การเทรดแบบสแคปปิ้งถือเป็นหนึ่งในวิธีการซื้อขายที่รวดเร็วและเข้มข้นที่สุดในตลาดการเงิน โดยมุ่งหวังให้ได้กำไรน้อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงไม่กี่จุด แต่ทำซ้ำหลายรอบตลอดวัน นักเทรดที่เลือกใช้วิธีนี้ ซึ่งเรียกว่าสแคปเปอร์ ต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างว่องไว มีวินัยที่มั่นคง และรับมือกับความกดดันได้ดี บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกด้านของการเทรดสแคปปิ้ง ตั้งแต่พื้นฐาน ข้อดีข้อเสีย กลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม การจัดการความเสี่ยง จิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง ไปจนถึงการเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสำหรับนักเทรดชาวไทย

1. การเทรดสแคปปิ้งคืออะไร? สำรวจการซื้อขายระยะสั้นที่รวดเร็วราวสายฟ้า
สแคปปิ้งคือรูปแบบการเทรดที่เน้นเปิดและปิดออเดอร์ในช่วงเวลาสั้นๆ สุดๆ โดยทั่วไปแล้วจะอยู่แค่ไม่กี่นาที หรือบางครั้งแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น เป้าหมายหลักของสแคปเปอร์คือการเก็บเกี่ยวกำไรเล็กน้อยจากความเคลื่อนไหวของราคาในตลาด เพียงไม่กี่พิพหรือจุดเดียว และสะสมกำไรเหล่านั้นให้เป็นจำนวนมากในแต่ละวัน

สิ่งที่ทำให้การเทรดสแคปปิ้งแตกต่างจากรูปแบบอื่นๆ คือ สแคปเปอร์ไม่สนใจภาพรวมของตลาดในระยะยาว แต่จะโฟกัสไปที่การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ หรือที่เรียกว่ามิครอมูฟเมนต์ ในกรอบเวลาสั้นๆ เช่น กราฟ 1 นาทีหรือ 5 นาที ซึ่งหมายความว่านักเทรดต้องจับตาหน้าจออย่างใกล้ชิด และพร้อมเข้าออกตลาดทันทีที่เห็นโอกาส นอกจากนี้ การเทรดแบบนี้ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วได้ดี โดยไม่ต้องรอคอยนาน
2. ข้อดีและข้อเสียของสแคปปิ้ง: โอกาสกับอุปสรรคที่ควรพิจารณา
ก่อนจะลงมือเทรดสแคปปิ้ง นักเทรดควรทำความเข้าใจทั้งด้านบวกและด้านลบให้ชัดเจน เพื่อประเมินว่าวิธีนี้เหมาะกับตัวเองหรือไม่

ข้อดีของการสแคปปิ้ง:
- ลดความเสี่ยงจากการถือพอร์ตข้ามคืน: เนื่องจากทุกออเดอร์จะปิดภายในวันเดียว จึงหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนจากเหตุการณ์นอกเวลาเปิดตลาดได้
- โอกาสทำกำไรบ่อยครั้ง: สามารถสร้างกำไรได้หลายรอบต่อวัน แม้แต่ละรอบจะได้ไม่มาก แต่สะสมรวมแล้วก็ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ
- ไม่ต้องติดตามข่าวยาวๆ: ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ปัจจัยเศรษฐกิจใหญ่ๆ หรือพื้นฐานในระยะกลาง-ยาวมากนัก
- ใช้ประโยชน์จากความผันผวนน้อยๆ: แม้ตลาดจะนิ่ง แต่ก็ยังมีโอกาสทำกำไรจากความเคลื่อนไหวเล็กๆ ได้
ข้อเสียของการสแคปปิ้ง:
- ค่าธรรมเนียมและสเปรดสะสมสูง: การเปิด-ปิดออเดอร์บ่อยทำให้สเปรดหรือค่าคอมมิชชั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจกินกำไรสุทธิไปมาก
