หุ้นคืออะไร มีกี่ประเภท: ไขข้อสงสัยก่อนเริ่มลงทุน พร้อมเผย 4 ประเภทหุ้นที่นักลงทุนต้องรู้

ตลาดหลักทรัพย์ไทย

บทนำ: ทำไมต้องรู้จัก “หุ้น” ก่อนเริ่มลงทุน?

ในยุคที่ทุกคนมุ่งหวังสร้างความมั่งคั่ง การลงทุนในหุ้นกลายเป็นทางเลือกยอดฮิตที่ช่วยให้สินทรัพย์เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หุ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่เป็นส่วนแบ่งในการเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณมีส่วนร่วมในความสำเร็จของบริษัทที่เลือก นอกจากนี้ ยังช่วยให้การเงินของคุณขยายตัวไปพร้อมกับพัฒนาการของกิจการนั้นๆ บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกแห่งหุ้น ตั้งแต่หลักการพื้นฐานว่าหุ้นคืออะไร มีรูปแบบไหนบ้าง จนถึงวิธีเริ่มต้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อสร้างฐานความรู้ที่มั่นคงก่อนลงสนามจริง โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจมองว่าตลาดหุ้นซับซ้อนเกินไป เราจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายดายมากขึ้น

นักลงทุนศึกษากราฟหุ้นและการเติบโตของสินทรัพย์

หุ้นคืออะไร? ทำความเข้าใจแก่นแท้ของการเป็นเจ้าของกิจการ

นิยาม “หุ้น” ในมุมมองของนักลงทุนและบริษัท

หุ้น หรือที่รู้จักในฐานะตราสารทางการเงินที่บริษัทออกให้กับผู้สนใจลงทุน เพื่อแสดงถึงสิทธิ์ในการถือครองส่วนหนึ่งของกิจการ ผู้ที่ถือหุ้นจึงมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้น เมื่อบริษัทตัดสินใจออกหุ้น ก็เพื่อรวบรวมทุนจากประชาชนหรือนักลงทุนทั่วไป เอาไปใช้ขยายธุรกิจ ดำเนินงาน หรือจัดการหนี้ โดยไม่ต้องพึ่งพาแค่สินเชื่อจากธนการเท่านั้น การซื้อหุ้นจึงเหมือนกับการร่วมทุนกับบริษัท และคุณจะได้สิทธิ์ในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถือไว้ ซึ่งช่วยให้บริษัทเติบโตได้มากขึ้นในระยะยาว

สิทธิประโยชน์และความรับผิดชอบของการเป็น “ผู้ถือหุ้น”

การเป็นผู้ถือหุ้นนำมาซึ่งสิทธิ์และหน้าที่ที่ควรรู้จักให้ดี เพื่อให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ สิทธิ์หลักๆ ที่คุณจะได้รับ ได้แก่

  • สิทธิ์รับเงินปันผล หากบริษัททำกำไรและที่ประชุมอนุมัติ คุณจะได้ส่วนแบ่งจากกำไรในรูปเงินปันผล สัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถือ
  • สิทธิ์ลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้น สำหรับหุ้นสามัญ คุณสามารถมีเสียงในการเลือกหรือถอดถอนกรรมการ อนุมัติงบดุล หรือตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ของบริษัท
  • สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มเมื่อบริษัทเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นเดิมมักได้สิทธิ์จองซื้อก่อนคนอื่น เพื่อรักษาสัดส่วนการถือครอง
  • สิทธิ์รับส่วนแบ่งทรัพย์สินเมื่อบริษัทปิดกิจการ หลังจากชำระหนี้และคืนทุนให้เจ้าหนี้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว ทรัพย์สินที่เหลือจะแบ่งให้ผู้ถือหุ้น

ส่วนหน้าที่นั้น ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบจำกัดอยู่แค่เงินที่ลงทุนไป หากบริษัทขาดทุนหรือล้มละลาย คุณไม่ต้องจ่ายหนี้แทนบริษัทเกินกว่ามูลค่าหุ้นที่ถือ ซึ่งทำให้การลงทุนแบบนี้ค่อนข้างปลอดภัยในแง่ความรับผิด

ผู้ถือหุ้นรับเงินปันผลจากอาคารบริษัท

หุ้นทำงานอย่างไรในตลาดหลักทรัพย์?

