ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1) คืออะไร? นิยามและแก่นแท้
ในโลกเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ หรือที่เรียกกันว่า M1 ถือเป็นตัวชี้วัดหลักที่ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนของสภาพคล่องและการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในประเทศไทย โดย M1 ครอบคลุมเฉพาะสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความคล่องตัวสูงสุด ซึ่งประชาชนและภาคธุรกิจสามารถนำไปใช้จ่ายในการซื้อขายสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องรอช้า สิ่งนี้ทำให้ M1 เป็นตัวแทนของกำลังซื้อที่พร้อมใช้งานจริงๆ ในระบบเศรษฐกิจ

คำว่า “แคบ” ในที่นี้หมายถึง M1 มุ่งเน้นไปที่ส่วนประกอบที่มีสภาพคล่องสูงเท่านั้น โดยไม่รวมสินทรัพย์อื่นๆ ที่อาจต้องใช้เวลาหรือมีเงื่อนไขในการแปลงเป็นเงินสด การเฝ้าติดตาม M1 จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักวางนโยบายและผู้เชี่ยวชาญในการประเมินศักยภาพของการใช้จ่ายและการลงทุนในช่วงสั้นๆ ซึ่งมีบทบาทยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมให้เติบโตอย่างมั่นคง
ส่วนประกอบของ M1: เงินสดหมุนเวียนและเงินฝากกระแสรายวัน
M1 ในระบบเศรษฐกิจไทยประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสองส่วนที่พร้อมสำหรับการใช้งานทันที โดยทั้งสองส่วนนี้ช่วยให้การทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันดำเนินไปได้อย่างราบรื่น:
1. **เงินตราที่หมุนเวียนอยู่นอกธนาคารพาณิชย์ (Currency in Circulation):** ครอบคลุมธนบัตรและเหรียญที่ประชาชน ธุรกิจ และหน่วยงานอื่นๆ ถือครอง โดยไม่รวมธนาคารพาณิชย์ เงินส่วนนี้พร้อมสำหรับการใช้จ่ายในทันที ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของในตลาด ชำระค่าบริการ หรือแลกเปลี่ยนกันโดยตรง ทำให้เป็นรูปแบบการชำระเงินที่สะดวกและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุด
2. **เงินฝากกระแสรายวัน (Demand Deposits):** หมายถึงเงินที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคารของประชาชนและธุรกิจ ซึ่งสามารถถอนใช้ได้ทุกเมื่อโดยไม่มีความจำกัด หรือใช้ผ่านเช็ค บัตรเดบิต และการโอนเงินออนไลน์เพื่อจ่ายค่าสินค้าหรือบริการ เงินฝากประเภทนี้มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนธุรกรรมประจำวัน โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับมูลค่าสูงและต้องการบันทึกที่ชัดเจน

การเคลื่อนไหวในแต่ละส่วนของ M1 สามารถเผยให้เห็นพฤติกรรมการถือเงินและการใช้จ่ายของสาธารณะได้ชัดเจน เช่น หากเงินสดที่หมุนเวียนเพิ่มขึ้นกะทันหัน อาจแสดงถึงความนิยมในการใช้เงินสดมากขึ้นในกิจวัตรประจำวัน ขณะที่การเพิ่มขึ้นของเงินฝากกระแสรายวันอาจบ่งบอกถึงความไว้วางใจในระบบธนาคารและการทำธุรกรรมดิจิทัลที่กำลังขยายตัว
เปรียบเทียบ M1, M2 และ M3: ภาพรวมของปริมาณเงินทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ
เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ของปริมาณเงินในเศรษฐกิจไทยอย่างครบถ้วน ธนาคารกลางไม่ได้หยุดอยู่แค่ M1 แต่ยังติดตาม M2 และ M3 ซึ่งขยายขอบเขตไปสู่สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำลง แต่ยังคงเชื่อมโยงกับระบบโดยรวม
* **M1 (ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ):** อย่างที่อธิบายไว้ ประกอบด้วยเงินตราที่หมุนเวียนนอกธนาคารและเงินฝากกระแสรายวัน ซึ่งมีสภาพคล่องสูงสุดสำหรับการใช้จ่ายทันที