- ต้องใช้สมาธิสูง: ต้องจับตาหน้าจอตลอดและตัดสินใจอย่างรวดเร็วโดยไม่วอกแวก
- ความเครียดสะสม: การตัดสินใจบ่อยๆ และการเจอขาดทุนเล็กน้อยซ้ำๆ อาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าและกดดันทางจิตใจ
- ต้องพึ่งเลเวอเรจสูง: เพื่อให้กำไรจากความเคลื่อนไหวเล็กๆ คุ้มค่า จึงต้องใช้เลเวอเรจสูง ซึ่งหากจัดการไม่ดีอาจขาดทุนหนัก
- ต้องการความเร็วสูง: ต้องเลือกโบรกเกอร์ที่มีการส่งคำสั่งรวดเร็วและสเปรดต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้า
3. กลยุทธ์สแคปปิ้งยอดนิยมที่นำไปใช้ได้จริง
การสแคปปิ้งที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและแม่นยำ มาดูตัวอย่างกลยุทธ์ที่นักเทรดหลายคนชื่นชอบกัน
3.1 กลยุทธ์สแคปปิ้งด้วยอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
นักเทรดมักรวมอินดิเคเตอร์หลายตัวเพื่อยืนยันสัญญาณในกรอบเวลาสั้นๆ อย่าง 1 นาทีหรือ 5 นาที ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเข้าตลาด
- Moving Average (MA): ช่วยบ่งชี้ทิศทางแนวโน้มระยะสั้น และหาจุดเข้าออกเมื่อราคาตัดเส้น MA หรือเมื่อเส้น MA สองเส้นตัดกัน เช่น MA5 กับ MA10
- Relative Strength Index (RSI): ใช้ตรวจสอบภาวะซื้อมากเกินหรือขายมากเกิน เพื่อหาจุดเข้าตลาดสวนทางในช่วงสั้น
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): ยืนยันแรงผลักดันของราคา และสัญญาณการกลับตัวหรือการดำเนินต่อของแนวโน้ม
- Stochastic Oscillator: คล้าย RSI ใช้หาโซนซื้อมาก/ขายมาก และจุดเข้าที่มีโอกาสกลับตัวสูง
การผสมผสานอินดิเคเตอร์เหล่านี้ เช่น ใช้ MA กำหนดทิศทางหลัก แล้ว RSI หรือ Stochastic หาจุดเข้าที่ละเอียด จะช่วยยกระดับโอกาสทำกำไรให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวไม่มาก
3.2 กลยุทธ์สแคปปิ้งด้วย Price Action และแพทเทิร์นแท่งเทียน
Price Action คือการวิเคราะห์ราคาโดยตรงโดยไม่พึ่งอินดิเคเตอร์ แต่เน้นการอ่านแท่งเทียนและโครงสร้างตลาด เพื่อจับสัญญาณรวดเร็ว
- แพทเทิร์นแท่งเทียน: รูปแบบอย่าง Doji, Hammer, Engulfing ในกรอบ 1M หรือ 5M สามารถบอกการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของราคาได้ทันที
- แนวรับ-แนวต้าน: หาระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญในกรอบสั้น เพื่อใช้เป็นจุดเข้าออก โดยคาดว่าราคาจะเด้งกลับจากระดับเหล่านั้น
- โครงสร้างตลาด: สังเกต Higher Highs/Lows หรือ Lower Highs/Lows เพื่อยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าตามนั้น
3.3 กลยุทธ์สแคปปิ้งตามข่าวและเหตุการณ์สำคัญ
News Scalping คือการเทรดทันทีหลังประกาศข่าวเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ใหญ่ที่ก่อให้เกิดความผันผวนรุนแรง เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย ตัวเลขเงินเฟ้อ หรือรายงาน اشتغال
