BRICS: โฉมหน้าใหม่ของมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกและการผงาดขึ้นของประเทศไทย
ในโลกที่พลวัตทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตอย่างโดดเด่นนามว่า BRICS ได้ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักบนเวทีโลก คุณอาจกำลังจับตาดูปรากฏการณ์นี้ด้วยความสนใจว่ากลุ่มประเทศนี้คืออะไร มีบทบาทอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยของเราจะได้รับผลกระทบหรือคว้าโอกาสอะไรได้บ้างท่ามกลางกระแสการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจนี้
บทความนี้จะพาคุณสำรวจเจาะลึกถึงวิวัฒนาการ อิทธิพล และอนาคตของกลุ่ม BRICS รวมถึงนัยยะสำคัญที่ประเทศไทยจะเผชิญในฐานะ “ประเทศหุ้นส่วน” อย่างเป็นทางการ เราในฐานะผู้ให้ความรู้เชื่อว่าการทำความเข้าใจบริบทเหล่านี้อย่างถ่องแท้ จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาคุณสู่การตัดสินใจลงทุนและการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ในโลกที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างชาญฉลาดและรอบคอบ
ในความเป็นจริง BRICS ครอบคลุมกลุ่มประเทศที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจอย่าง รัสเซีย จีน บราซิล อินเดีย และแอฟริกาใต้ ซึ่งทำให้มีความเข้มแข็งในการเจรจาต่อรองทางการค้าบนเวทีโลกได้อย่างมาก
- BRICS ก่อตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก
- ประเทศที่เข้าร่วมจะได้รับโอกาสในการพัฒนาทางด้านการค้าและการลงทุน
- BRICS มีบทบาทสำคัญในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและระดับโลก
ความเป็นมาและการขยายตัวของกลุ่ม BRICS: จากแนวคิดสู่มหาอำนาจโลก
แนวคิดของ BRICS เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2544 โดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง จิม โอนีลล์ จากธนาคารเพื่อการลงทุนโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) เขาได้สร้างคำว่า “BRIC” ขึ้นมาเพื่อบ่งชี้ถึง 4 ประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน กลุ่มประเทศเหล่านี้โดดเด่นด้วยขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ ประชากรจำนวนมาก และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตกสู่ประเทศเกิดใหม่
จากแนวคิดเชิงทฤษฎี BRIC ได้พัฒนาไปสู่การรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2549 เมื่อรัฐมนตรีต่างประเทศของทั้งสี่ประเทศได้จัดการประชุมครั้งแรกขึ้นที่นครนิวยอร์ก ความร่วมมือนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างเวทีสำหรับประเทศกำลังพัฒนาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสานนโยบาย และเสริมสร้างอิทธิพลบนเวทีโลก ก่อนที่ในปี พ.ศ. 2553 แอฟริกาใต้ ได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ทำให้กลุ่มนี้เปลี่ยนชื่อเป็น “BRICS” ซึ่งเป็นตัวอักษรแรกของทั้งห้าประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมกลุ่มที่ครอบคลุมทวีปที่สำคัญของโลก
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของกลุ่ม BRICS เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เมื่อกลุ่มได้ขยายจำนวนสมาชิกเต็มรูปแบบเป็น 10 ประเทศ โดยมี อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่ การขยายตัวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากที่จะมีบทบาทมากขึ้นในระบบพหุภาคี และลดการพึ่งพิงสถาบันที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตก มันคือการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า BRICS ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มเศรษฐกิจอีกต่อไป แต่เป็นขั้วอำนาจทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
พลวัตทางเศรษฐกิจและบทบาทของธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่
การขยายตัวของกลุ่ม BRICS ทำให้พลังทางเศรษฐกิจและประชากรของกลุ่มยิ่งทวีคูณขึ้นอย่างมหาศาล ปัจจุบัน BRICS ครอบคลุมประชากรกว่า 3.5-4 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 45-50% ของประชากรโลก และมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันกว่า 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเท่ากับประมาณ 28% ของเศรษฐกิจโลก ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงอิทธิพลที่ไม่อาจมองข้ามได้ในด้านการผลิต การบริโภค และห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ นอกจากนี้ กลุ่ม BRICS ยังเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรวมกันถึง 44% ของตลาดโลก ซึ่งเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนภาคพลังงานและเศรษฐกิจโลกโดยรวม คุณเห็นไหมว่านี่คือกลุ่มประเทศที่มีพลังในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกอย่างแท้จริง