* **M2 (ปริมาณเงินในความหมายอย่างกว้าง):** รวม M1 พร้อมเงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำระยะสั้น (ไม่เกินสองปี) และเงินฝากของธุรกิจขนาดเล็ก สินทรัพย์เหล่านี้คล่องตัวรองลงมา เนื่องจากอาจต้องแจ้งล่วงหน้าหรือมีข้อจำกัดเล็กน้อย แต่ยังแปลงเป็นเงินสดได้ง่าย M2 จึงสะท้อนถึงเงินที่ใช้สำหรับการออมและลงทุนระยะสั้นของประชาชนและธุรกิจ
* **M3 (ปริมาณเงินในความหมายอย่างกว้างที่สุด):** ขยายจาก M2 โดยเพิ่มสินทรัพย์คล่องตัวต่ำ เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน พันธบัตรระยะยาว และเงินฝากประจำยาว ซึ่งมุ่งเน้นการออมและลงทุนระยะยาว M3 จึงให้มุมมองที่กว้างที่สุดของปริมาณเงินทั้งระบบ

ตารางเปรียบเทียบส่วนประกอบและสภาพคล่องของปริมาณเงิน M1, M2 และ M3:
| ประเภทปริมาณเงิน | ส่วนประกอบหลัก | สภาพคล่อง | วัตถุประสงค์หลัก |
| :————— | :————————————————————– | :——- | :——————————————— |
| **M1** | เงินตราหมุนเวียน + เงินฝากกระแสรายวัน | สูงสุด | การทำธุรกรรมประจำวัน, การใช้จ่ายทันที |
| **M2** | M1 + เงินฝากออมทรัพย์ + เงินฝากประจำระยะสั้น | สูง | การออมระยะสั้น, การลงทุนระยะสั้น |
| **M3** | M2 + สินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ (เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน, พันธบัตร) | ปานกลาง | การออมระยะยาว, การลงทุนระยะยาว, สภาพคล่องรวม |
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงต้องติดตามทุกระดับของปริมาณเงินเหล่านี้ เพื่อเข้าใจการไหลเวียนของสภาพคล่องอย่างละเอียด และนำข้อมูลมาปรับใช้ในการกำหนดนโยบายการเงินที่ตอบโจทย์สถานการณ์จริง เช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญความไม่แน่นอน การวิเคราะห์ M2 และ M3 ช่วยเสริมให้เห็นภาพการออมที่อาจกลายเป็นกำลังซื้อในอนาคต
M1 กับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย: การวิเคราะห์และบทบาทสำคัญ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความสำคัญกับ M1 ในฐานะเครื่องมือวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจและวางแผนนโยบายการเงิน เนื่องจาก M1 เชื่อมโยงตรงๆ กับเงินที่พร้อมใช้จ่าย ซึ่งส่งผลต่อการบริโภค แรงกดดันเงินเฟ้อ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม
เมื่อ M1 ขยายตัวอย่างรวดเร็วและยั่งยืน อาจบอกถึง:
* **เศรษฐกิจที่คึกคัก:** ประชาชนและธุรกิจมีเงินทุนพร้อมสำหรับการใช้จ่ายและลงทุนมากขึ้น สร้างแรงผลักดันให้ระบบหมุนเวียน
* **ความเสี่ยงเงินเฟ้อ:** หากเงินในระบบมากเกินกว่าการผลิตสินค้าและบริการ ราคาอาจปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่ม
* **ผลลัพธ์จากนโยบายผ่อนคลาย:** เช่น การลดดอกเบี้ยหรือเพิ่มสภาพคล่อง ซึ่งช่วยให้ M1 เติบโตและกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ถ้า M1 ชะงักหรือลดลง อาจเป็นสัญญาณเตือน:
* **เศรษฐกิจชะลอตัว:** การใช้จ่ายและลงทุนหดตัว สร้างความกังวลให้กับภาพรวม
* **ภาวะเงินฝืด:** ความต้องการลดลงมากเกินไป อาจทำให้ราคาตกต่ำและเศรษฐกิจติดลบ
* **ผลจากนโยบายเข้มงวด:** เช่น การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพ
ธปท. จึงนำแนวโน้ม M1 มาพิจารณาร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ เช่น อัตราเงินเฟ้อ การเติบโต GDP และการว่างงาน เพื่อตัดสินใจปรับดอกเบี้ยนโยบาย ดำเนินการในตลาดเปิด หรือใช้เครื่องมืออื่นๆ ในการรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงวิกฤต เช่น การระบาดใหญ่ ธปท. อาจเลือกนโยบายผ่อนคลายเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ส่งผลให้ M1 ขยายตัวและช่วยฟื้นฟูการใช้จ่าย ข้อมูลปริมาณเงิน M1 ล่าสุดจากธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นแหล่งข้อมูลที่ช่วยให้เข้าใจการเคลื่อนไหวของนโยบายเหล่านี้ได้ดี