แม้กลยุทธ์นี้จะให้โอกาสกำไรสูง แต่ความเสี่ยงก็มากเพราะราคาอาจพุ่งหรือร่วงทั้งสองทางอย่างรวดเร็ว นักเทรดต้องตอบสนองฉับไวและใช้โบรกเกอร์ที่ไม่มี requotes เพื่อให้คำสั่งดำเนินการทันที การฝึกฝนและ积累ประสบการณ์จึงจำเป็นมาก โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจพลาดจังหวะง่ายๆ
4. การจัดการความเสี่ยงและเงินทุนสำหรับสแคปปิ้งอย่างมือโปร
เนื่องจากการสแคปปิ้งมีอัตราการเทรดสูงและใช้เลเวอเรจมาก การบริหารความเสี่ยงและเงินทุนจึงเป็นหัวใจหลัก หากขาดวินัย อาจสูญเสียทุนรวดเร็วได้ จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) การจัดการความเสี่ยงเป็นพื้นฐานของการลงทุนทุกประเภท
4.1 การตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างรัดกุม
Stop Loss เพื่อหยุดขาดทุนและ Take Profit เพื่อล็อกกำไร เป็นเครื่องมือหลักสำหรับสแคปปิ้ง เนื่องจากเป้าหมายกำไรต่อรอบน้อย จึงต้องตั้งค่าเหล่านี้ให้แคบและยึดถืออย่างเคร่งครัด
- Risk-Reward Ratio: ในสแคปปิ้ง มักใช้สัดส่วน 1:1 หรือ 1:1.5 เพราะเน้นจำนวนรอบชนะมากกว่ากำไรต่อรอบ
- จำกัดความเสี่ยง: ตั้ง Stop Loss ทันทีหลังเข้าตลาด เพื่อป้องกันราคาเคลื่อนไหวผิดคาดและขาดทุนเกินควบคุม
4.2 การคำนวณ Lot Size และจัดการเงินทุน
การเลือกขนาด Lot ที่เหมาะสมช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อทุนทั้งหมด ทำให้การเทรดยั่งยืนยิ่งขึ้น
- กฎ 0.5-1%: ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 0.5-1% ของทุนบัญชีต่อรอบเทรด
- วิธีคำนวณ: ถ้าบัญชีมีทุน 1,000 ดอลลาร์ และยอมเสี่ยง 1% จะขาดทุนสูงสุด 10 ดอลลาร์ต่อรอบ จากนั้นปรับ Lot Size ตามระยะ Stop Loss เพื่อให้สอดคล้อง
5. ปัจจัยหลักสู่ความสำเร็จในการเทรดสแคปปิ้ง (รวมจิตวิทยาสำหรับนักเทรดไทย)
5.1 วินัย ความอดทน และการควบคุมอารมณ์
จิตวิทยาการเทรดมีบทบาทสำคัญต่อสแคปเปอร์ เพราะการเทรดถี่และเจอขาดทุนบ่อยอาจกระทบจิตใจได้ง่าย
- วินัย: ยึดแผนเทรดและกฎจัดการความเสี่ยงอย่างไม่คลาย เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ impulsively
- ควบคุมอารมณ์: นักเทรดไทยหลายคนอาจรู้สึก “เสียดาย” เมื่อพลาดโอกาส หรือ “อยากแก้มือ” หลังขาดทุน ซึ่งนำไปสู่ความผิดพลาดใหญ่ การยอมรับขาดทุนเล็กและไม่ปล่อยให้อารมณ์นำเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน
- ความอดทน: แม้เป็นเทรดสั้น แต่ต้องรอสัญญาณชัดเจนจริงๆ ก่อนเข้าตลาด ไม่รีบร้อน
5.2 การเลือกโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับสแคปปิ้งในไทย
การเลือกโบรกเกอร์ที่ใช่เป็นกุญแจสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับตลาดไทยที่ต้องการความน่าเชื่อถือและเงื่อนไขพิเศษ
- สเปรดและค่าคอมต่ำ: ช่วยลดต้นทุนจากการเทรดบ่อย เพิ่มกำไรสุทธิให้มากขึ้น
- ความเร็วดำเนินการ: สำคัญเพื่อหลีกเลี่ยง slippage (Exness อธิบายเรื่องการดำเนินการคำสั่ง) และได้ราคาที่ต้องการ
- ระบบเสถียร: แพลตฟอร์มอย่าง MT4/MT5 ต้องไม่ล่มหรือช้าบ่อย เพื่อให้เทรดได้ต่อเนื่อง
