Bearish Divergence คืออะไร? ทำความเข้าใจสัญญาณกลับตัวขาลง
ในการเทรดไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย, Forex หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโต การเข้าใจสัญญาณทางเทคนิคถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้เทรดตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ สัญญาณที่เหล่าเทรดเดอร์อาชีพมักจับตามองคือ Bearish Divergence หรือที่รู้จักในชื่อสัญญาณหมีขาลง ซึ่งชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่ราคาจะพลิกจากทิศทางขึ้นไปสู่การลดลง บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน วิธีการตรวจจับ กลยุทธ์การนำไปใช้ จนถึงข้อควรระวังต่างๆ เพื่อให้เทรดเดอร์ชาวไทยนำไปปรับใช้ในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

Divergence (การเบี่ยงเบน) คืออะไร? ภาพรวมเบื้องต้นก่อนลงรายละเอียด
ก่อนจะเจาะลึกเรื่อง Bearish Divergence มาทำความรู้จักกับแนวคิดหลักของ Divergence กันก่อน ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่การเคลื่อนไหวของราคาไม่ตรงกันกับการแสดงผลของตัวชี้วัดโมเมนตัม เช่น RSI หรือ MACD โดยทั่วไปแล้ว ราคาและตัวชี้วัดเหล่านี้มักจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน แต่พอเกิดการเบี่ยงเบนขึ้น มันก็เป็นเครื่องเตือนว่าความแรงของแนวโน้มกำลังอ่อนตัวลง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนทิศทางของตลาดในไม่ช้า
การเบี่ยงเบนแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลักๆ คือ Bullish Divergence ที่บ่งบอกถึงการพลิกกลับสู่ขาขึ้น และ Bearish Divergence ที่เตือนถึงการหันเหไปสู่ขาลง

Bearish Divergence (สัญญาณหมีขาลง) คืออะไร? ความหมายและลักษณะการเกิด
Bearish Divergence เกิดขึ้นเมื่อราคาสินทรัพย์สร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าเดิม แต่ตัวชี้วัดโมเมนตัมกลับสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำกว่า หรือไม่สามารถตามทันราคาได้ สถานการณ์นี้เผยให้เห็นว่าพลังซื้อที่ดันราคาขึ้นเริ่มเสื่อมถอย แม้ราคาจะยังพุ่งสูงขึ้น แต่ภายในตลาดนั้นโมเมนตัมกำลังลดลงอย่างชัดเจน
ลักษณะเช่นนี้มักเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังจะหมดแรง และราคามีแนวโน้มจะหันไปลงในเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นหลังจากช่วงขาขึ้นที่ยืดเยื้อ

Bullish Divergence (สัญญาณกระทิงขาขึ้น) เปรียบเทียบกับ Bearish Divergence
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูความแตกต่างระหว่าง Bearish Divergence กับ Bullish Divergence กัน
- Bearish Divergence: ราคาสร้างจุดสูงสุดสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดสูงสุดต่ำลง สัญญาณนี้เตือนถึงการพลิกจากขาขึ้นสู่ขาลง
- Bullish Divergence: ราคาสร้างจุดต่ำสุดต่ำลง แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดต่ำสุดสูงขึ้น สัญญาณนี้เตือนถึงการพลิกจากขาลงสู่ขาขึ้น
ทั้งสองรูปแบบนี้เป็นเครื่องมือช่วยคาดการณ์การเปลี่ยนแนวโน้มได้ดี แต่ทิศทางตรงข้ามกัน การรู้จักแยกแยะจึงจำเป็นมากในการนำไปใช้จริง
วิธีตรวจจับ Bearish Divergence ด้วยตัวชี้วัดยอดนิยม