อย่างไรก็ตาม ในยุคที่การชำระเงินผ่านดิจิทัลและธนาคารออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดดในไทย การตีความ M1 ต้องคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น การลดลงของเงินสดและการเพิ่มขึ้นของธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ธปท. จึงปรับปรุงวิธีวิเคราะห์ให้ทันสมัย เพื่อให้การประเมินเศรษฐกิจและนโยบายยังคงแม่นยำ
ผลกระทบของ M1 ต่อเศรษฐกิจไทย: จากภาคครัวเรือนสู่ภาคธุรกิจและภาพรวม
การเปลี่ยนแปลงของ M1 ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจไทย ครอบคลุมตั้งแต่ระดับครัวเรือน ธุรกิจ ไปจนถึงภาพรวมมหภาค โดยแต่ละส่วนล้วนได้รับอิทธิพลที่แตกต่างกัน
**ต่อภาคครัวเรือน:**
* **กำลังซื้อและการบริโภค:** M1 ที่เพิ่มขึ้นหมายถึงเงินในกระเป๋าของประชาชนมากขึ้น ส่งเสริมการใช้จ่ายที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร้านค้าและบริการต่างๆ
* **ค่าครองชีพ:** แต่หากเพิ่มมากเกินไป อาจก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ลดมูลค่าของเงิน และทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต
**ต่อภาคธุรกิจ:**
* **การลงทุนและการจ้างงาน:** สภาพคล่องที่สูงช่วยให้ธุรกิจมีทุนหมุนเวียนมากขึ้น สามารถขยายการลงทุน จ้างงาน และเพิ่มกำลังการผลิตได้
* **ความเชื่อมั่น:** M1 ที่เติบโตเหมาะสมบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง สร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการและนักลงทุน
* **การเข้าถึงสินเชื่อ:** ระบบที่มีสภาพคล่องดีทำให้ธนาคารพร้อมปล่อยกู้มากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับ SMEs ที่ต้องการขยายกิจการ
**ต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย:**
* **การเติบโตโดยรวม:** M1 เป็นตัวบ่งชี้ความมีชีวิตชีวาของเศรษฐกิจ หากเติบโตอย่างสมดุล มักสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของ GDP
* **เสถียรภาพทางการเงิน:** การจัดการ M1 ให้เหมาะสมช่วยป้องกันเงินเฟ้อหรือเงินฝืดรุนแรง รักษาสมดุลในระบบ
**ผลกระทบจากยุคดิจิทัลในประเทศไทย:**
การขยายตัวของระบบชำระเงินดิจิทัล เช่น PromptPay และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ได้เปลี่ยนแปลงวิถีการใช้จ่ายของคนไทยอย่างสิ้นเชิง ผลกระทบของ Digital Payment ต่อเศรษฐกิจไทย โดยลดการพึ่งพาเงินสดและเพิ่มการโอนเงินผ่านธนาคาร ส่งผลให้เงินฝากกระแสรายวันใน M1 มีบทบาทเด่นขึ้น ขณะที่เงินสดหมุนเวียนลดลง ธปท. จึงต้องปรับการวิเคราะห์ให้เข้ากับเทรนด์ใหม่ เพื่อให้ M1 ยังคงเป็นตัวชี้วัดที่เชื่อถือได้ โดยในทางปฏิบัติ ประชาชนและ SMEs สามารถใช้ M1 ในการคาดการณ์แนวโน้ม เช่น หากชะลอตัว อาจถึงเวลารัดงบประมาณ แต่หากเพิ่มขึ้น ก็เป็นโอกาสสำหรับการลงทุน เพียงแต่ควรดูร่วมกับข้อมูลอื่นๆ เพื่อความรอบคอบ
สรุป: M1 ตัวชี้วัดสำคัญในโลกการเงินที่ทุกคนควรทำความเข้าใจ