- โบรกเกอร์ยอดฮิตในไทย: เช่น Exness, Mitrade, LiteFinance ที่มีบัญชีเอื้อสแคปปิ้งด้วยสเปรดต่ำและความเร็วดี แต่ควรเช็คเงื่อนไขล่าสุดก่อนสมัคร
5.3 การฝึกฝนและ Backtesting อย่างต่อเนื่อง
ก่อนเทรดจริง ต้องฝึกและทดสอบกลยุทธ์ให้ชำนาญ เพื่อสร้างความมั่นใจ
- บัญชีเดโม: ใช้ฝึกกลยุทธ์และแพลตฟอร์มโดยไม่เสี่ยงเงินจริง พัฒนาการตัดสินใจรวดเร็ว
- Backtesting: ทดสอบกลยุทธ์กับข้อมูลราคาอดีต เพื่อหาจุดแข็งอ่อนและปรับปรุง
6. สแคปปิ้งเทียบกับ Day Trading และ Swing Trading: เลือกสไตล์ไหนที่เหมาะกับคุณ?
เพื่อช่วยตัดสินใจ ลองดูตารางเปรียบเทียบระหว่างสแคปปิ้ง Day Trading และ Swing Trading ที่แสดงความแตกต่างหลักๆ
คุณสมบัติ | Scalping | Day Trading | Swing Trading |
---|---|---|---|
กรอบเวลา (Timeframe) | สั้นมาก (1M, 5M) | สั้น (15M, 30M, 1H) | ปานกลาง (4H, Daily) |
เป้าหมายกำไรต่อครั้ง | เล็กน้อย (ไม่กี่ pip) | ปานกลาง (10-50 pip) | มาก (50-200+ pip) |
ความถี่ในการเทรด | สูงมาก (หลายสิบถึงร้อยครั้งต่อวัน) | ปานกลาง (2-10 ครั้งต่อวัน) | ต่ำ (ไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์) |
ระยะเวลาถือสถานะ | ไม่กี่วินาที – ไม่กี่นาที | ไม่กี่นาที – ไม่กี่ชั่วโมง (ไม่ข้ามคืน) | หลายวัน – หลายสัปดาห์ |
ระดับความเครียด | สูงมาก | สูง | ปานกลาง |
เงินทุนที่ใช้ | อาจต้องใช้ Leverage สูง | ปานกลาง | ไม่ต้องใช้ Leverage สูงเท่า |
การวิเคราะห์ | เน้นเทคนิคอล, Price Action, Indicator ในกรอบเวลา สั้น | เทคนิคอล, ข่าวสารระยะสั้น | เทคนิคอล, พื้นฐาน, ข่าวสารระยะกลาง |
การเลือกกลยุทธ์ขึ้นอยู่กับนิสัย เวลาว่าง และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ถ้าคุณชอบความท้าทาย ความรวดเร็ว และตัดสินใจภายใต้แรงกดดันได้ดี สแคปปิ้งอาจตอบโจทย์คุณที่สุด
สรุป: เส้นทางสู่การเป็นสแคปเปอร์ที่เก่งต้องอาศัยวินัยและการเรียนรู้ไม่สิ้นสุด
การเทรดสแคปปิ้งเป็นวิธีที่น่าตื่นเต้นและมีโอกาสทำกำไรเร็ว แต่ก็เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความท้าทาย นักเทรดที่อยากประสบความสำเร็จต้องมีวินัยแข็งแกร่ง ควบคุมอารมณ์ได้ และจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
การเรียนรู้ต่อเนื่องผ่านบัญชีเดโมและ Backtesting รวมถึงเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม จะช่วยพัฒนาทักษะและประสบการณ์ให้คุณเป็นสแคปเปอร์ที่มีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือไม่มีกลยุทธ์ไหนรับประกันกำไร 100% ทุกการเทรดต้องมาพร้อมการวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงที่ดีเสมอ โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวนอย่าง Forex
