บทนำ: การวิเคราะห์ทางเทคนิค—เครื่องมือสำคัญของนักลงทุน
ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนและการเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง การมีเครื่องมือช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างรอบคอบย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังซึ่งนักลงทุนทั่วโลก รวมทั้งในไทย ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อเข้าใจพฤติกรรมตลาดและคาดเดาทิศทางราคาในอนาคต ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่แวดวงนี้ หรือนักลงทุนเก๋าที่อยากขยายความรู้ บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่ทุกมิติของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ตั้งแต่พื้นฐานสำคัญ กราฟและตัวชี้วัดหลัก ไปจนถึงกลยุทธ์เทรดที่นำไปใช้จริงในตลาดหุ้นไทย (SET) ตลาด Forex และคริปโตเคอร์เรนซี รวมถึงการควบคุมความเสี่ยงและจิตวิทยาการลงทุน
เราจะมาสำรวจกันว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไร ทำไมถึงจำเป็นสำหรับนักลงทุน และจะนำไปปรับใช้เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรได้อย่างไร โดยเฉพาะในบริบทตลาดไทย เพื่อให้คุณได้ความรู้ที่นำไปปฏิบัติได้ทันทีและเข้ากับสภาพการลงทุนในประเทศ

การวิเคราะห์ทางเทคนิค คืออะไร และทำไมต้องใช้?
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือทั้งศาสตร์และศิลปะในการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต โดยอาศัยข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายจากอดีตเป็นฐานหลัก นักวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้สะท้อนถึงอารมณ์และความคาดหวังของตลาด ซึ่งจะกำหนดพฤติกรรมราคาต่อไป แตกต่างจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่เน้นมูลค่าจริงของสินทรัพย์จากตัวเลขเศรษฐกิจ การเงิน หรือผลประกอบการบริษัท
นักลงทุนควรนำการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาใช้ด้วยเหตุผลหลายประการ ก่อนอื่น มันช่วยจับแนวโน้มราคาได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือช่วงเคลื่อนไหว sideways ที่สอง ประการต่อมา ช่วยกำหนดจุดซื้อและจุดขายที่เหมาะสม ซึ่งเป็นกุญแจสู่กำไร นอกจากนี้ ยังช่วยจัดการความเสี่ยงด้วยการตั้งจุดหยุดขาดทุนที่ชัดเจน และที่สำคัญคือ มันใช้งานได้หลากหลายกับสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน หรือคริปโต

3 หลักการพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิคยืนหยัดบนหลักการสำคัญสามข้อที่นักลงทุนทุกคนควรเข้าใจให้ถ่องแท้
-
ตลาดสะท้อนทุกสิ่ง (The Market Discounts Everything): หลักการนี้บอกว่าข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ ไม่ว่าจะข่าวเศรษฐกิจ ผลประกอบการ หรืออารมณ์นักลงทุน ล้วนถูกสะสมไว้ในราคาปัจจุบันแล้ว ดังนั้น การดูราคาและปริมาณการซื้อขายเท่านั้นก็พอสำหรับการตัดสินใจลงทุน
