เงินฝืด คืออะไร? เข้าใจลึกถึงกลไกเศรษฐกิจเมื่อ “ของถูกลง” กลายเป็นปัญหา
เงินฝืด หรือที่เรียกกันในภาษาเศรษฐศาสตร์ว่า Deflation ไม่ใช่แค่การที่ราคาสินค้าลดลงชั่วคราว แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ระดับราคาโดยรวมของสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง เมื่อเทียบกับภาวะเงินเฟ้อที่เราคุ้นเคย นี่คือสถานการณ์ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง แม้ในระยะสั้น ผู้บริโภคจะรู้สึกดีใจที่เงินในกระเป๋าซื้อของได้มากขึ้น แต่เมื่อมองภาพรวมของระบบเศรษฐกิจ เงินฝืดกลับเป็นสัญญาณเตือนภัยร้ายแรงที่อาจนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจที่ลึกและยาวนานกว่าเงินเฟ้อเสียอีก

ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ภายใต้เงินฝืดคือการเกิด “วงจรอุบาทว์” ทางเศรษฐกิจ เมื่อคนเริ่มมองว่าสิ่งของจะถูกลงอีกในอนาคต พวกเขาก็เลือกที่จะชะลอการจับจ่าย รอให้ราคาตกต่ำกว่าเดิม ผลที่ตามมาคือยอดขายของร้านค้าและบริษัทผลิตตกลง ทำให้บริษัทต้องระงับการผลิต ลดพนักงาน หรือปิดกิจการในที่สุด รายได้ของประชาชนหดหาย ความต้องการซื้อโดยรวมลดลง ทำให้เศรษฐกิจติดหล่มในภาวะถดถอยที่ยากจะรอดพ้น
รากเงื่อนของเงินฝืด: เกิดจากอะไร? วิเคราะห์ลึก 3 ปัจจัยหลัก
แม้เงินฝืดจะไม่เกิดขึ้นบ่อย แต่เมื่อมันปรากฏขึ้น มักมีรากฐานมาจากความผิดปกติของสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในเศรษฐกิจ โดยสามารถแบ่งสาเหตุหลักได้เป็น 3 ประการใหญ่ๆ
อุปสงค์รวมหดตัว: เมื่อทุกคนหยุดจับจ่าย
นี่คือต้นตอที่พบบ่อยที่สุดและน่ากังวลที่สุด เกิดขึ้นเมื่อความต้องการใช้จ่ายของทั้งประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นภาคเอกชนหรือภาครัฐ ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะนี้มีหลายด้าน
- ความวิตกกังวลต่ออนาคต: เมื่อครัวเรือนและนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจจะแย่ลง พวกเขาจะเลือกเก็บเงินแทนการใช้ ความต้องการบริโภคจึงลดลง
- ภาระหนี้ครัวเรือนสูงลิ่ว: หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่หนักเกินไป ทำให้รายได้ส่วนใหญ่ต้องถูกใช้ไปกับการชำระหนี้ ไม่มีเงินเหลือสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มเติม
- นโยบายรัฐที่ตึงตัวเกินไป: การขึ้นภาษีหรือลดการใช้จ่ายของรัฐบาลอย่างฉับพลัน จะดูดเงินออกจากระบบ ทำให้สภาพคล่องในตลาดลดลง และกำลังซื้อโดยรวมหดตัวตามไปด้วย
อุปทานล้นฟ้า: เทคโนโลยีพุ่ง แต่ความต้องการตามไม่ทัน
บางครั้งเงินฝืดก็เกิดขึ้นจากการที่ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าออกมามากเกินไปในราคาที่ต่ำลงอย่างรวดเร็ว จนอุปทานมาเหนือกว่าอุปสงค์ ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็น “เงินฝืดเชิงบวก” หากเกิดจากปัจจัยด้านเทคโนโลยี
- เทคโนโลยีที่เปลี่ยนโลก: การใช้หุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ หรือกระบวนการผลิตอัตโนมัติช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมหาศาล ทำให้บริษัทสามารถลดราคาเพื่อแข่งขันได้
- การค้นพบทรัพยากรใหม่: การเข้าถึงวัตถุดิบใหม่ เช่น แหล่งน้ำมัน หรือแร่สำคัญในพื้นที่ใหม่ ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างทันที
อย่างไรก็ตาม หากอุปทานพุ่งเร็วเกินไป ราคาอาจตกลงเร็วจนบริษัทไม่สามารถรักษากำไรได้ นำไปสู่การปรับโครงสร้างธุรกิจหรือการปลดพนักงานได้เช่นกัน
ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจถดถอย
เงินคือเลือดของเศรษฐกิจ หากปริมาณเงินหมุนเวียนลดลง มูลค่าของเงินแต่ละบาทจะสูงขึ้น ทำให้ราคาโดยรวมต้องลดลงตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงและนโยบายการเงินเข้มงวดคือตัวเร่งสำคัญ
- ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ: เมื่อต้องการควบคุมเงินเฟ้อที่ร้อนแรง ธนาคารกลางอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้การกู้ยืมแพงขึ้น สินเชื่อชะลอตัว และเงินใหม่ไม่ถูกสร้างขึ้นในระบบ หากดำเนินนโยบายเชิงรุกเกินไป อาจผลักดันเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเงินฝืดได้ ข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย อธิบายอย่างละเอียดว่า นโยบายการเงินมีบทบาทสำคัญเพียงใดในการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระยะยาว
เงินฝืดกระทบใครบ้าง? ใครได้ ใครเจ็บหนัก
ผลกระทบนี้ไม่ได้ตกกระทบเท่ากันทั้งระบบ กลุ่มหนึ่งอาจได้ประโยชน์ชั่วคราว แต่ภาพรวมของประเทศกลับถูกฉุดให้ย่ำแย่ลงอย่างรุนแรง
ผู้บริโภคและผู้ออม: ได้ดีในวันนี้ แต่เสียในวันหน้า
คนที่มีเงินสดหรือเงินฝากในธนาคารจะได้รับผลดีในช่วงต้น เพราะเงินของพวกเขามี “อำนาจซื้อ” สูงขึ้น สามารถซื้อของได้มากขึ้นด้วยจำนวนเงินเท่าเดิม อย่างไรก็ตาม ความคาดหวังว่า “พรุ่งนี้ของจะถูกกว่านี้” กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะมันทำให้คนถ่วงการซื้อของ ชะลอทุกการใช้จ่าย ซึ่งเป็นการเร่งให้เศรษฐกิจตกลงไปเรื่อยๆ
ภาคธุรกิจ: กำไรหาย ต้นทุนติดที่
เมื่อต้องขายสินค้าในราคาที่ลดลง แต่ยังคงต้องจ่ายค่าจ้าง พื้นที่ หรือต้นทุนคงที่อื่นๆ เท่าเดิม ผลคืออัตรากำไรของบริษัทจะย่ำแย่ลง การลงทุนหยุดชะงัก แผนขยายกิจการถูกเลื่อนออกไป และในที่สุด บริษัทอาจต้องปลดพนักงานหรือปิดกิจการเพื่อลดต้นทุน ส่งผลให้ปัญหาการว่างงานลุกลามไปทั่ว
ลูกหนี้ vs เจ้าหนี้: ความเหลื่อมล้ำที่ถูกยกระดับ
นี่คือผลกระทบที่รุนแรงที่สุด เงินฝืดทำให้มูลค่า “หนี้สินที่แท้จริง” เพิ่มขึ้นทันที แม้ยอดเงินต้นจะเท่าเดิม แต่รายได้ของลูกหนี้กลับลดลง ในขณะที่เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนในรูปแบบที่มี “อำนาจซื้อ” สูงกว่าเดิม ความไม่สมดุลนี้อาจทำให้ลูกหนี้จำนวนมากกลายเป็นหนี้เสีย (NPLs) และถูกธนาคารตัดยอด ซึ่งส่งสะเทือนต่อเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม
เศรษฐกิจในมุมกว้าง: เข้าสู่วงจรถดถอย
เมื่อทุกภาคส่วนชะลอตัว เศรษฐกิจก็เข้าสู่ภาวะถดถอย การลงทุนหยุดนิ่ง ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หดตัว รัฐบาลมีรายได้จากภาษีลดลง ทำให้ขาดงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี 1990 ที่เผชิญกับ “ทศวรรษที่หายไป” อย่างรุนแรงจากภาวะเงินฝืดเรื้อรังที่ไม่สามารถแก้ไขได้ทันเวลา

เปรียบเทียบให้ชัด: เงินฝืด vs เงินเฟ้อ vs เงินเฟ้อลดลง
คำศัพท์เหล่านี้มักถูกพูดสลับกันจนสับสน ทั้งที่ความหมายและผลกระทบต่างกันลิบลับ ตารางด้านล่างนี้จะช่วยสรุปให้เข้าใจง่ายและชัดเจน
คุณลักษณะ | เงินฝืด (Deflation) | เงินเฟ้อ (Inflation) | เงินเฟ้อลดลง (Disinflation) |
---|---|---|---|
ระดับราคา | ลดลงอย่างต่อเนื่อง (ติดลบ) | เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่น | ยังคงเพิ่มขึ้น แต่ในอัตราที่ช้าลง |