หัวใจสำคัญประการหนึ่งที่เสริมสร้างขีดความสามารถทางการเงินของ BRICS คือการก่อตั้ง ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank – NDB) ในปี พ.ศ. 2557 โดยมีสำนักงานใหญ่ที่นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน NDB ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการจัดหาเงินกู้สำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศสมาชิกและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ คุณอาจเคยได้ยินชื่อสถาบันการเงินระหว่างประเทศอย่างธนาคารโลก (World Bank) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งมักถูกมองว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาติตะวันตก NDB จึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อเป็นกลไกที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของประเทศกำลังพัฒนาในการสร้างระบบการเงินที่ยืดหยุ่นและเป็นอิสระมากขึ้น
NDB มีบทบาทสำคัญในการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการขนาดใหญ่ ตั้งแต่พลังงานหมุนเวียนไปจนถึงการคมนาคมขนส่ง ช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดความยากจนในประเทศสมาชิก นอกจากนี้ NDB ยังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่กว้างขึ้นของ BRICS ในการลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ และสร้างระบบการเงินโลกที่มีความหลากหลายและสมดุลมากยิ่งขึ้น การมีสถาบันการเงินของตนเองเช่น NDB ทำให้ BRICS มีเครื่องมือที่แข็งแกร่งในการขับเคลื่อนวาระการพัฒนาของกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเทศสมาชิก BRICS | ปีที่เข้าร่วม |
---|---|
บราซิล | 2544 |
รัสเซีย | 2544 |
จีน | 2544 |
อินเดีย | 2544 |
แอฟริกาใต้ | 2553 |
อียิปต์ | 2567 |
เอธิโอเปีย | 2567 |
อิหร่าน | 2567 |
ซาอุดีอาระเบีย | 2567 |
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | 2567 |
วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์: การลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ และความท้าทาย
เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของกลุ่ม BRICS มีความหลากหลายและแตกต่างกันไปในแต่ละสมาชิกหลัก จีน ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม มีความมุ่งมั่นที่จะขยายอิทธิพลของตนในกลุ่ม Global South และเป็นพลังนำในซีกโลกทางใต้ จีนมอง BRICS เป็นเวทีสำคัญในการสร้างระเบียบโลกใหม่ที่มีหลายขั้วอำนาจ ซึ่งจะช่วยลดการครอบงำของชาติตะวันตกและส่งเสริมบทบาทของตนในฐานะมหาอำนาจระดับโลก ในขณะที่ รัสเซีย ซึ่งเป็นประธานกลุ่ม BRICS ในปี พ.ศ. 2567 มีเป้าหมายที่จะใช้เวทีนี้ในการต่อต้านมาตรการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกที่รุนแรงขึ้นจากการรุกรานยูเครน รัสเซียมองว่า BRICS เป็นช่องทางสำคัญในการรักษาสายสัมพันธ์ทางการค้าและการเงินกับประเทศที่ไม่เข้าข้างตะวันตก ช่วยให้สามารถเอาชนะมาตรการเหล่านั้นได้บางส่วน และเสริมสร้างบทบาทของตนในฐานะผู้จัดหาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สำคัญ
ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดประการหนึ่งในการสนทนาเกี่ยวกับ BRICS คือแนวคิดเรื่อง สกุลเงิน BRICS ที่เสนอโดยบางประเทศสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบราซิลและรัสเซีย จุดประสงค์หลักคือการ ลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐฯ ในการค้าระหว่างประเทศและเป็นทางเลือกให้กับระบบการเงินที่ขับเคลื่อนด้วยดอลลาร์ในปัจจุบัน คุณอาจสงสัยว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้แค่ไหนในทางปฏิบัติหรือไม่? ผู้เสนอเชื่อว่าสกุลเงินร่วมจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การแทรกแซงทางการเมือง และทำให้ประเทศสมาชิกมีอิสระทางการเงินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ดร.ไอรีน มีอา ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันคลังสมอง แชทแฮม เฮาส์ (Chatham House) ได้กล่าวเตือนว่า การสร้างสกุลเงินร่วมของ BRICS ที่จะมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริง และต้องใช้เวลาอีกนานเนื่องจากมีอุปสรรคเชิงปฏิบัติมากมาย
อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการเกิดขึ้นของสกุลเงิน BRICS ได้แก่ การขาดนโยบายเศรษฐกิจที่สอดคล้องกันระหว่างประเทศสมาชิก ความแตกต่างในระบบการเมืองและเศรษฐกิจ ข้อจำกัดในการเคลื่อนย้ายเงินทุน และที่สำคัญที่สุดคือความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นในสกุลเงินใหม่ในระดับสากล นอกจากนี้ การคัดค้านจากสหรัฐฯ ซึ่งเห็นได้ชัดจากคำเตือนของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าหาก BRICS พยายามสร้างสกุลเงินใหม่ พวกเขาจะเผชิญกับ “การเก็บภาษี 100%” จากสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจถึงปฏิกิริยาที่รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าแนวคิดเรื่องสกุลเงิน BRICS อาจยังไม่เป็นรูปธรรมในระยะสั้น แต่ความพยายามในการเพิ่มการใช้ สกุลเงินท้องถิ่น ในการค้าระหว่างประเทศสมาชิกนั้นเป็นไปในทิศทางที่ชัดเจนและกำลังได้รับความร่วมมือมากขึ้นเรื่อยๆ
ประเทศไทยกับ BRICS: โอกาสทางเศรษฐกิจและการเมืองระดับภูมิภาค
ประเทศไทยได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2566 และจะเข้าร่วมอย่างเป็นทางการในฐานะ “ประเทศหุ้นส่วน” ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2568 พร้อมกับอีก 12 ประเทศที่ได้รับสถานะเดียวกัน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการปรับสมดุลนโยบายต่างประเทศของไทย ซึ่งตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกที่กำลังก้าวไปสู่ระบบหลายขั้วอำนาจ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์และวิชาการอิสระ มองว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดและเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว
การเข้าเป็นประเทศหุ้นส่วนของ BRICS เปิดประตูแห่งโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทยหลายประการ คุณอาจคาดหวังประโยชน์ในด้านเหล่านี้:
- การค้าและการลงทุน: การเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ของกลุ่ม BRICS ซึ่งมีประชากรกว่าครึ่งหนึ่งของโลก จะช่วยขยายโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการของไทย และดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงานในประเทศ
- ทางเลือกทางการเงิน: BRICS และ NDB สามารถเป็นแหล่งเงินทุนทางเลือกสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพิงสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม และเปิดโอกาสให้ไทยสามารถชำระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐฯ
- ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน: การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม BRICS ซึ่งมีสมาชิกที่ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ เช่น น้ำมันดิบและสินค้าเกษตรกรรมจำนวนมาก จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและพลังงานให้กับประเทศไทยในระยะยาว
- บทบาทในเวทีพหุภาคี: การเข้าร่วม BRICS จะช่วยเพิ่มบทบาทและอำนาจการต่อรองของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้ไทยสามารถมีส่วนร่วมในการกำหนดวาระและทิศทางของโลกในประเด็นสำคัญต่าง ๆ ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ ของไทยยังได้เน้นย้ำว่า การเข้าร่วม BRICS จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจมหภาค โครงสร้างพื้นฐาน และการเชื่อมโยงระบบดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตและการพัฒนาของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้
โอกาสที่ไทยจะได้รับจาก BRICS | รายละเอียด |
---|---|
การค้าและการลงทุน | ขยายโอกาสในการส่งออกและดึงดูดการลงทุน |
ทางเลือกทางการเงิน | เปิดโอกาสให้ใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการค้าระหว่างประเทศ |
ความมั่นคงทางอาหารและพลังงาน | เสริมสร้างความมั่นคงในด้านที่สำคัญ |
บทบาทในเวทีพหุภาคี | เพิ่มอำนาจการต่อรองในเวทีระหว่างประเทศ |
ความท้าทายและศิลปะแห่งการรักษาสมดุลของไทยในโลกหลายขั้ว