-
ราคามีแนวโน้ม (Prices Move in Trends): ราคามักเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม ไม่ว่าจะขึ้น (Uptrend) ลง (Downtrend) หรือ sideways (Consolidation) เมื่อแนวโน้มเริ่ม มันมักต่อเนื่องไปจนกว่าจะมีแรงผลักดันใหม่ นักวิเคราะห์จึงมุ่งหาแนวโน้มและเทรดตามนั้นเพื่อเพิ่มโอกาสชนะ
-
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย (History Repeats Itself): พื้นฐานมาจากจิตวิทยามนุษย์ที่ตอบสนองคล้ายกันต่อสถานการณ์เดิมๆ รูปแบบราคาและตัวชี้วัดในอดีตจึงมักเกิดซ้ำ นักวิเคราะห์ใช้แพทเทิร์นเก่าเพื่อพยากรณ์อนาคต

ทำความรู้จักกับประเภทของกราฟ: ภาษาของตลาด
กราฟราคาคือหัวใจหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิค เหมือนภาษาที่ตลาดสื่อสารกับนักลงทุน การเข้าใจประเภทกราฟและวิธีอ่านจึงเป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้
ตารางที่ 1: การเปรียบเทียบประเภทของกราฟราคา
ประเภทกราฟ | ลักษณะเด่น | ข้อดี | ข้อจำกัด |
---|---|---|---|
กราฟเส้น (Line Chart) | แสดงเฉพาะราคาปิดของแต่ละช่วงเวลา | เรียบง่าย, เห็นแนวโน้มชัดเจน | ขาดข้อมูลสำคัญ (เปิด, สูงสุด, ต่ำสุด) |
กราฟแท่ง (Bar Chart) | แสดงราคาเปิด, ปิด, สูงสุด, ต่ำสุด ในรูปแบบแท่ง | ให้ข้อมูลครบถ้วนกว่ากราฟเส้น | ซับซ้อนกว่ากราฟเส้นเล็กน้อย |
กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) | แสดงราคาเปิด, ปิด, สูงสุด, ต่ำสุด ในรูปแบบแท่งเทียน | ให้ข้อมูลครบถ้วน, ดูง่าย, มีรูปแบบบ่งบอกอารมณ์ตลาด | อาจตีความผิดพลาดได้หากไม่มีประสบการณ์ |
จากกราฟทั้งสามประเภท กราฟแท่งเทียนยืนอันดับหนึ่งในความนิยม เพราะแสดงราคาเปิด (Open) สูงสุด (High) ต่ำสุด (Low) และปิด (Close) ได้ชัดเจนในแท่งเดียว แถมยังเผยอารมณ์ตลาดผ่านสีและรูปร่างที่บ่งบอกถึงแรงซื้อแรงขายในช่วงนั้น
แต่ละแท่งเทียนมีส่วนประกอบหลักคือ
- ลำตัว (Body): แสดงช่วงระหว่างราคาเปิดและปิด
- ไส้เทียน/เงา (Wick/Shadow): แสดงช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด
ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แท่งจะเป็นสีเขียว (หรือขาว) สื่อถึงแรงซื้อเหนือกว่า ถ้าปิดต่ำกว่าเปิด จะเป็นสีแดง (หรือดำ) แสดงแรงขายที่รุนแรง
การตีความรูปแบบแท่งเทียนเบื้องต้น
รูปแบบแท่งเทียนมีหลากหลาย แต่บางรูปแบบพื้นฐานให้สัญญาณสำคัญเกี่ยวกับการพลิกกลับหรือต่อเนื่องของแนวโน้ม
-
โดจิ (Doji): แท่งที่มีราคาเปิดปิดใกล้เคียงกันมาก ลำตัวสั้นหรือไม่มีเลย สื่อถึงความลังเลของตลาด หรือจุดเริ่มพลิกกลับ
-