มูลค่าของเงิน | เพิ่มขึ้น | ลดลง | ยังคงลดลง แต่ในอัตราที่ช้าลง |
แนวโน้มการใช้จ่าย | ชะลอการใช้จ่าย (รอราคาลดลงอีก) | เร่งการใช้จ่าย (กลัวของแพงขึ้น) | การใช้จ่ายเป็นปกติหรือชะลอตัวเล็กน้อย |
ตัวอย่าง | ดัชนีราคาผู้บริโภค -1% | ดัชนีราคาผู้บริโภค +3% | ดัชนีราคาผู้บริโภคเปลี่ยนจาก +5% เป็น +2% |
ผลกระทบหลัก | การว่างงานสูง, หนี้สินมีมูลค่าจริงเพิ่มขึ้น, เศรษฐกิจถดถอย | ค่าครองชีพสูงขึ้น, มูลค่าเงินออมลดลง | เป็นสัญญาณว่านโยบายควบคุมเงินเฟ้อเริ่มได้ผล |
กลยุทธ์การลงทุนในยุคเงินฝืด: ป้องกันความมั่งคั่งอย่างชาญฉลาด
ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว สินทรัพย์บางประเภทอาจรักษาค่าหรือให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า นักลงทุนควรปรับพอร์ตอย่างระมัดระวัง โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของแต่ละสินทรัพย์ในช่วงวิกฤต
เงินสดและสินทรัพย์สภาพคล่องสูง: ยุคทองของ “เงินสด”
ในช่วงเงินฝืด “เงินสด” กลับกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด เพราะมูลค่าของมันเพิ่มขึ้นเอง ภายใต้เงื่อนไขที่สิ่งของทุกอย่างถูกลง การมีเงินสดสำรองในบัญชีออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน ไม่เพียงให้ความมั่นคง แต่ยังเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในโอกาสที่เหมาะสมในอนาคต
พันธบัตรรัฐบาลคุณภาพสูง: สินทรัพย์ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนจริง
พันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะจากประเทศที่มีความมั่นคงทางการคลัง เช่น สหรัฐอเมริกา เยอรมนี หรือญี่ปุ่น ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ที่ได้รับความนิยมในยามวิกฤต แม้ดอกเบี้ยอาจไม่สูงมาก แต่ในภาวะเงินฝืด ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมี “ผลตอบแทนที่แท้จริง” เป็นบวก เนื่องจากมูลค่าของเงินที่ได้รับคืนมีอำนาจซื้อสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มปกป้องพอร์ต: ลงทุนอย่างมีชั้นเชิง
ไม่ใช่ทุกหุ้นที่ล้มเหลวในภาวะถดถอย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม “Defensive Stocks” หรือหุ้นตั้งรับ ที่ทำธุรกิจในสินค้าจำเป็นที่คนต้องใช้ทุกวัน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือแย่ ตัวอย่างเช่น
- สินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน: เช่น อาหาร น้ำดื่ม เครื่องใช้ในบ้าน
- สาธารณูปโภค: เช่น บริษัทไฟฟ้า น้ำประปาย หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์
- กลุ่มสุขภาพและยา: เช่น โรงพยาบาล บริษัทผลิตยา หรือผู้ให้บริการทางการแพทย์
ข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ชี้ว่า การมีความรู้เรื่องการเลือกหุ้นตามวงจรเศรษฐกิจช่วยให้ลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการมองหาหุ้นที่มีกระแสเงินสดมั่นคงและหนี้น้อย
สินทรัพย์ที่ควรหลีกเลี่ยง
ในยุควิกฤต ควรลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงและตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจโดยตรง
- อสังหาริมทรัพย์: ราคามักตกในช่วงเศรษฐกิจถดถอย และการผ่อนชำระหนี้ก็หนักขึ้นตามรายได้ที่ลดลง
- หุ้นเติบโต (Growth Stocks): บริษัทที่ยังไม่มีกำไรชัดเจนและพึ่งพาเงินกู้สูง มีความเสี่ยงล้มละลายสูงมาก