หุ้นจากบริษัทที่จดทะเบียนจะถูกนำมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในไทยคือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ทำหน้าที่เป็นจุดรวมตัวของผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านระบบที่ช่วยจับคู่คำสั่งซื้อขาย ราคาหุ้นจะขึ้นลงตามหลักอุปสงค์และอุปทาน หากคนอยากซื้อเยอะกว่าขาย ราคาก็จะพุ่งขึ้น แต่ถ้าขายเยอะกว่า ราคาก็จะร่วงลง กลไกนี้ทำให้หุ้นมีสภาพคล่องสูง นักลงทุนเปลี่ยนเป็นเงินสดได้รวดเร็ว และยังสะท้อนมูลค่าบริษัทตามที่ตลาดมองเห็นจริงๆ ซึ่งช่วยให้การลงทุนไหลลื่นและโปร่งใสมากขึ้น

เจาะลึก “ประเภทของหุ้น” ที่นักลงทุนควรรู้

หุ้นสามัญ (Common Stock): สิทธิเต็มที่ ความเสี่ยงเต็มตัว

หุ้นสามัญเป็นประเภทที่พบเจอทั่วไปที่สุดและเป็นแกนหลักของตลาดหุ้น ผู้ถือหุ้นสามัญได้สิทธิ์ลงคะแนนในที่ประชุม เพื่อกำหนดทิศทางบริษัท เช่น เลือกกรรมการ อนุมัติรายงานการเงิน หรือปรับโครงสร้างองค์กร สำหรับผลตอบแทน คุณอาจได้เงินปันผลที่ขึ้นกับผลประกอบการและมติบอร์ด รวมถึงกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นหากตลาดตอบรับดี แต่ในทางตรงกันข้าม หุ้นสามัญมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะเงินปันผลมาหลังผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ และถ้าบริษัทล้ม คุณจะได้ส่วนแบ่งท้ายสุด ซึ่งเหมาะกับคนที่อยากมีส่วนร่วมและยอมรับความผันผวนเพื่อโอกาสเติบโตสูง

การเปรียบเทียบหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ

หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock): สิทธิพิเศษ ความเสี่ยงจำกัด

หุ้นบุริมสิทธิแตกต่างจากหุ้นสามัญตรงที่ให้สิทธิ์พิเศษ เช่น ได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่และก่อนหุ้นสามัญ หากบริษัทปิดตัว คุณก็จะได้คืนทุนก่อนด้วย ทำให้เสี่ยงน้อยกว่า แต่แลกมาด้วยสิทธิ์ลงคะแนนที่จำกัดหรือไม่มีเลย และโอกาสกำไรจากราคาหุ้นที่ไม่สูงเท่า ดังนั้น ประเภทนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอและความมั่นคง มากกว่าการมีอิทธิพลในบริษัทหรือการเติบโตแบบก้าวกระโดด

หุ้นกู้ (Debenture) และใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant): ความแตกต่างกับหุ้น

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหุ้น ควรรู้จักตราสารที่คล้ายแต่ต่างกัน เช่น

หุ้นกู้คือตราสารหนี้ที่บริษัทกู้เงินจากนักลงทุน ผู้ถือมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยตามกำหนดและคืนเงินต้นเมื่อ到期 ทำให้เสี่ยงต่ำและผลตอบแทนคาดการณ์ได้ง่าย

ส่วนใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือวอร์แรนต์ ให้สิทธิ์ซื้อหุ้นสามัญในราคาและเวลาที่กำหนด คุณยังไม่ใช่ผู้ถือหุ้น แต่สามารถกลายเป็นได้หากใชสิทธิ์ มันซื้อขายในตลาดเหมือนหุ้น แต่มีอายุจำกัดและราคาผันผวนตามหุ้นอ้างอิง