M1 หรือปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ เป็นดัชนีเศรษฐกิจมหภาคที่ขาดไม่ได้สำหรับการติดตามสภาพคล่องและการเคลื่อนไหวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ด้วยองค์ประกอบหลักอย่างเงินตราหมุนเวียนนอกธนาคารและเงินฝากกระแสรายวัน M1 จึงเป็นตัวแทนของกำลังซื้อที่พร้อมใช้งาน สามารถบอกเล่าถึงการบริโภคและการลงทุนระยะสั้นได้อย่างตรงไปตรงมาและทันเหตุการณ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาศัย M1 ในการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจ แรงกดดันเงินเฟ้อ และประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงของ M1 ไม่ได้กระทบบนกระดาษเท่านั้น แต่ยังส่งผลจริงๆ ต่อดอกเบี้ย เงินเฟ้อ กำลังซื้อของครัวเรือน ศักยภาพธุรกิจ และการเติบโตของเศรษฐกิจไทยโดยรวม
ในยุคดิจิทัลที่ระบบชำระเงินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว การเข้าใจ M1 และการตีความในบริบทใหม่ๆ จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญสำหรับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักลงทุน ผู้ประกอบการ หรือประชาชนทั่วไป การติดตามข้อมูลจากแหล่งน่าเชื่อถืออย่างธนาคารแห่งประเทศไทย จะช่วยให้วางแผนการเงินและคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงการผสมผสานระหว่างเงินสดดั้งเดิมและธุรกรรมดิจิทัลที่กำลังกำหนดอนาคต
1. M1 ในประเทศไทยปัจจุบันมีมูลค่าเท่าไหร่ และสามารถหาข้อมูลอัปเดตได้จากแหล่งใดบ้างที่เชื่อถือได้?
มูลค่า M1 ในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สามารถดูข้อมูลอัปเดตได้โดยตรงจาก เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลทางการและเชื่อถือได้มากที่สุด โดยจะมีการเผยแพร่สถิติปริมาณเงินเป็นประจำทุกเดือน
2. ในบริบทของเศรษฐกิจไทย การเปลี่ยนแปลงของ M1 ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและกำลังซื้อของประชาชนทั่วไปอย่างไร?
หาก M1 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องโดยที่การผลิตสินค้าและบริการไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม อาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าครองชีพและลดทอนกำลังซื้อของประชาชน ในทางกลับกัน หาก M1 ลดลงอย่างมาก อาจเป็นสัญญาณของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและอาจนำไปสู่ภาวะเงินฝืด ทำให้กำลังซื้อของเงินเพิ่มขึ้นแต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจซบเซา
3. ธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาข้อมูล M1 อย่างไรในการกำหนดนโยบายอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้ M1 เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินสภาพคล่องในระบบและความต้องการใช้จ่าย หาก M1 ขยายตัวเร็วเกินไปจนอาจนำไปสู่เงินเฟ้อ ธปท. อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดสภาพคล่องและชะลอการใช้จ่าย แต่หาก M1 ชะลอตัว แสดงถึงเศรษฐกิจที่ซบเซา ธปท. อาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน
4. การเติบโตของ Digital Banking และระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PromptPay ในไทย มีอิทธิพลต่อองค์ประกอบและการคำนวณ M1 อย่างไร?
การเติบโตของ Digital Banking และ PromptPay ในประเทศไทยทำให้พฤติกรรมการใช้เงินสดลดลง ประชาชนและธุรกิจหันมาใช้การโอนเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารและ E-wallet มากขึ้น สิ่งนี้ส่งผลให้สัดส่วนของ “เงินฝากกระแสรายวัน” ในองค์ประกอบของ M1 อาจเพิ่มขึ้น ในขณะที่ “เงินตราที่หมุนเวียนอยู่นอกธนาคารพาณิชย์” อาจมีสัดส่วนลดลง ธปท. ต้องปรับวิธีการวิเคราะห์เพื่อสะท้อนพลวัตใหม่นี้อย่างแม่นยำ
5. นักลงทุนหรือผู้ประกอบการ SME ในประเทศไทย ควรใช้ข้อมูล M1 ในการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและตัดสินใจทางธุรกิจของตนอย่างไร?