การหาสัญญาณ Bearish Divergence ที่แม่นยำต้องอาศัยการสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างกราฟราคากับตัวชี้วัดหลักๆ ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนใหญ่เลือกใช้ RSI และ MACD เป็นหลัก
Bearish Divergence กับ RSI (ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์)
RSI เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยวัดความแรงและโมเมนตัมของราคา เมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดใหม่สูงขึ้น แต่เส้น RSI สร้างจุดสูงสุดต่ำลง นี่คือสัญญาณ Bearish Divergence ที่ชัดเจนและได้รับความนิยม สัญญาณนี้มักปรากฏในช่วงที่ราคาอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป แสดงว่าแรงซื้อกำลังหมดสภาพและอาจตามมาด้วยการขายทำกำไร
หาก Bearish Divergence เกิดใกล้ระดับ 70 หรือสูงกว่านั้น สัญญาณการกลับตัวขาลงยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูงอย่าง Forex หรือคริปโต
Bearish Divergence กับ MACD (การรวมตัวและกระจายของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
MACD ช่วยแสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น เพื่อบอกถึงโมเมนตัมและทิศทางแนวโน้ม การตรวจจับ Bearish Divergence ด้วย MACD สามารถทำได้สองแบบหลักๆ คือ
- MACD Line: ราคาสร้างจุดสูงสุดสูงขึ้น แต่เส้น MACD สร้างจุดสูงสุดต่ำลง
- MACD Histogram: ราคาสร้างจุดสูงสุดสูงขึ้น แต่แท่งฮิสโตแกรมสร้างจุดสูงสุดต่ำลง แสดงถึงการลดลงของโมเมนตัมขาขึ้นอย่างรวดเร็ว
สัญญาณจาก MACD โดยเฉพาะฮิสโตแกรมที่หดตัวต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นถึงความอ่อนแอของแรงซื้อ และเป็นตัวเตือนที่ดีว่าราคาอาจกำลังจะเปลี่ยนทิศ
ตัวชี้วัดอื่นๆ ที่นำมาใช้ได้ (Stochastic, CCI)
นอกจาก RSI และ MACD แล้ว ตัวชี้วัดโมเมนตัมอื่นๆ อย่าง Stochastic Oscillator และ Commodity Channel Index (CCI) ก็เหมาะสำหรับการหา Bearish Divergence หลักการยังคงเดิมคือ เปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของราคากับตัวชี้วัด หากราคาสูงขึ้นแต่ตัวชี้วัดต่ำลง ก็คือสัญญาณที่ควรจับตา การใช้ตัวชี้วัดหลายตัวช่วยยืนยันสัญญาณและเพิ่มความแม่นยำ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่อาจมีปัจจัยภายนอกเข้ามาแทรก
ประเภทของ Bearish Divergence: Regular กับ Hidden
การเบี่ยงเบนไม่ได้มีรูปแบบเดียว การรู้จักประเภทต่างๆ จะช่วยให้เทรดเดอร์อ่านตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
Regular Bearish Divergence: สัญญาณพลิกกลับที่ชัดเจน
Regular Bearish Divergence คือรูปแบบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการเตือนการเปลี่ยนจากขาขึ้นสู่ขาลง เกิดเมื่อราคาสร้างจุดสูงสุดสูงขึ้นแต่ตัวชี้วัดสร้างจุดสูงสุดต่ำลง รูปแบบนี้เชื่อถือได้สูง โดยเฉพาะหลังแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งและยาวนาน ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์เตรียมรับมือกับการลดลงของราคาได้ทัน
Hidden Bearish Divergence: สัญญาณแนวโน้มต่อเนื่อง
Hidden Bearish Divergence เป็นรูปแบบที่ซับซ้อนกว่าและมักถูกมองข้ามโดยมือใหม่ แต่มีคุณค่ามากสำหรับการเทรดตามแนวโน้ม
เกิดขึ้นเมื่อ
- ราคาสร้างจุดสูงสุดต่ำลง