คุณสมบัติ หุ้นสามัญ (Common Stock) หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) หุ้นกู้ (Debenture) ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant)
สถานะผู้ถือ เจ้าของกิจการ เจ้าของกิจการ (แต่มีสิทธิพิเศษ) เจ้าหนี้ มีสิทธิซื้อหุ้นในอนาคต
สิทธิออกเสียง มี ส่วนใหญ่ไม่มี ไม่มี ไม่มี
การได้รับเงินปันผล/ดอกเบี้ย ไม่คงที่, ได้รับหลังบุริมสิทธิ คงที่, ได้รับก่อนสามัญ คงที่, ได้รับก่อนหุ้นทุกประเภท ไม่มี (จนกว่าจะใช้สิทธิ)
การได้รับคืนเมื่อเลิกกิจการ ลำดับสุดท้าย ก่อนหุ้นสามัญ ลำดับแรก (ร่วมกับเจ้าหนี้อื่น) ไม่มีสิทธิโดยตรง
ความเสี่ยง สูง ปานกลาง ต่ำ สูง (ขึ้นกับหุ้นอ้างอิง)

การจำแนกประเภทหุ้นตามมุมมองการลงทุนและลักษณะธุรกิจ

หุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นคุณค่า (Value Stock)

การแบ่งประเภทหุ้นตามศักยภาพธุรกิจและมุมมองลงทุนช่วยให้คุณวางแผนได้แม่นยำยิ่งขึ้น

  • หุ้นเติบโต หมายถึงหุ้นของบริษัทที่คาดว่ารายได้และกำไรจะโตเร็วกว่าตลาดหรืออุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัทในสาขาใหม่ๆ หรือมีนวัตกรรมเด่น นักลงทุนมักยอมจ่ายแพงกว่าปัจจุบันเพราะหวังผลในอนาคต เช่น บริษัทเทคโนโลยีไทยที่กำลังขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว
  • หุ้นคุณค่า คือหุ้นที่ตลาดอาจมองข้ามมูลค่าจริง บริษัทเหล่านี้มีพื้นฐานแข็งแกร่ง กำไรสม่ำเสมอ และจ่ายปันผลดี แต่ราคายังต่ำกว่าที่ควร นักลงทุนเชื่อว่าราคาจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว เหมาะกับบริษัทในอุตสาหกรรมมั่นคงที่เจอปัญหาชั่วคราว

หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) และหุ้นเชิงรับ (Defensive Stock)

อีกมุมหนึ่งคือดูว่าหุ้นตอบสนองต่อเศรษฐกิจอย่างไร เพื่อเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์

  • หุ้นวัฏจักร คือหุ้นที่ผลประกอบการขึ้นลงตามเศรษฐกิจ เช่น เติบโตดีตอนเศรษฐกิจรุ่ง แต่ร่วงหนักตอนชะลอ ตัวอย่างเช่น กลุ่มพลังงาน เคมีภัณฑ์ อสังหา หรือรถยนต์ ที่ผูกติดกับการบริโภคและการลงทุน
  • หุ้นเชิงรับ หรือหุ้นที่ทนเศรษฐกิจได้ดี คือหุ้นของบริษัทที่มีรายได้คงที่เพราะสินค้าเป็นของจำเป็น เช่น โรงพยาบาล สาธารณูปโภคอย่างไฟฟ้าหรือน้ำประปา อาหารและเครื่องดื่ม ที่คนยังใช้แม้เศรษฐกิจไม่ดี

หุ้นระยะสั้น (Short-term Stock) และหุ้นระยะยาว (Long-term Stock) คืออะไร?