นักลงทุนและผู้ประกอบการ SME สามารถใช้ M1 เป็นสัญญาณชี้นำภาวะเศรษฐกิจได้ หาก M1 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ถึงเศรษฐกิจที่มีการเติบโตและสภาพคล่องสูง ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการลงทุนหรือขยายธุรกิจ แต่ควรระมัดระวังหากมีการเพิ่มขึ้นที่ร้อนแรงเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่เงินเฟ้อได้ ในทางกลับกัน หาก M1 ลดลง อาจเป็นสัญญาณเตือนให้ระมัดระวังและรัดเข็มขัดในการดำเนินธุรกิจ
6. ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างเงินที่จัดอยู่ใน M1 กับเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไปในมุมมองของสภาพคล่องคืออะไร?
เงินที่จัดอยู่ใน M1 (เงินสดและเงินฝากกระแสรายวัน) มีสภาพคล่องสูงสุด สามารถนำไปใช้ในการทำธุรกรรมได้ทันทีโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ ในขณะที่เงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป แม้จะสามารถถอนได้ง่าย แต่ก็จัดอยู่ใน M2 ไม่ใช่ M1 เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ต้องถอนผ่านตู้ ATM หรือเคาน์เตอร์ธนาคาร และมักจะถูกมองว่าเป็นเงินที่เก็บไว้เพื่อการออมมากกว่าการใช้จ่ายประจำวันโดยตรง
7. หากประเทศไทยประสบภาวะ M1 ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะบ่งชี้ถึงปัญหาเศรษฐกิจประเภทใดบ้าง และภาครัฐควรมีมาตรการอย่างไร?
หาก M1 ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจซบเซา การบริโภคและการลงทุนที่ลดลง ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่ำ หรือแม้แต่ภาวะเงินฝืด ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยอาจต้องพิจารณาใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย การดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว (เช่น เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ) หรือมาตรการอื่นๆ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจ
8. ปริมาณเงิน M1 มีความเกี่ยวข้องกับอัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยอย่างไร และเราจะสังเกตได้อย่างไร?
โดยทั่วไปแล้ว หากปริมาณเงิน M1 เพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของผลผลิตสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจ อาจส่งผลให้เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ เนื่องจากมีเงินไล่ซื้อสินค้าและบริการจำนวนมากเกินไป เราสามารถสังเกตได้โดยการเปรียบเทียบแนวโน้มการเติบโตของ M1 กับอัตราเงินเฟ้อที่ประกาศโดยกระทรวงพาณิชย์และข้อมูลการเติบโตของ GDP หาก M1 เติบโตสูงกว่า GDP อย่างมีนัยสำคัญและอัตราเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวสูงขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือน
9. นอกจาก M1 แล้ว ดัชนีปริมาณเงินอื่นๆ เช่น M2 และ M3 มีความสำคัญต่อการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยอย่างไร และควรใช้ร่วมกันหรือไม่?
ดัชนีปริมาณเงิน M2 และ M3 มีความสำคัญอย่างยิ่งในการให้ภาพรวมของสภาพคล่องและการออมในระบบเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น M2 สะท้อนการออมระยะสั้น ในขณะที่ M3 ให้ภาพรวมของสภาพคล่องทั้งหมด รวมถึงการออมระยะยาว การใช้ดัชนีปริมาณเงินเหล่านี้ร่วมกันช่วยให้นักวิเคราะห์และผู้กำหนดนโยบายเข้าใจถึงพลวัตของเงินทุนในระบบได้อย่างครอบคลุม ทั้งเงินที่พร้อมใช้จ่ายทันที และเงินที่ถูกเก็บออมไว้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการกำหนดนโยบายการเงินที่สมดุล
10. การเปลี่ยนแปลงของ M1 ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ (เช่น วิกฤตโควิด-19) สะท้อนภาพอะไรในประเทศไทย และธนาคารแห่งประเทศไทยมีมาตรการรับมืออย่างไร?
ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น วิกฤตโควิด-19 M1 ในประเทศไทยมักจะแสดงความผันผวนสูง ในช่วงเริ่มต้นของวิกฤต M1 อาจลดลงเนื่องจากความไม่แน่นอนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดชะงัก อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มักจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย เช่น ลดอัตราดอกเบี้ยและอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลให้ M1 มีการขยายตัวในเวลาต่อมาเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการตอบสนองของครัวเรือนและธุรกิจต่อสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนและการดำเนินนโยบายของ ธปท. เพื่อประคองเศรษฐกิจ