การเทรด Scalping เหมาะกับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นจริงหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว การเทรด Scalping ไม่เหมาะกับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นเท่าไหร่นัก เนื่องจากต้องอาศัยความเร็วในการตัดสินใจสูง มีวินัยที่เคร่งครัด และการบริหารความเสี่ยงที่แม่นยำ ซึ่งเป็นทักษะที่ต้องใช้ประสบการณ์พอสมควร อย่างไรก็ตาม หากมือใหม่มีความมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้และฝึกฝนอย่างหนักในบัญชีทดลองก่อน ก็สามารถเริ่มต้นได้ แต่ควรเข้าใจถึงความท้าทายที่สูงกว่าการเทรดรูปแบบอื่น
โบรกเกอร์ Forex เจ้าไหนที่คนไทยนิยมใช้และมีค่าสเปรดต่ำ เหมาะกับการเทรด Scalping?
โบรกเกอร์ที่คนไทยนิยมใช้และมีชื่อเสียงด้านสเปรดต่ำรวมถึงความเร็วในการดำเนินการที่เหมาะกับการ Scalping ได้แก่ Exness, Mitrade, และ LiteFinance โบรกเกอร์เหล่านี้มักจะมีบัญชีประเภท ECN หรือ Raw Spread ที่ให้สเปรดต่ำมากโดยมีค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อยต่อล็อต อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบเงื่อนไขบัญชีและค่าธรรมเนียมล่าสุดของแต่ละโบรกเกอร์ก่อนตัดสินใจ
ควรใช้กรอบเวลา (Timeframe) เท่าไหร่ดีที่สุดสำหรับการ Scalping ในตลาด Forex?
สำหรับ Scalping ในตลาด Forex กรอบเวลาที่นิยมใช้มากที่สุดคือ 1 นาที (M1) และ 5 นาที (M5) บางครั้งอาจใช้ 15 นาที (M15) เพื่อดูแนวโน้มในระยะสั้นที่กว้างขึ้นประกอบการตัดสินใจ การใช้กรอบเวลาที่สั้นมากจะช่วยให้ Scalper สามารถจับการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยได้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยสัญญาณรบกวน (noise) ที่มากขึ้น
Scalping จำเป็นต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นเยอะแค่ไหนถึงจะเห็นผลกำไร?
Scalping ไม่ได้ต้องการเงินทุนเริ่มต้นที่เยอะมาก แต่ต้องการเงินทุนที่เพียงพอที่จะบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม หากใช้ Leverage สูง การเริ่มต้นด้วยเงินทุน $100-$500 ก็เป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการกำหนด Lot Size ให้สัมพันธ์กับ Stop Loss และไม่เสี่ยงเกิน 0.5-1% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง เพื่อให้สามารถทนต่อการขาดทุนเล็กน้อยได้หลายครั้ง
การเทรด Scalping ถูกกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่ และมีผลด้านภาษีอย่างไรบ้าง?
การเทรด Scalping โดยทั่วไปถือว่าถูกกฎหมายในประเทศไทย ตราบใดที่คุณเทรดผ่านโบรกเกอร์ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานในประเทศไทยโดยตรง และถือเป็นการลงทุนส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม กำไรที่ได้จากการเทรด Forex ถือเป็นรายได้ที่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามกฎหมายไทย ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและแม่นยำ
มีเครื่องมือหรืออินดิเคเตอร์อะไรที่จำเป็นที่สุดสำหรับ Scalping ที่ Scalper ควรมี?