- สินค้าโภคภัณฑ์: เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือโลหะอุตสาหกรรม ที่มูลค่าขึ้นอยู่กับอุปสงค์ อุปทานทั่วโลก ซึ่งมักหดตัวในภาวะเงินฝืด

ภาครัฐจะรับมืออย่างไร? เครื่องมือต่อต้านเงินฝืด
การแก้ไขเงินฝืดต้องอาศัยมาตรการเชิงรุกทั้งในด้านการเงินและการคลัง เพื่อจุดประกายความเชื่อมั่นและเร่งการหมุนเวียนของเงินในระบบเศรษฐกิจ
นโยบายการเงินผ่อนคลาย: ธนาคารกลางเข้าสกัด
ธนาคารกลางจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านหลายช่องทาง
- ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนและประชาชน กระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายและการลงทุน
- มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing): หรือ QE คือการที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือตราสารหนี้ จากธนาคารพาณิชย์ โดยตรง เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ
นโยบายการคลังเชิงรุก: รัฐบาลเป็นแรงผลัก
รัฐบาลสามารถลงมือทำเองได้โดยตรง
- เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ: โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน รถไฟ โรงเรียน ที่สร้างงาน กระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น
- ลดภาษี: ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้ หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้เงินมากขึ้นอยู่ในกระเป๋าผู้คน เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าจับตามองในปัจจุบันคือ แพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Moneta Markets ที่เริ่มนำเสนอเครื่องมือการลงทุนที่ตอบสนองต่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน นักลงทุนสามารถใช้ประโยชน์จาก CFDs หรือตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงหรือหาโอกาสในภาวะราคาผันผวน แต่ต้องเน้นว่า นี่คือกลยุทธ์สำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์เท่านั้น
บทสรุป: เตรียมตัวให้พร้อมก่อนวิกฤตมาถึง
แม้คำว่า “ของถูกลง” จะดูน่าดึงดูดใจ แต่เงินฝืดคือภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ใต้ความรู้สึกดีในระยะสั้น หากไม่ถูกจัดการอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่วิกฤตว่างงาน ล้มละลาย และถดถอยอย่างยาวนาน การเข้าใจสาเหตุ ผลกระทบ และรู้วิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน ไม่ใช่แค่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์หรือนักลงทุน แต่รวมถึงทุกครัวเรือน การวางแผนการเงินอย่างมีวินัย การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และการติดตามนโยบายภาครัฐอย่างใกล้ชิด จะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เงินฝืดดีหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ภาวะเงินฝืดไม่ดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม แม้ผู้บริโภคจะซื้อของได้ถูกลงในระยะสั้น แต่ผลกระทบระยะยาวคือการว่างงานที่สูงขึ้น, ธุรกิจปิดตัว, และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรง นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จึงมองว่าเงินฝืดเป็นปัญหาที่น่ากังวลกว่าเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ
ใครเสียประโยชน์มากที่สุดจากภาวะเงินฝืด?