ค้อน (Hammer) และ แฮงกิ้งแมน (Hanging Man): ลำตัวเล็กด้านบน ไส้ล่างยาวอย่างน้อยสองเท่าของลำตัว ถ้าตามแนวลงคือ Hammer สัญญาณพลิกขึ้น ถ้าตามแนวขึ้นคือ Hanging Man สัญญาณพลิกลง
-
ดาวตก (Shooting Star) และ อินเวิร์สแฮมเมอร์ (Inverted Hammer): ลำตัวเล็กด้านล่าง ไส้บนยาว ถ้าตามแนวขึ้นคือ Shooting Star สัญญาณพลิกลง ถ้าตามแนวลงคือ Inverted Hammer สัญญาณพลิกขึ้น
แนวรับและแนวต้าน: หัวใจของการกำหนดโซนราคา
แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เป็นแนวคิดพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในวิเคราะห์ทางเทคนิค คือระดับราคาที่คาดว่าแรงซื้อหรือขายจะเข้ามาควบคุมทิศทาง
-
แนวรับ (Support): ระดับที่แรงซื้อเข้มข้นพอหยุดราคาลงและผลักขึ้น มักจากจุดต่ำสุดเก่าที่ราคาเด้งกลับ
-
แนวต้าน (Resistance): ระดับที่แรงขายเข้มข้นพอหยุดราคาขึ้นและดันลง มักจากจุดสูงสุดเก่าที่ราคาถูกกด
สิ่งเหล่านี้คือจุดที่นักลงทุนจับตามองเพื่อหาโอกาสเข้า-ออก และสามารถสลับบทบาทได้ ถ้าแนวรับทะลุลงจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ และตรงกันข้าม
การหาแนวรับแนวต้านทำได้โดยลากเส้นเชื่อมจุดสำคัญในอดีต ปริมาณซื้อขายยังช่วยยืนยันความแข็งแกร่ง ถ้าเบรกด้วย volume สูง มักหมายถึงการเคลื่อนไหวจริงจัง
ตัวชี้วัดทางเทคนิคยอดนิยม: เครื่องมือนำทางสู่การตัดสินใจ
ตัวชี้วัดทางเทคนิคคือสูตรคณิตศาสตร์ที่ประมวลข้อมูลราคาและ volume ในอดีต เพื่อให้สัญญาณซื้อขายและภาพรวมตลาดชัดเจนขึ้น มีตัวชี้วัดมากมาย แต่เราจะโฟกัสที่ตัวยอดฮิตและได้ผล
ตัวชี้วัดตามแนวโน้ม (Trend-Following Indicators)
กลุ่มนี้ช่วยยืนยันและติดตามแนวโน้มราคา
-
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average – MA): ค่าเฉลี่ยราคาในช่วงเวลาที่เลื่อนไปตามราคา มี SMA ธรรมดาและ EMA ที่ให้น้ำหนักราคาล่าสุดมากกว่า
สัญญาณหลักคือ
- Golden Cross: MA สั้นตัดขึ้น MA ยาว สัญญาณซื้อ
- Death Cross: MA สั้นตัดลง MA ยาว สัญญาณขาย
-
MACD (Moving Average Convergence Divergence): วัดความต่างระหว่าง EMA 12 และ 26 วัน มี Signal Line จาก EMA 9 ของ MACD
สัญญาณหลักคือ
- MACD ตัดขึ้น Signal หรือศูนย์ สัญญาณซื้อ
- MACD ตัดลง Signal หรือศูนย์ สัญญาณขาย
ตัวชี้วัดโมเมนตัม (Momentum Indicators)
กลุ่มนี้วัดความเร็วและแรงราคา เพื่อหาภาวะซื้อหรือขายเกิน
-
RSI (Relative Strength Index): วัดความแรงเปลี่ยนแปลงราคา ค่า 0-100
- RSI >70 Overbought อาจพลิกลง
- RSI <30 Oversold อาจพลิกขึ้น
- Divergence: ราคาสูงใหม่แต่ RSI ไม่ สัญญาณพลิกสำคัญ (เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Divergence)
-
Stochastic Oscillator: เปรียบราคาปิดกับช่วง high-low ค่า 0-100 มี %K และ %D
- >80 Overbought
- <20 Oversold
- %K ตัด %D ให้สัญญาณ
ตัวชี้วัดความผันผวน (Volatility Indicators)
กลุ่มนี้ประเมินระดับความผันผวนของราคา
-
Bollinger Bands (BB): SMA กลาง บวก-ลบ Standard Deviation
- แบนด์ขยายตอนผันผวนสูง หดตอนต่ำ
- ราคาแตะขอบบน/ล่าง อาจ Overbought/Oversold และพลิก
รูปแบบราคา (Price Patterns) ที่ควรรู้จัก
รูปแบบราคาคือแพทเทิร์นการเคลื่อนไหวที่เกิดซ้ำบนกราฟ ส่งสัญญาณเปลี่ยนหรือต่อแนวโน้ม
-
รูปแบบการกลับตัว (Reversal Patterns): แสดงแนวโน้มปัจจุบันใกล้สิ้นสุด
-
หัวและไหล่ (Head and Shoulders): สูงสามจุด หัวกลางสูงสุด มี Neckline ถ้าหลุดคือสัญญาณขาย
-
ดับเบิ้ลท็อป/ดับเบิ้ลบอททอม (Double Top/Bottom): สูงสองจุดใกล้เคียงแล้วร่วง สัญญาณพลิกจากขึ้นเป็นลง ต่ำสองจุดแล้วขึ้น สัญญาณพลิกจากลงเป็นขึ้น
-
-
รูปแบบการต่อเนื่อง (Continuation Patterns): แสดงแนวโน้มจะไปต่อหลังพัก
-
สามเหลี่ยม (Triangles): สมมาตร ขาขึ้น ขาลง ราคาบีบตัวแล้วเบรกตามแนวเดิม
-
ธงและสามเหลี่ยมชายธง (Flags and Pennants): พักสั้นหลังเคลื่อนแรง แล้วไปต่อ
-
กลยุทธ์การเทรดด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค
การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่แค่รู้เครื่องมือ แต่คือการรวมเพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ได้ผล ต้องยืนยันสัญญาณจากหลายตัวและจัดการความเสี่ยงเข้มงวด
ตัวอย่างกลยุทธ์ง่ายๆ
-
เทรดตามแนวโน้มด้วย MA และ RSI:
- หาแนวหลักจาก MA ยาว (50 หรือ 200)
- แนวขึ้น รอราคาย่อใกล้ MA และ RSI <30 เพื่อซื้อ
- แนวลง รอราคาดีดใกล้ MA และ RSI >70 เพื่อขาย
- ตั้ง Stop Loss ใต้/เหนือแนวสำคัญเสมอ
-
เทรดตามรูปแบบและเบรกเอาท์:
- หาครูปแบบชัด เช่น สามเหลี่ยม หรือ Head and Shoulders
- รอเบรกพร้อม volume สูง
- เช่น สามเหลี่ยมขึ้นเบรกระหว่างต้าน ซื้อ ตั้งเป้ากำไรตามความสูงรูปแบบ Stop Loss ใต้แนวรับ
การจัดการความเสี่ยงคือหัวใจ กำหนดขาดทุนสูงสุดต่อเทรด (ไม่เกิน 1-2% ทุนทั้งหมด) และยึด Stop Loss
การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมกับสินทรัพย์และสภาวะตลาด
ไม่มีตัวชี้วัดไหนเพอร์เฟกต์ทุกกรณี เลือกตามสินทรัพย์และตลาด
-
ตลาดหุ้นไทย (SET): หุ้นสภาพคล่องต่ำผันผวน ใช้ MA MACD ใน timeframe ยาว (วัน สัปดาห์) จับแนวหลัก Volume สำคัญมาก
-
Forex (สกุลเงิน): สภาพคล่องสูง 24 ชม. ใช้ RSI Stochastic กับ BB ใน timeframe สั้น (ชั่วโมง 4 ชม.) แนวรับต้านก็คีย์
-
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency): ผันผวนรุนแรง RSI Stochastic MACD ใช้ได้ แต่ระวัง false signal BB ช่วยดู volatility
ใช้หลายตัวยืนยัน และ backtest ก่อนใช้จริง เพื่อเพิ่มความมั่นใจ
กรณีศึกษา: การประยุกต์ใช้ในตลาดหุ้นไทย (SET) และ Forex
เพื่อให้เห็นภาพจริง เรายกตัวอย่างสมมติ
กรณีศึกษา 1: หุ้น PTT ในตลาด SET
สมมติวิเคราะห์ PTT ใน SET ราคาลงต่อเนื่องแตะแนวรับ 35 บาท สร้าง Hammer บนกราฟวัน RSI <30 MACD ใกล้ตัดขึ้น
อาจซื้อที่ 35.50 Stop 34.50 เป้า 37 (แนวต้านถัด) Volume เพิ่มยืนยันสัญญาณ
กรณีศึกษา 2: คู่สกุลเงิน USD/THB ในตลาด Forex
บนกราฟ 4 ชม. USD/THB ขึ้นเร็วใกล้ต้าน 35.50 BB บีบ RSI >70 มี Divergence
สัญญาณซื้ออ่อน อาจ short ที่ 35.45 Stop 35.60 เป้า 35.20 (แนวรับเก่า)
ข้อจำกัดและความเสี่ยงของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ถึงจะมีประโยชน์ แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็มีจุดอ่อนที่ต้องระวัง
-
สัญญาณหลอก (False Signals): โดยเฉพาะตลาดผันผวนหรือไม่มีแนวชัด
-
การตีความที่เป็นอัตวิสัย: เส้นแนวรับต้านหรือรูปแบบอาจต่างกันไปตามคน
-
ไม่ทำนายเหตุไม่คาดฝัน: ข่าวกะทันหันอย่างนโยบายหรือภัยพิบัติ ทำลายรูปแบบ
-
การปรับตัวของตลาด: กลยุทธ์ฮิตเกินอาจไร้ประสิทธิภาพเพราะทุกคนใช้
ดังนั้น อย่าพึ่งเทคนิคอย่างเดียว ผสมกับพื้นฐานและ risk management
จิตวิทยาการเทรด: การจัดการอารมณ์และวินัยในการลงทุน
จิตวิทยามักถูกมองข้าม แต่มีผลใหญ่ต่อการตัดสินใจ เช่น
-
ความโลภ (Greed): อยากกำไรมาก ไม่ขายตามแผน หรือเทรดใหญ่เกิน
-
ความกลัว (Fear): ไม่กล้าซื้อสัญญาณดี หรือขายตัดทุนเร็ว
-
FOMO (Fear Of Missing Out): กลัวพลาด ตามกระแสโดยไม่วิเคราะห์
จัดการด้วยวินัยและแผนชัด
-
สร้างแผนเทรด: กำหนดกลยุทธ์ จุดเข้า-ออก Stop เป้าก่อน
-
ยึดแผน: อย่าให้อารมณ์เปลี่ยน
-
บริหารเงินทุน: ขนาดเทรดเหมาะสม ไม่ให้ขาดทุนครั้งเดียวพัง
-
บันทึกเทรด: ทบทวนเพื่อเรียนรู้
จิตวิทยาต้องฝึกต่อเนื่อง เท่ากับความรู้เทคนิค
สรุป: บูรณาการการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อการลงทุนที่ยั่งยืน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือเครื่องมือล้ำค่าที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจตลาดและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล จากพื้นฐาน การอ่านกราฟ ตัวชี้วัด กลยุทธ์จริง ล้วนปูทางสู่ความสำเร็จ
แต่ต้องรู้ข้อจำกัด ผสมกับพื้นฐาน risk management และจิตวิทยา เพื่อพอร์ตที่แข็งแกร่งยาวนาน การเรียนรู้ไม่หยุดคือกุญแจ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค (FAQ)
1. มือใหม่ควรเริ่มเรียนการวิเคราะห์ทางเทคนิคจากตรงไหน?
มือใหม่ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจหลักการพื้นฐาน 3 ข้อ การอ่านกราฟแท่งเทียน และแนวรับแนวต้าน จากนั้นค่อยๆ ศึกษาตัวชี้วัดยอดนิยมอย่าง MA, RSI, MACD ทีละตัว และฝึกฝนการอ่านกราฟจริงอยู่เสมอ แหล่งข้อมูลออนไลน์และหนังสือดีๆ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
2. การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ได้กับหุ้นทุกตัวในตลาด SET หรือไม่?