- แต่ตัวชี้วัดสร้างจุดสูงสุดสูงขึ้น
ต่างจาก Regular ที่เตือนการพลิกกลับ Hidden แบบนี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มขาลงเดิมยังคงดำเนินต่อไปหลังช่วงพักตัวสั้นๆ หากตลาดกำลังลงและเกิดสัญญาณนี้ มันเป็นโอกาสดีในการเปิดสถานะขายเพื่อเก็งกำไรจากการลดลงเพิ่มเติม
การเข้าใจ Hidden Bearish Divergence ช่วยให้หาจุดเข้าที่เหมาะสมในช่วงตลาดหยุดชะงักชั่วคราว ก่อนจะกลับสู่แนวโน้มหลัก
กลยุทธ์การเทรด Bearish Divergence และการจัดการความเสี่ยง
แค่พบสัญญาณ Bearish Divergence ยังไม่พอ ต้องมีแผนการเข้า-ออกที่ชัดเจนและการควบคุมความเสี่ยงที่ดีเพื่อความสำเร็จ
จุดเข้าและจุดออกที่เหมาะสม
เมื่อเห็น Bearish Divergence อย่าเพิ่งรีบเข้าเทรด ควรรอการยืนยันเพื่อลดความผิดพลาด
- จุดเข้า: รอแท่งเทียนยืนยันการพลิก เช่น Bearish Engulfing หรือ Shooting Star หรือราคาทะลุแนวรับ นอกจากนี้ รอตัวชี้วัดอย่าง RSI หรือ MACD ตัดลงจากโซนซื้อมากเกินไปก็ช่วยได้
- จุดออกหรือ Take Profit: ตั้งเป้าที่แนวรับถัดไป หรือใช้ Fibonacci Retracement กำหนดเป้าหมาย ติดตามราคาและตัวชี้วัดต่อไป แล้วออกเมื่อเห็นสัญญาณขาขึ้นเพื่อรักษากำไร
การยืนยันสัญญาณด้วยเครื่องมืออื่นๆ (แท่งเทียน, ปริมาณซื้อขาย)
เพื่อความแม่นยำสูงขึ้น ควรรวมเครื่องมือเทคนิคอื่นๆ เข้ากับ Bearish Divergence
- รูปแบบแท่งเทียน: หากเกิดร่วมกับ Shooting Star, Evening Star, Bearish Engulfing หรือ Dark Cloud Cover ที่จุดสูงสุด สัญญาณจะน่าเชื่อถือมาก
- ปริมาณซื้อขาย: ถ้าปริมาณลดลงขณะราคาทำจุดสูงสุดสูงขึ้น แสดงว่าแรงซื้ออ่อนจริง และการพลิกกลับมีโอกาสสูง
- แนวรับ-แนวต้าน: ถ้าสัญญาณเกิดที่แนวต้านสำคัญ แสดงถึงการปฏิเสธราคาในระดับนั้น ทำให้สัญญาณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การรวมเครื่องมือเหล่านี้ช่วยกรองสัญญาณเท็จและเพิ่มโอกาสชนะในการเทรด โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่อาจมี نوسัยจากข่าว
การจัดการความเสี่ยงและตั้ง Stop Loss
การควบคุมความเสี่ยงคือหัวใจของการเทรดทุกประเภท
- Stop Loss: ตั้งเหนือจุดสูงสุดล่าสุดที่ก่อสัญญาณ เพื่อจำกัดขาดทุนหากผิดพลาด คำนึงถึงความผันผวนของสินทรัพย์ด้วย
- ขนาดสถานะ: อย่าทุ่มทุนทั้งหมด ควรกำหนดขนาดให้เหมาะกับเงินทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ
- อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: เลือกเทรดที่มีสัดส่วนดี เช่น 1:2 ขึ้นไป เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสี่ยง
สำหรับแนวคิดเพิ่มเติม ลองศึกษาจาก Investopedia – Forex Risk Management ซึ่งนำไปปรับใช้ได้ทุกตลาด
ข้อควรระวังและข้อจำกัดของ Bearish Divergence ในตลาดไทย
ถึงแม้ Bearish Divergence จะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายใน
สัญญาณหลอกและวิธีหลีกเลี่ยง
Bearish Divergence ไม่ถูกต้องเสมอไป บางครั้งเป็นสัญญาณหลอกที่นำไปสู่การตัดสินใจผิด สาเหตุหลักคือ
- แนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งมาก: ราคาอาจพุ่งต่อเนื่องหลายครั้งก่อนพลิกจริง ทำให้เข้า Short เร็วเกินและขาดทุน
- พฤติกรรมตัวชี้วัดที่เปลี่ยนแปลง: บางตัวชี้วัดแสดงการเบี่ยงเบนบ่อยแต่ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่