กลุ่มที่เสียประโยชน์มากที่สุดคือ:
- ลูกหนี้: เพราะมูลค่าหนี้สินที่แท้จริงเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้ที่ลดลง
- ภาคธุรกิจ: เพราะกำไรลดลงจากการที่ต้องขายสินค้าในราคาที่ต่ำลง
- ลูกจ้างและคนว่างงาน: เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเลิกจ้างหรือหางานใหม่ได้ยากขึ้น
เงินฝืดส่งผลต่อหนี้สินของเราอย่างไร?
เงินฝืดทำให้มูลค่าที่แท้จริงของหนี้สินเพิ่มสูงขึ้น สมมติว่าคุณมีหนี้ 100,000 บาท ในภาวะเงินฝืด รายได้ของคุณอาจลดลงและราคาสินทรัพย์ (เช่น บ้าน) อาจตกลง แต่ยอดหนี้ 100,000 บาทยังคงเท่าเดิม ทำให้ภาระในการชำระหนี้หนักขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับรายได้และทรัพย์สินของคุณ
เราควรลงทุนอะไรในภาวะเงินฝืด?
ควรเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ได้แก่ เงินสด, เงินฝากธนาคาร, พันธบัตรรัฐบาลคุณภาพดี, และหุ้นกลุ่ม Defensive Stock (เช่น สินค้าจำเป็น, สาธารณูปโภค) และควรหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น อสังหาริมทรัพย์และหุ้นเติบโต
ภาวะเงินฝืดกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยต่างกันอย่างไร?
ภาวะเงินฝืด (Deflation) คือการที่ระดับราคาสินค้าลดลงต่อเนื่อง ส่วนภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) คือการที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) หดตัวติดต่อกันอย่างน้อย 2 ไตรมาส ภาวะเงินฝืดมักจะเป็น “สาเหตุ” หรือ “ตัวเร่ง” ที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงและยาวนานขึ้น
สาเหตุที่ทำให้คนกลัวเงินฝืดมากกว่าเงินเฟ้อคืออะไร?
เพราะเงินฝืดแก้ไขได้ยากกว่ามาก ธนาคารกลางสามารถขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินเฟ้อได้เสมอ แต่การลดดอกเบี้ยเพื่อสู้กับเงินฝืดมีขีดจำกัด (ไม่สามารถลดให้ต่ำกว่า 0 ได้มากนัก) นอกจากนี้ เงินฝืดยังสร้างวงจรอุบาทว์ที่คนชะลอการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ลง ซึ่งเป็นปัญหาที่ควบคุมได้ยาก
ประเทศไทยเคยเผชิญกับภาวะเงินฝืดหรือไม่?
ใช่ ประเทศไทยเคยเผชิญกับภาวะเงินฝืดในช่วงสั้นๆ หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 (วิกฤตต้มยำกุ้ง) ซึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ในประเทศที่หดตัวอย่างรุนแรง และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาก็เคยมีบางช่วงที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นภาวะเงินฝืดที่รุนแรงและเรื้อรัง
เงินฝืดส่งผลต่อตลาดหุ้นอย่างไร?
โดยทั่วไปตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงในภาวะเงินฝืด เนื่องจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่จะลดลงตามราคาสินค้าและกำลังซื้อที่หดตัว นักลงทุนจะขาดความเชื่อมั่นและย้ายเงินทุนไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม หุ้นบางกลุ่ม (Defensive Stocks) อาจยังสามารถยืนหยัดหรือได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดโดยรวม