนาคารตัดยอด ซึ่งส่งสะเทือนต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม

เศรษฐกิจในมุมกว้าง: เข้าสู่วงจรถดถอย

เมื่อทุกภาคส่วนชะลอตัว เศรษฐกิจก็เข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนหยุดนิ่ง ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หดตัว รัฐบาลมีรายได้จากภาษีลดลง ทำให้ขาดงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี 1990 ที่เผชิญกับ “ทศวรรษที่หายไป” อย่างรุนแรงจากภาวะเงินฝืดเรื้อรังที่ไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา

ภาพประกอบผู้บริโภครอซื้อสินค้าในช่วงเงินฝืด

เปรียบเทียบให้ชัด: เงินฝืด vs เงินเฟ้อ vs เงินเฟ้อลดลง

คำศัพท์เหล่านี้มักถูกพูดสลับกันจนสับสน ทั้งที่ความหมายและผลกระทบต่างกันลิบลับ ตารางด้านล่างนี้จะช่วยสรุปให้เข้าใจง่ายและชัดเจน

คุณลักษณะ เงินฝืด (Deflation) เงินเฟ้อ (Inflation) เงินเฟ้อลดลง (Disinflation)
ระดับราคา ลดลงอย่างต่อเนื่อง (ติดลบ) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่น ยังคงเพิ่มขึ้น แต่ในอัตราที่ช้าลง
มูลค่าของเงิน เพิ่มขึ้น ลดลง ยังคงลดลง แต่ในอัตราที่ช้าลง
แนวโน้มการใช้จ่าย ชะลอการใช้จ่าย (รอราคาลดลงอีก) เร่งการใช้จ่าย (กลัวของแพงขึ้น) การใช้จ่ายเป็นปกติหรือชะลอตัวเล็กน้อย
ตัวอย่าง ดัชนีราคาผู้บริโภค -1% ดัชนีราคาผู้บริโภค +3% ดัชนีราคาผู้บริโภคเปลี่ยนจาก +5% เป็น +2%
ผลกระทบหลัก การว่างงานสูง, หนี้สินมีมูลค่าจริงเพิ่มขึ้น, เศรษฐกิจถดถอย ค่าครองชีพสูงขึ้น, มูลค่าเงินออมลดลง เป็นสัญญาณว่านโยบายควบคุมเงินเฟ้อเริ่มได้ผล

กลยุทธ์การลงทุนในยุคเงินฝืด: ป้องกันความมั่งคั่งอย่างชาญฉลาด

ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว สินทรัพย์บางประเภทอาจรักษาค่าหรือให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า นักลงทุนควรปรับพอร์ตอย่างระมัดระวัง โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของแต่ละสินทรัพย์ในช่วงวิกฤต

เงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องสูง: ยุคทองของ “เงินสด”

ในช่วงเงินฝืด “เงินสด” กลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด เพราะมูลค่าของมันเพิ่มขึ้นเอง ภายใต้เงื่อนไขที่สิ่งของทุกอย่างถูกลง การมีเงินสดสำรองในบัญชีออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ไม่เพียงให้ความมั่นคง แต่ยังเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในโอกาสที่เหมาะสมในอนาคต

พันธบัตรรัฐบาลคุณภาพสูง: สินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนจริง

พันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะจากประเทศที่มีความมั่นคงทางการคลัง เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี หรือญี่ปุ่น ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ได้รับความนิยมในยามวิกฤต แม้ดอกเบี้ยอาจไม่สูงมาก แต่ในภาวะเงินฝืด ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมี “ผลตอบแทนที่แท้จริง” เป็นบวก เนื่องจากมูลค่าของเงินที่ได้รับคืนมีอำนาจซื้อสูงขึ้น

หุ้นกลุ่มปกป้องพอร์ต: ลงทุนอย่างมีชั้นเชิง

ไม่ใช่ทุกหุ้นที่ล้มเหลวในภาวะถดถอย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม “Defensive Stocks” หรือหุ้นตั้งรับ ที่ทำธุรกิจในสินค้าจำเป็นที่คนต้องใช้ทุกวัน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ ตัวอย่างเช่น

  • สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน: เช่น อาหาร น้ำดื่ม เครื่องใช้ในบ้าน
  • สาธารณูปโภค: เช่น บริษัทไฟฟ้า น้ำประปาย หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์
  • กลุ่มสุขภาพและยา: เช่น โรงพยาบาล บริษัทผลิตยา หรือผู้ให้บริการทางการแพทย์

ข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้ว่า การมีความรู้เรื่องการเลือกหุ้นตามวงจรเศรษฐกิจช่วยให้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการมองหาหุ้นที่มีกระแสเงินสดมั่นคงและหนี้น้อย

สินทรัพย์ที่ควรหลีกเลี่ยง

ในยุควิกฤต ควรลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงและตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจโดยตรง

  • อสังหาริมทรัพย์: ราคามักตกในช่วงเศรษฐกิจถดถอย และการผ่อนชำระหนี้ก็หนักขึ้นตามรายได้ที่ลดลง
  • หุ้นเติบโต (Growth Stocks): บริษัทที่ยังไม่มีกำไรชัดเจนและพึ่งพาเงินกู้สูง มีความเสี่ยงล้มละลายสูงมาก
  • สินค้าโภคภัณฑ์: เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือโลหะอุตสาหกรรม ที่มูลค่าขึ้นอยู่กับอุปสงค์ อุปทานทั่วโลก ซึ่งมักหดตัวในภาวะเงินฝืด
ภาพประกอบรัฐบาลตัดสินใจใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

ภาครัฐจะรับมืออย่างไร? เครื่องมือต่อต้านเงินฝืด

การแก้ไขเงินฝืดต้องอาศัยมาตรการเชิงรุกทั้งในด้านการเงินและการคลัง เพื่อจุดประกายความเชื่อมั่นและเร่งการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ

นโยบายการเงินผ่อนคลาย: ธนาคารกลางเข้าสกัด

ธนาคารกลางจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านหลายช่องทาง

  • ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนและประชาชน กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและการลงทุน
  • มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing): หรือ QE คือการที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ จากธนาคารพาณิชย์ โดยตรง เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ

นโยบายการคลังเชิงรุก: รัฐบาลเป็นแรงผลัก

รัฐบาลสามารถลงมือทำเองได้โดยตรง

  • เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ: โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน รถไฟ โรงเรียน ที่สร้างงาน กระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น
  • ลดภาษี: ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เงินมากขึ้นอยู่ในกระเป๋าผู้คน เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ

หนึ่งในตัวอย่างที่น่าจับตามองในปัจจุบันคือ แพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Moneta Markets ที่เริ่มนำเสนอเครื่องมือการลงทุนที่ตอบสนองต่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จาก CFDs หรือตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือหาโอกาสในภาวะราคาผันผวน แต่ต้องเน้นว่า นี่คือกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์เท่านั้น

บทสรุป: เตรียมตัวให้พร้อมก่อนวิกฤตมาถึง

แม้คำว่า “ของถูกลง” จะดูน่าดึงดูดใจ แต่เงินฝืดคือภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ใต้ความรู้สึกดีในระยะสั้น หากไม่ถูกจัดการอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่วิกฤตว่างงาน ล้มละลาย และถดถอยอย่างยาวนาน การเข้าใจสาเหตุ ผลกระทบ และรู้วิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์หรือนักลงทุน แต่รวมถึงทุกครัวเรือน การวางแผนการเงินอย่างมีวินัย การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และการติดตามนโยบายภาครัฐอย่างใกล้ชิด จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

เงินฝืดดีหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว ภาวะเงินฝืดไม่ดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม แม้ผู้บริโภคจะซื้อของได้ถูกลงในระยะสั้น แต่ผลกระทบระยะยาวคือการว่างงานที่สูงขึ้น, ธุรกิจปิดตัว, และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรง นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงมองว่าเงินฝืดเป็นปัญหาที่น่ากังวลกว่าเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ

ใครเสียประโยชน์มากที่สุดจากภาวะเงินฝืด?

กลุ่มที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือ:

  • ลูกหนี้: เพราะมูลค่าหนี้สินที่แท้จริงเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ที่ลดลง
  • ภาคธุรกิจ: เพราะกำไรลดลงจากการที่ต้องขายสินค้าในราคาที่ต่ำลง
  • ลูกจ้างและคนว่างงาน: เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเลิกจ้างหรือหางานใหม่ได้ยากขึ้น

เงินฝืดส่งผลต่อหนี้สินของเราอย่างไร?

เงินฝืดทำให้มูลค่าที่แท้จริงของหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น สมมติว่าคุณมีหนี้ 100,000 บาท ในภาวะเงินฝืด รายได้ของคุณอาจลดลงและราคาสินทรัพย์ (เช่น บ้าน) อาจตกลง แต่ยอดหนี้ 100,000 บาทยังคงเท่าเดิม ทำให้ภาระในการชำระหนี้หนักขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับรายได้และทรัพย์สินของคุณ

เราควรลงทุนอะไรในภาวะเงินฝืด?

ควรเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ได้แก่ เงินสด, เงินฝากธนาคาร, พันธบัตรรัฐบาลคุณภาพดี, และหุ้นกลุ่ม Defensive Stock (เช่น สินค้าจำเป็น, สาธารณูปโภค) และควรหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์และหุ้นเติบโต

ภาวะเงินฝืดกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่างกันอย่างไร?

ภาวะเงินฝืด (Deflation) คือการที่ระดับราคาสินค้าลดลงต่อเนื่อง ส่วนภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) คือการที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หดตัวติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส ภาวะเงินฝืดมักจะเป็น “สาเหตุ” หรือ “ตัวเร่ง” ที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงและยาวนานขึ้น

สาเหตุที่ทำให้คนกลัวเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อคืออะไร?

เพราะเงินฝืดแก้ไขได้ยากกว่ามาก ธนาคารกลางสามารถขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อได้เสมอ แต่การลดดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินฝืดมีขีดจำกัด (ไม่สามารถลดให้ต่ำกว่า 0 ได้มากนัก) นอกจากนี้ เงินฝืดยังสร้างวงจรอุบาทว์ที่คนชะลอการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลง ซึ่งเป็นปัญหาที่ควบคุมได้ยาก

ประเทศไทยเคยเผชิญกับภาวะเงินฝืดหรือไม่?

ใช่ ประเทศไทยเคยเผชิญกับภาวะเงินฝืดในช่วงสั้นๆ หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) ซึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ในประเทศที่หดตัวอย่างรุนแรง และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เคยมีบางช่วงที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นภาวะเงินฝืดที่รุนแรงและเรื้อรัง

เงินฝืดส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร?

โดยทั่วไปตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงในภาวะเงินฝืด เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะลดลงตามราคาสินค้าและกำลังซื้อที่หดตัว นักลงทุนจะขาดความเชื่อมั่นและย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม หุ้นบางกลุ่ม (Defensive Stocks) อาจยังสามารถยืนหยัดหรือได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดโดยรวม

發佈留言