วิธีป้องกัน: ใช้การยืนยันหลายชั้น เช่น แท่งเทียน, ปริมาณ, แนวรับ-แนวต้าน และเลือก timeframe ใหญ่ เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์ เพื่อสัญญาณที่เชื่อถือได้
Bearish Divergence ในตลาดไร้ทิศทางและช่วงมีข่าว
ประสิทธิภาพของสัญญาณจะลดลงในบางสถานการณ์
- ตลาด Sideways: เมื่อตลาดเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางชัดเจน สัญญาณอาจเกิดบ่อยแต่ไม่นำไปสู่การพลิกจริง เพราะขาดโมเมนตัม
- ข่าวสำคัญ: เหตุการณ์เศรษฐกิจ, นโยบายธนาคารกลาง หรือข่าวบริษัทในตลาดไทย เช่น ผลประกอบการหรือการเปลี่ยนผู้บริหาร สามารถบิดเบือนสัญญาณทางเทคนิค ราคาจะตอบสนองข่าวมากกว่า
เทรดเดอร์ควรติดตามปัจจัยพื้นฐานและข่าวสารเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายจากปัจจัยไม่คาดคิด
ข้อผิดพลาดที่เทรดเดอร์ไทยมักพลาดเมื่อใช้ Bearish Divergence
เทรดเดอร์ไทย โดยเฉพาะมือใหม่ มักสะดุดกับปัญหาเหล่านี้
- พึ่งสัญญาณเดียวมากเกิน: ตัดสินใจเทรดทันทีโดยไม่ยืนยัน
- ไม่ตั้ง Stop Loss: นำไปสู่ขาดทุนหนักหากราคาไม่ลง
- ใช้กับสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำ: ในหุ้น SET ที่คล่องตัวน้อย ราคาอาจผันผวนจากปั่น ทำให้สัญญาณไม่แม่น
- ละเลย timeframe: ใช้กรอบเวลาสั้นๆ เช่น 1-5 นาที นำสัญญาณหลอกบ่อย
- สับสน Regular กับ Hidden: ตีความผิดจนเทรดสวนแนวโน้ม
การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านี้และปรับกลยุทธ์ จะช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จในตลาดไทยและอื่นๆ
สรุป: ใช้ Bearish Divergence อย่างชาญฉลาดเพื่อยกระดับการเทรด
Bearish Divergence เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เทคนิคที่ทรงพลังสำหรับการเตือนการพลิกแนวโน้มขาขึ้น โดยเฉพาะเมื่อรวมกับ RSI และ MACD การรู้จักทั้ง Regular ที่บ่งบอกการกลับตัว และ Hidden ที่ชี้ถึงการต่อเนื่องของขาลง จะทำให้มุมมองตลาดครอบคลุมยิ่งขึ้น
แต่ความสำเร็จมาจากการยืนยันสัญญาณด้วยเครื่องมืออื่นๆ เช่น แท่งเทียนและปริมาณ รวมถึงการจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด การปรับตัวเข้ากับลักษณะตลาดไทยและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไป จะช่วยให้ใช้ Bearish Divergence ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างกำไรที่ยั่งยืน
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ลองดูที่ SET – การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีเนื้อหา有用สำหรับนักลงทุนไทย
Bearish Divergence ใช้ได้กับตลาดไหนบ้าง? (เช่น หุ้นไทย, Forex, คริปโต)
Bearish Divergence เป็นหลักการทางเทคนิคที่นำไปใช้ได้ทุกตลาดที่มีกราฟราคาและการเคลื่อนไหว เช่น
- ตลาดหุ้นไทย (SET): ใช้กับหุ้นเดี่ยวและดัชนี
- ตลาด Forex: ใช้กับคู่เงินหลักและรอง
- ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี: ใช้กับ Bitcoin, Ethereum และเหรียญอื่นๆ
- ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: เช่น ทองคำหรือน้ำมัน
หลักการพื้นฐานยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์แบบไหน
Hidden Bearish Divergence ต่างจาก Regular Bearish Divergence อย่างไร และใช้อย่างไร?