การแบ่งนี้ขึ้นกับระยะเวลาที่คุณถือและเป้าหมายลงทุน

  • หุ้นระยะสั้น ไม่ใช่ประเภทหุ้นเฉพาะ แต่เป็นแนวทางที่เน้นกำไรจากราคาที่เปลี่ยนแปลงเร็ว อาจถือไม่กี่วันถึงเดือน โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคและข่าวสาร มีความเสี่ยงสูง ต้องมีประสบการณ์
  • หุ้นระยะยาว คือการถือหุ้นนานตั้งแต่ปีขึ้นไป เพื่อรอการเติบโตของบริษัทและเงินปันผล ใช้วิเคราะห์พื้นฐานเป็นหลัก เหมาะกับมือใหม่ที่อยากสร้างความมั่งคั่งยั่งยืน โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนระยะสั้น

เริ่มต้นลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย: สิ่งที่คุณต้องรู้

การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์: ขั้นตอนและเอกสารที่จำเป็น

สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มลงทุนหุ้นไทย ขั้นตอนแรกคือเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยทั่วไปทำได้ดังนี้

  1. เลือกบริษัทหลักทรัพย์ที่ตรงกับสไตล์คุณ (รายละเอียดต่อไป)
  2. เตรียมเอกสาร เช่น
    • สำเนาบัตรประชาชน
    • สำเนาทะเบียนบ้าน
    • สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร สำหรับรับปันผลหรือโอนเงิน
    • เอกสารรายได้ เช่น สลิปเงินเดือนหรือรายการเดินบัญชี
  3. กรอกฟอร์มสมัครบัญชีหลักทรัพย์และ ATS สำหรับโอนเงินอัตโนมัติ
  4. ยืนยันตัวตน ผ่าน NDID สาขาธนาคาร หรือนัดเจ้าหน้าที่
  5. รอรับการอนุมัติ แล้วได้รหัสเข้าใช้งาน

ตอนนี้หลายโบรกเกอร์เปิดออนไลน์ได้ สะดวกและเร็วมาก ลดขั้นตอนให้เหลือน้อยลง

การเลือกบริษัทหลักทรัพย์ที่เหมาะสมกับคุณ

การเลือกโบรกเกอร์ดีๆ สำคัญมากสำหรับมือใหม่ ควรดูจาก

  • ค่าธรรมเนียม คอมมิชชั่นที่เหมาะกับการเทรดของคุณ
  • แพลตฟอร์ม ใช้งานสะดวก มีเครื่องมือวิเคราะห์ และแอปมือถือ
  • บริการ มีรายงานวิเคราะห์ ข่าวสาร หรือที่ปรึกษา
  • ความน่าเชื่อถือ มีฐานะมั่นคงและกำกับโดย ก.ล.ต.

ตัวอย่างโบรกเกอร์ยอดนิยมในไทย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง (Bualuang Securities), บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (Yuanta Securities), บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ (Liberator Securities), บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ (SCB Securities), และ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร (KKP Securities) แต่ละแห่งมีจุดแข็งต่างกัน เช่น บางแห่งเน้นมือใหม่ บางแห่งให้บริการพรีเมี่ยม

คุณสมบัติ Bualuang Securities Yuanta Securities Liberator Securities SCB Securities KKP Securities
ค่าคอมมิชชั่น อัตราทั่วไป อัตราทั่วไป ไม่มีขั้นต่ำ (ฟรีค่าคอมฯ บางช่วง) อัตราทั่วไป อัตราทั่วไป
แพลตฟอร์ม Streaming, BLS Trade, BLS Anywhere Streaming, Yuanta iTrade Liberator (เป็นของตัวเอง) Streaming, SCBS Easy Invest Streaming, KKP Trade
บริการเพิ่มเติม บทวิเคราะห์, สัมมนา บทวิเคราะห์, สัมมนา เน้นเทรดเอง, โซเชียล บทวิเคราะห์, โปรแกรม AI บทวิเคราะห์, Private Fund
เหมาะกับ มือใหม่-มีประสบการณ์ มือใหม่-มีประสบการณ์ เน้นเทรดบ่อย/วอลุ่มน้อย มือใหม่-มีประสบการณ์ เน้นบริการพรีเมี่ยม

ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในตลาดหุ้นไทย

การลงทุนหุ้นมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะมือใหม่ ควรระวังดังนี้

  • ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ ศึกษาธุรกิจ งบการเงิน และเทรนด์อุตสาหกรรมให้ละเอียด
  • อย่าหลงเชื่อข่าวลือ ตัดสินใจจากข้อมูลน่าเชื่อถือ ไม่ใช่คำชักชวนจากคนไม่เชี่ยวชาญ
  • กระจายความเสี่ยง อย่าใส่เงินหมดในหุ้นตัวเดียวหรือกลุ่มเดียว ลองผสมสินทรัพย์อื่นๆ
  • ตั้งจุดขายตัดขาดทุน หากราคาตกถึงระดับที่รับไม่ได้ ให้ขายเพื่อจำกัดความเสียหาย
  • จัดการอารมณ์ ไม่ให้ความโลภหรือกลัวมาควบคุม ใจเย็นๆ จะช่วยได้มาก
  • เริ่มด้วยเงินน้อย ใช้จำนวนที่เสียได้โดยไม่กระทบชีวิต เพื่อฝึกฝน

สรุป: ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนหุ้นอย่างชาญฉลาด

การรู้จักหุ้นว่าคืออะไรและมีประเภทไหนบ้าง เป็นจุดเริ่มต้นที่ขาดไม่ได้สำหรับใครที่อยากเข้าสู่การลงทุน หุ้นเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งระยะยาวที่ทรงพลัง แต่ต้องเข้าใจและจัดการความเสี่ยงให้ดี การแยกแยะหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ รวมถึงการแบ่งตามการเติบโตหรือวัฏจักรเศรษฐกิจ จะช่วยให้เลือกได้ตรงเป้าหมายและระดับเสี่ยงที่ยอมรับ การเริ่มลงทุนในตลาดไทยไม่ยากอย่างที่คิด แค่ศึกษาวางแผนและมีวินัยต่อเนื่อง ข้อมูลในบทความนี้หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจและฐานรากให้คุณก้าวสู่การเป็นนักลงทุนที่เฉียบแหลม

คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนสำหรับมือใหม่

Q1: ซื้อหุ้นครั้งแรก ต้องเริ่มต้นยังไงในตลาดหุ้นไทย?

อันดับแรก คุณต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ก่อนครับ โดยสามารถเลือกเปิดบัญชีออนไลน์หรือไปที่สาขาก็ได้ จากนั้นก็โอนเงินเข้าบัญชีหลักทรัพย์ และเริ่มส่งคำสั่งซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ได้เลยครับ

Q2: หุ้นสามัญกับหุ้นบุริมสิทธิ แตกต่างกันอย่างไร และเหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?

หุ้นสามัญ ให้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น มีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคาและเงินปันผลที่ผันแปรตามผลประกอบการ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการมีส่วนร่วมและรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่า

หุ้นบุริมสิทธิ ไม่ค่อยมีสิทธิออกเสียง แต่จะได้รับเงินปันผลคงที่และได้รับก่อนหุ้นสามัญ รวมถึงได้รับคืนเงินลงทุนก่อนเมื่อเลิกกิจการ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอและรับความเสี่ยงได้จำกัด

Q3: ถ้าบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินคืนหรือไม่ และได้รับเท่าไหร่?

หากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นจะได้รับคืนเงินลงทุนเป็นลำดับสุดท้าย หลังจากบริษัทชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นกู้ รวมถึงคืนทุนให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว หากไม่มีทรัพย์สินเหลือเพียงพอ ผู้ถือหุ้นสามัญก็อาจไม่ได้รับเงินคืนเลย หรือได้รับเพียงบางส่วนตามสัดส่วนที่เหลืออยู่ครับ

Q4: หุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีลักษณะการลงทุนเหมือนกันหมดไหม?

ไม่เหมือนกันครับ หุ้นแต่ละตัวมีลักษณะธุรกิจ ผลประกอบการ ศักยภาพการเติบโต และความเสี่ยงที่แตกต่างกันมาก การจำแนกประเภทหุ้น เช่น หุ้นเติบโต หุ้นคุณค่า หุ้นวัฏจักร หุ้นเชิงรับ ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจลักษณะเฉพาะและเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของตนเองได้

Q5: มือใหม่ควรเริ่มต้นลงทุนหุ้นด้วยเงินเท่าไหร่ และมีวิธีบริหารความเสี่ยงอย่างไร?

มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่คุณพร้อมจะขาดทุนได้โดยไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน อาจจะเริ่มต้นด้วยหลักพันหรือหลักหมื่นบาท เพื่อเรียนรู้และสร้างประสบการณ์
วิธีบริหารความเสี่ยงที่สำคัญคือ

  • ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุน
  • กระจายความเสี่ยงโดยไม่ลงทุนในหุ้นตัวเดียว
  • กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
  • และลงทุนในระยะยาวเพื่อลดความผันผวนระยะสั้นครับ

Q6: หุ้นปันผลคืออะไร และมีข้อดี-ข้อเสียเมื่อเทียบกับหุ้นประเภทอื่นอย่างไร?

หุ้นปันผล คือ หุ้นของบริษัทที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและในอัตราที่น่าพอใจ
ข้อดี: ให้ผลตอบแทนในรูปของกระแสเงินสดที่ชัดเจน สม่ำเสมอ และช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้
ข้อเสีย: อาจมีโอกาสในการเติบโตของราคาหุ้น (Capital Gain) ไม่สูงเท่าหุ้นเติบโต และการจ่ายเงินปันผลก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทและการอนุมัติของบอร์ดครับ

Q7: มีวิธีการเลือกบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) สำหรับมือใหม่ในประเทศไทยอย่างไร?

สำหรับมือใหม่ ควรพิจารณาจาก:

  • ค่าธรรมเนียม: เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสม
  • แพลตฟอร์มการซื้อขาย: ใช้งานง่าย มีแอปพลิเคชันมือถือที่เสถียร
  • บริการและคำแนะนำ: มีบทวิเคราะห์ บทความ หรือผู้แนะนำการลงทุนคอยให้คำปรึกษา
  • ความน่าเชื่อถือ: เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.

Q8: การเทรดหุ้นมีกี่แบบ? และมีกลยุทธ์อะไรบ้างที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น?

การเทรดหุ้นหลักๆ มี 2 แบบคือ

  • การลงทุนระยะสั้น (Trading): เน้นทำกำไรจากส่วนต่างราคาในระยะเวลาอันสั้น
  • การลงทุนระยะยาว (Investing): เน้นถือหุ้นเพื่อการเติบโตของบริษัทและเงินปันผลในระยะยาว

สำหรับผู้เริ่มต้น การลงทุนระยะยาว โดยเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมและมีความเสี่ยงต่ำกว่าครับ

Q9: ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นประเภท “หุ้นเติบโต” และ “หุ้นคุณค่า” ให้เลือกอย่างไร?

มีให้เลือกทั้งสองประเภทครับ

  • หุ้นเติบโต มักจะเป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรม หรือบริษัทที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
  • หุ้นคุณค่า มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง อยู่ในอุตสาหกรรมที่มั่นคง มีกำไรสม่ำเสมอ แต่ราคาหุ้นอาจจะยังไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง

นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์แต่ละบริษัทเพื่อจำแนกประเภทครับ

Q10: ควรศึกษาข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นจากแหล่งใดบ้างที่น่าเชื่อถือ?

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ได้แก่:

  • เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): www.set.or.th
  • เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. (SEC Thailand): www.sec.or.th
  • บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์: โบรกเกอร์ที่คุณเปิดบัญชีมักจะมีบทวิเคราะห์ให้
  • ข่าวสารจากสำนักข่าวการเงินที่น่าเชื่อถือ: เช่น กรุงเทพธุรกิจ, ประชาชาติธุรกิจ, ข่าวหุ้นธุรกิจ
  • หนังสือและคอร์สเรียนเกี่ยวกับการลงทุน: เลือกผู้สอนหรือผู้เขียนที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จริง

發佈留言