เครื่องมือและอินดิเคเตอร์ที่จำเป็นสำหรับ Scalping ได้แก่:
- Moving Average (MA): ใช้ระบุแนวโน้มและจุดกลับตัว
- RSI หรือ Stochastic Oscillator: ใช้ระบุภาวะซื้อมากไป/ขายมากไป
- MACD: ยืนยันโมเมนตัมของราคา
- Price Action: การอ่านแท่งเทียนและแนวรับ-แนวต้าน
- เครื่องมือวาดกราฟ: สำหรับระบุแนวรับแนวต้าน และเส้นเทรนด์ไลน์
สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้ร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณ และไม่ใช้อินดิเคเตอร์มากเกินไปจนทำให้กราฟรก
มือใหม่หัดเทรด Scalping ควรเริ่มต้นฝึกฝนจากอะไรก่อน (เช่น บัญชีทดลอง, Backtesting)?
มือใหม่ควรเริ่มต้นจากการศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเทรด Forex และ Scalping อย่างละเอียด จากนั้นจึงฝึกฝนใน บัญชีทดลอง (Demo Account) อย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและกลยุทธ์ที่เลือก ควบคู่ไปกับการทำ Backtesting กลยุทธ์บนข้อมูลในอดีต เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของกลยุทธ์ก่อนที่จะนำไปใช้กับบัญชีจริง
ทำไมจิตวิทยาการเทรดและวินัยถึงสำคัญมากในการทำ Scalping?
จิตวิทยาการเทรดและวินัยมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำ Scalping เนื่องจากเป็นการเทรดที่มีความถี่สูงและต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่รวดเร็วภายใต้ความกดดัน การขาดทุนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจกระตุ้นอารมณ์ความกลัว ความโลภ หรือความอยากเอาคืน ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดทุนหนักได้ การมีวินัยในการปฏิบัติตามแผนและควบคุมอารมณ์จึงเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ
Scalping สามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาวจริงหรือ?
การทำกำไรอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวด้วย Scalping เป็นไปได้ แต่ต้องอาศัยทักษะ ประสบการณ์ วินัย และการบริหารความเสี่ยงที่ดีเยี่ยม Scalping ไม่ได้เหมาะกับทุกคน และไม่ใช่กลยุทธ์ที่จะทำให้รวยเร็วได้โดยง่าย มี Scalper มืออาชีพจำนวนมากที่ประสบความสำเร็จ แต่ก็มีผู้ที่ล้มเหลวจำนวนไม่น้อยเช่นกัน ความสม่ำเสมอจะมาจากการปรับปรุงกลยุทธ์และการเรียนรู้จากประสบการณ์อย่างไม่หยุดยั้ง
การ Scalping มีความแตกต่างจากการเทรด Day Trade หรือ Swing Trade อย่างไรบ้าง?
ความแตกต่างหลักอยู่ที่กรอบเวลาในการเทรดและเป้าหมายกำไร:
- Scalping: เทรดในกรอบเวลาสั้นมาก (M1, M5) ถือสถานะไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที เป้าหมายกำไรเล็กน้อยแต่จำนวนครั้งมาก
- Day Trading: เทรดในกรอบเวลาสั้น-ปานกลาง (M15, M30, H1) ถือสถานะไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง ไม่ข้ามคืน เป้าหมายกำไรปานกลาง
- Swing Trading: เทรดในกรอบเวลาปานกลาง-ยาว (H4, Daily) ถือสถานะหลายวันถึงหลายสัปดาห์ เป้าหมายกำไรที่ใหญ่กว่าและจำนวนครั้งน้อยกว่า
แต่ละกลยุทธ์ต้องการทักษะ การบริหารความเสี่ยง และจิตวิทยาที่แตกต่างกัน