ความต่างหลักๆ คือ
- Regular Bearish Divergence: ราคาสูงขึ้นแต่ตัวชี้วัดต่ำลง สัญญาณพลิกจากขาขึ้นสู่ขาลง
- Hidden Bearish Divergence: ราคาสูงต่ำลงแต่ตัวชี้วัดสูงขึ้น สัญญาณต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง
การนำไปใช้: Regular ใช้หาจุดขายเมื่อขาขึ้นใกล้จบ ส่วน Hidden ใช้หาจุดขายที่ดีในช่วงพักของขาลง เพื่อเก็งกำไรตามแนวโน้มหลัก
เมื่อเจอ Bearish Divergence ควรเข้าเทรดทันทีเลยหรือไม่?
ไม่ควรรีบเข้า! มันเป็นสัญญาณเตือนเบื้องต้น ควรรอการยืนยันเพื่อลดความเสี่ยง เช่น
- รูปแบบแท่งเทียนพลิกขาลง เช่น Shooting Star หรือ Bearish Engulfing
- ราคาทะลุแนวรับ
- ตัวชี้วัดตัดลงจากโซนซื้อมากเกิน
- ปริมาณซื้อขายที่สนับสนุนการพลิก
การยืนยันหลายอย่างช่วยกรองสัญญาณหลอกได้ดี
มีอินดิเคเตอร์ใดบ้างที่ใช้ร่วมกับ Bearish Divergence เพื่อยืนยันสัญญาณได้?
ตัวชี้วัดยอดนิยมที่ช่วยยืนยัน Bearish Divergence ได้แก่
- RSI: ยืนยันโมเมนตัมที่อ่อนลง
- MACD: ยืนยันความอ่อนแอของแรงซื้อและการเปลี่ยนค่าเฉลี่ย
- Stochastic Oscillator: วัดภาวะซื้อมากเกินและโมเมนตัม คล้าย RSI
- Volume: การลดลงของปริมาณร่วมกับ Divergence ชี้ความอ่อนแอของขาขึ้น
- Moving Averages: ใช้เป็นแนวรับ/ต้านที่ราคาอาจทดสอบหลัง Divergence
Bearish Divergence สัญญาณหลอกเกิดจากอะไร และมีวิธีป้องกันอย่างไร?
สัญญาณหลอกเกิดจาก
- แนวโน้มแข็งแกร่งเกิน ราคาพุ่งต่อแม้มี Divergence
- timeframe สั้นเกินไป
- ตลาด Sideways ไร้ทิศทาง
- ข่าวหรือเหตุการณ์แทรกแซง
วิธีป้องกัน
- ยืนยันหลายชั้น เช่น แท่งเทียน, Volume, แนวรับ-ต้าน
- ใช้ timeframe ใหญ่ เช่น รายวันหรือสัปดาห์
- ประเมินสภาพตลาดโดยรวม
- ติดตามข่าวสำคัญ
- ตั้ง Stop Loss เสมอ
สัญญาณ Bearish Divergence ที่ timeframe (กรอบเวลา) ต่างกัน มีความน่าเชื่อถือต่างกันหรือไม่?
ใช่ ความน่าเชื่อถือต่างกันชัดเจน
- timeframe ใหญ่ เช่น รายวันหรือสัปดาห์: สัญญาณเชื่อถือสูง บ่งบอกการเปลี่ยนแนวโน้มใหญ่และยั่งยืน
- timeframe สั้น เช่น 15 นาทีหรือชั่วโมง: เกิดบ่อยแต่หลอกง่าย บ่งบอกการพลิกระยะสั้น
เลือก timeframe ให้ตรงสไตล์เทรด และใช้ใหญ่เพื่อยืนยันแนวโน้มหลัก
หากใช้ Bearish Divergence แล้วราคาไม่ลงตามที่คาด ควรทำอย่างไร?
ถ้าราคาไม่เป็นไปตามคาดหลังเข้าเทรด
- ทำตามแผนและ Stop Loss: ปิดสถานะทันทีถ้าทะลุจุดตัด เพื่อจำกัดขาดทุน
- ทบทวนสัญญาณ: ตรวจว่าถูกต้อง มียืนยันพอ หรือมีปัจจัยภายนอกหรือไม่
- เรียนรู้ปรับปรุง: ใช้เป็นบทเรียนเพื่อเสริมกลยุทธ์ เช่น เพิ่มเงื่อนไขยืนยันหรือปรับขนาดสถานะ
ตลาดหุ้นไทยมีลักษณะพิเศษที่ต้องระวังเมื่อใช้ Bearish Divergence หรือไม่?
ใช่ ตลาด SET มีจุดที่ควรระวัง
- สภาพคล่อง: หุ้นเล็ก-กลางคล่องต่ำ ราคาผันผวนง่าย สัญญาณอาจไม่แม่นเท่าหุ้นใหญ่
- ข่าวและเศรษฐกิจในประเทศ: ข่าวการเมือง, นโยบาย, ผลประกอบการ สามารถบิดเบือนสัญญาณ
- กลุ่มอุตสาหกรรม: กลุ่มพลังงานหรือธนาคารมีน้ำหนักต่อดัชนีมาก ต้องวิเคราะห์ให้ดี
รวมปัจจัยพื้นฐานและข่าวกับเทคนิคเสมอ
การใช้ Bearish Divergence ร่วมกับ Price Action (การเคลื่อนไหวของราคา) มีประโยชน์อย่างไร?
การรวมกับ Price Action เพิ่มประสิทธิภาพเพราะ
- เพิ่มความแม่น: Price Action เช่น แท่งเทียนพลิกหรือราคาหยุดทำ Higher High ยืนยันจากราคาเอง
- จุดเข้า-ออกชัด: ช่วยกำหนดจุดขายแม่นยำ เช่น หลังแท่งเทียนปิดต่ำกว่าแนวรับ
- กรองหลอก: ถ้าไม่มี Price Action สนับสนุน สัญญาณ Divergence อาจเป็นหลอก
มีข้อผิดพลาดอะไรที่เทรดเดอร์มือใหม่มักทำเมื่อเห็น Bearish Divergence?
ข้อผิดพลาดทั่วไปของมือใหม่
- เข้าเร็วเกิน: ไม่รอยืนยัน นำไปสู่ติดดอย
- ไม่ตั้ง Stop Loss: ขาดทุนหนักถ้าผิด
- ไม่สน timeframe: ใช้สั้นๆ โดนหลอกบ่อย
- สับสน Regular กับ Hidden: ตีความผิดเทรดสวน
- พึ่งตัวชี้วัดเดียว: ไม่ใช้ Price Action หรือ Volume
- ละเลยพื้นฐาน: ไม่ดูข่าวหรือเหตุการณ์
หลีกเลี่ยงเหล่านี้จะทำให้เทรดดีขึ้น