แม้ว่าการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS จะนำมาซึ่งโอกาสมากมาย แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายและความจำเป็นในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างรอบคอบ ประเทศไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่ม BRICS ซึ่งรวมถึงมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซีย กับการรักษาสายสัมพันธ์อันดีกับ ชาติตะวันตก โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา และ สหภาพยุโรป ซึ่งยังคงเป็นคู่ค้าและการลงทุนหลักของไทย ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน อาทิ ครีออน บัทเลอร์ จากสถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ (International Institute for Strategic Studies) ได้เตือนให้ไทยระมัดระวังในการตัดสินใจ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจเกิดขึ้นจากการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น
ความเสี่ยงประการหนึ่งคือการถูกมองว่า “เลือกข้าง” ในความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างชาติตะวันตกกับกลุ่ม BRICS หากไทยไม่สามารถรักษาสมดุลได้อย่างเหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับประเทศคู่ค้าเดิมที่สำคัญ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เองก็ได้ให้ข้อสังเกตว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องบริหารจัดการความสัมพันธ์อย่างมีศิลปะ เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าเป็นการหันเหออกจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและการส่งออกในระยะยาว
ดังนั้น สำหรับประเทศไทยแล้ว กุญแจสำคัญคือการใช้สถานะ “ประเทศหุ้นส่วน” ของ BRICS อย่างชาญฉลาด เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ โดยไม่ก่อให้เกิดความตึงเครียดกับพันธมิตรที่มีอยู่ การดำเนินนโยบายที่ยืดหยุ่นและเป็นอิสระ โดยยึดผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง จะช่วยให้ไทยสามารถเดินหน้าในโลกที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างมั่นคง สิ่งนี้หมายถึงการพิจารณาทุกก้าวอย่างละเอียด การสื่อสารที่ชัดเจน และการสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นสะพานเชื่อม ไม่ใช่จุดแบ่งแยกในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
เสียงจากผู้เชี่ยวชาญ: บทวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับอนาคตของ BRICS
เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมและอนาคตของ BRICS อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เราควรรับฟังมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติ ศ.ปาดเรจ คาร์โมดี ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจจากดับบลิน ได้ชี้ให้เห็นว่าการขยายตัวของ BRICS เป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจโลก และบ่งบอกถึงความต้องการของ Global South ที่จะสร้างระบบระเบียบโลกที่เป็นธรรมและเป็นตัวแทนของเสียงที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการพัฒนาและอธิปไตยทางเศรษฐกิจของตนเอง
ผู้เชี่ยวชาญบางรายมองว่าแม้ BRICS จะมีขนาดเศรษฐกิจและประชากรที่น่าประทับใจ แต่ความหลากหลายของผลประโยชน์ภายในกลุ่มก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง จีนและอินเดียซึ่งเป็นสองมหาอำนาจเศรษฐกิจในเอเชีย มีความขัดแย้งทางพรมแดนที่ยังไม่คลี่คลาย ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับอินเดียและจีนก็มีความซับซ้อนตามลำดับชั้นของอำนาจ อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศเหล่านี้ยังคงรวมตัวกันภายใต้ร่มเงาของ BRICS แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายที่ใหญ่กว่า นั่นคือการสร้างสมดุลอำนาจกับกลุ่ม G7 และสถาบันที่อยู่ภายใต้อิทธิพลตะวันตก การประชุมสุดยอดผู้นำ BRICS ที่กำลังจะมาถึงในเมืองคาซาน ประเทศรัสเซีย ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2567 จะเป็นเวทีสำคัญในการกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคต และอาจมีการตัดสินใจเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขยายสมาชิกภาพหรือแนวทางนโยบายสำคัญ
ในระยะยาว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่า BRICS จะยังคงเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ ในเศรษฐกิจโลก แต่จะไม่สามารถแทนที่สถาบันที่มีอยู่เดิมได้โดยสมบูรณ์ เนื่องจากความท้าทายเชิงโครงสร้างและผลประโยชน์ที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การที่กลุ่มนี้มีเสียงที่ดังขึ้น จะบีบให้สถาบันระดับโลกอย่าง OECD, ธนาคารโลก, และ IMF ต้องปรับตัวและเปิดกว้างรับฟังมุมมองของประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการสร้างระบบการเงินและเศรษฐกิจโลกที่มีเสถียรภาพและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน
ภาพใหญ่: BRICS กับการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลกใหม่
การเติบโตและบทบาทที่แข็งแกร่งขึ้นของกลุ่ม BRICS ไม่ใช่เพียงแค่ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของการเปลี่ยนผ่านสู่ ระเบียบโลกใหม่มีหลายขั้วอำนาจ ซึ่งหมายความว่าไม่มีประเทศหรือกลุ่มประเทศใดเพียงกลุ่มเดียวที่จะมีอิทธิพลเหนือทุกสิ่งทุกอย่างอีกต่อไป สิ่งที่เรากำลังเห็นคือการจัดระเบียบอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลกครั้งใหญ่ ที่เคยกระจุกตัวอยู่กับชาติตะวันตก กำลังกระจายตัวออกไปสู่ประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย แอฟริกา หรือละตินอเมริกา
การเกิดขึ้นของ BRICS และการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นการท้าทายระเบียบโลกที่ถูกกำหนดโดย G7 ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ การแข่งขันทางเศรษฐกิจและอุดมการณ์ระหว่างสองขั้วนี้จะยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นในอนาคต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป เพราะการแข่งขันนี้อาจนำไปสู่ความสมดุลที่ดีขึ้น และส่งเสริมให้เกิดทางเลือกใหม่ๆ ในด้านการค้า การลงทุน และการพัฒนา คุณในฐานะนักลงทุนหรือผู้สนใจเศรษฐกิจ จำเป็นต้องเข้าใจพลวัตนี้ เพื่อคาดการณ์ความเสี่ยงและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในตลาดโลก
ในบริบทนี้ การที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นประเทศหุ้นส่วนของ BRICS จึงเป็นการวางตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ เพื่อให้เราสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงในกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ และสามารถเลือกใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทั้งจากฝั่ง BRICS และจากฝั่งชาติตะวันตกได้อย่างยืดหยุ่น การเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายที่หลากหลายจะช่วยลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่ง และเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับเศรษฐกิจไทยในการรับมือกับความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้า การทำความเข้าใจ “ภาพใหญ่” นี้ จะช่วยให้คุณเห็นโอกาสและรับมือกับความท้าทายได้อย่างชาญฉลาดและรอบด้านยิ่งขึ้น
บทสรุป
กลุ่ม BRICS กำลังผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วในฐานะหนึ่งในผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดในเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก การขยายตัวของสมาชิกและบทบาทที่เพิ่มขึ้นของธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ ล้วนเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มในการสร้างระเบียบโลกใหม่ที่สมดุลและหลายขั้วมากขึ้น
สำหรับประเทศไทย การตัดสินใจเข้าร่วมเป็น “ประเทศหุ้นส่วน” ของ BRICS ถือเป็นการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งเปิดโอกาสใหม่ๆ ในด้านการค้า การลงทุน และการเงิน อย่างไรก็ตาม คุณในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอนาคตของชาติ จะต้องตระหนักว่าเส้นทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ การรักษาสมดุลความสัมพันธ์กับทั้งกลุ่ม BRICS และชาติตะวันตกอย่างระมัดระวัง จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาประเทศไทยให้ก้าวผ่านความท้าทาย และคว้าผลประโยชน์สูงสุดในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้งนี้ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และการเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบ เราเชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคใหม่ของเศรษฐกิจโลก.
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับbrics คือ
Q:BRICS คืออะไร?
A:BRICS คือกลุ่มประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้
Q:การเข้าร่วม BRICS จะประโยชน์อย่างไรต่อประเทศไทย?
A:ช่วยขยายขอบเขตการค้า การลงทุน และเพิ่มความมั่นคงในด้านเศรษฐกิจ สูตรการเงินที่หลากหลาย และบทบาทในการเจรจาต่อรองกับประเทศอื่น
Q:สกุลเงิน BRICS มีความเป็นไปได้หรือไม่?
A:แม้จะมีการพูดคุยกัน แต่การสร้างสกุลเงินนี้ยังเป็นเรื่องที่ท้าทายมากในทางปฏิบัติ