โดยหลักการแล้วใช้ได้กับหุ้นทุกตัว แต่จะให้ผลดีกับหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง มีปริมาณการซื้อขายมาก และมีพฤติกรรมราคาที่เป็นไปตามกลไกตลาด หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำอาจมีสัญญาณหลอกหรือการเคลื่อนไหวราคาที่ถูกควบคุมได้ง่ายกว่า
3. ควรใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคกี่ตัวในการตัดสินใจ?
ไม่ควรใช้มากเกินไปจนทำให้สับสน โดยทั่วไป 2-3 ตัวชี้วัดที่แตกต่างประเภทกัน (เช่น ตัวชี้วัดตามแนวโน้ม 1 ตัว และโมเมนตัม 1 ตัว) ก็เพียงพอแล้ว เน้นการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในแต่ละตัวและใช้เพื่อยืนยันสัญญาณซึ่งกันและกัน
4. การวิเคราะห์ทางเทคนิคเชื่อถือได้ 100% หรือไม่? มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
ไม่เชื่อถือได้ 100% การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเพียงเครื่องมือเพิ่มความน่าจะเป็นในการคาดการณ์เท่านั้น ไม่ใช่การทำนายอนาคต ความเสี่ยงหลักคือสัญญาณหลอก การไม่สามารถทำนายเหตุการณ์สำคัญที่ไม่คาดฝัน และความผันผวนของตลาด
5. มีหนังสือหรือแหล่งเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคภาษาไทยแนะนำไหม?
มีหนังสือภาษาไทยหลายเล่มที่น่าสนใจ เช่น ผลงานของ สุรชัย ไชยรังสินันท์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักลงทุนไทย นอกจากนี้ เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ก็มีบทความและคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี และมีช่อง YouTube ของนักวิเคราะห์ไทยหลายท่านที่ให้ความรู้ได้ดี
6. การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถใช้กับการลงทุนระยะยาวได้หรือไม่?
สามารถใช้ได้ แต่ควรดูในกรอบเวลา (Timeframe) ที่ยาวขึ้น เช่น กราฟรายสัปดาห์หรือรายเดือน เพื่อระบุแนวโน้มหลักระยะยาว และมักจะใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเพื่อเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี
7. จะทำอย่างไรเมื่อสัญญาณจากตัวชี้วัดขัดแย้งกัน?
เมื่อสัญญาณขัดแย้งกัน ควรหลีกเลี่ยงการเข้าเทรด หรือรอดูสถานการณ์จนกว่าจะมีสัญญาณที่ชัดเจนและสอดคล้องกันมากขึ้น หรืออาจใช้ตัวชี้วัดเพิ่มเติมเพื่อยืนยันสัญญาณ หรือลดขนาดการเทรดลงเพื่อลดความเสี่ยง
8. การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถทำนายข่าวสารสำคัญที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่?
ไม่สามารถทำนายได้โดยตรง การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะสะท้อนผลกระทบของข่าวสารในพฤติกรรมราคาหลังจากการประกาศข่าวแล้วเท่านั้น ไม่ใช่การทำนายเนื้อหาของข่าวสารล่วงหน้า
9. การวิเคราะห์ทางเทคนิคกับปัจจัยพื้นฐาน ควรใช้อะไรมากกว่ากัน และควรใช้ร่วมกันอย่างไร?
ไม่มีอะไรดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุน นักลงทุนระยะยาวมักเน้นปัจจัยพื้นฐาน ส่วนนักเทรดระยะสั้นมักเน้นเทคนิค การใช้ร่วมกันจะให้ผลดีที่สุด โดยใช้ปัจจัยพื้นฐานในการเลือกสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ และใช้เทคนิคในการกำหนดจังหวะเข้าซื้อขายที่เหมาะสม
10. มีโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันสำหรับวิเคราะห์ทางเทคนิคที่คนไทยนิยมใช้บ้างไหม?
มีหลายโปรแกรมที่นิยมใช้ในประเทศไทย ได้แก่ TradingView ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมที่มีเครื่องมือครบครันและใช้งานง่าย MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาด Forex และ Settrade Streaming สำหรับการซื้อขายหุ้นไทย