ราคาน้ำมันโลก: ใครคือผู้กำหนดทิศทางและอนาคตพลังงานของเรา? เจาะลึก OPEC และ OPEC+

ตลาดหลักทรัพย์ไทย

บทนำ: ราคาน้ำมันโลกถูกกำหนดโดยใคร?

ราคาน้ำมันถือเป็นตัวแปรหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าหรือการเดินทางส่วนตัว ความผันผวนของราคานี้สามารถก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง แต่คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าใครคือผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของราคาน้ำมันในตลาดโลก? คำตอบหลักๆ อยู่ที่กลุ่มองค์กรที่มีอิทธิพลสูงอย่างโอเปก (OPEC) และพันธมิตรโอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการจัดการอุปทานและอุปสงค์ของพลังงานที่จำเป็นนี้ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโครงสร้าง อำนาจ วิธีการทำงาน และอุปสรรคที่กลุ่มเหล่านี้เผชิญอยู่ รวมถึงวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างละเอียด

ภาพประกอบโลกที่มีแท่นขุดเจาะน้ำมันและสัญลักษณ์เงินล้อมรอบด้วยมือของโอเปกและโอเปกพลัสที่ควบคุมคันโยก

โอเปก (OPEC) คืออะไร? กลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันที่ทรงอิทธิพล

องค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือที่รู้จักกันในชื่อโอเปก (Organization of the Petroleum Exporting Countries – OPEC) ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อรวมพลังของชาติผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ให้มีน้ำหนักในการเจรจาและกำกับดูแลตลาดน้ำมันระดับโลกให้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน

ภาพประกอบธงชาติ 13 ประเทศสมาชิกโอเปกที่รวมตัวรอบถังน้ำมันเพื่อตัดสินใจ

กำเนิดและวัตถุประสงค์ของ OPEC

โอเปกก่อตั้งขึ้นในกรุงแบกแดดของอิรักเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2503 โดยมีชาติผู้ก่อตั้งทั้งห้าประเทศ ได้แก่ อิหร่าน อิรัก คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และเวเนซุเอลา จุดมุ่งหมายหลักคือการประสานนโยบายน้ำมันของสมาชิก เพื่อสร้างความมั่นคงให้ตลาดน้ำมันระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นให้การผลิตและจัดส่งน้ำมันเกิดประสิทธิภาพ สม่ำเสมอ และเพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้ ขณะเดียวกันก็รับประกันผลตอบแทนที่ยุติธรรมทั้งสำหรับผู้ผลิตและผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ การรวมตัวครั้งนี้เกิดจากความจำเป็นในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติผู้ผลิต จากอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่จากตะวันตกในยุคนั้น ซึ่งเคยครอบงำการกำหนดราคาอย่างสิ้นเชิง

ประเทศสมาชิก OPEC

ในปัจจุบัน โอเปกประกอบด้วยสมาชิก 13 ชาติที่กระจายตัวอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ ซึ่งล้วนเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบชั้นนำของโลก ได้แก่ แอลจีเรีย แองโกลา คองโก อิเควทอเรียลกินี กาบอง อิหร่าน อิรัก คูเวต ลิเบีย ไนจีเรีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเวเนซุเอลา ชาติเหล่านี้ร่วมกันดูแลปริมาณการผลิตน้ำมันดิบส่วนใหญ่ของโลก ทำให้โอเปกมีบทบาทสำคัญในการชี้นำราคาน้ำมัน การตัดสินใจที่เกิดจากการประชุมร่วมกันของสมาชิกแต่ละชาติ สามารถส่งผลกระทบต่ออุปทานในตลาดโลกได้อย่างมหาศาล

อำนาจการกำหนดราคาน้ำมันของ OPEC ทำงานอย่างไร?

อำนาจหลักที่โอเปกใช้ในการกำหนดราคาน้ำมันโลก มาจากการจัดการอุปทานน้ำมันดิบ โดยเฉพาะการตัดสินใจร่วมกันเกี่ยวกับระดับการผลิต

ภาพประกอบผู้นำโอเปกนั่งล้อมโต๊ะปรับลูกบิดที่ติดป้ายการผลิตน้ำมัน ส่งผลต่อราคาน้ำมันโลก

กลไกการควบคุมอุปทาน

โอเปกอาศัยการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันของสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินสถานการณ์ตลาดน้ำมันโลกและกำหนดโควตาการผลิตหรือเป้าหมายรวม การตัดสินใจเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อปริมาณน้ำมันที่ไหลเข้าสู่ตลาด ถ้ากลุ่มตกลงลดกำลังการผลิต อุปทานจะหดตัว ส่งผลให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้นตามหลักอุปสงค์-อุปทาน ในทางตรงกันข้าม หากเพิ่มการผลิต อุปทานที่มากขึ้นอาจกดราคาให้ต่ำลงได้ กลไกนี้ประสบความสำเร็จเมื่อสมาชิกแต่ละชาติยึดมั่นในข้อตกลงและให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ซึ่งช่วยเสริมประสิทธิภาพให้การควบคุมตลาดมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น

อิทธิพลทางประวัติศาสตร์และกรณีศึกษา

ตลอดประวัติศาสตร์ โอเปกได้แสดงศักยภาพในการกำหนดราคาน้ำมันโลกมาหลายครั้ง กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือวิกฤตน้ำมันปี 1973 เมื่อกลุ่มชาติอาหรับในโอเปกตัดสินใจลดการผลิตและคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันไปยังประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล ส่งผลให้ราคาพุ่งทะยานและก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจโลก เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงพลังของโอเปกในการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ จนถึงทุกวันนี้ การตัดสินใจของโอเปกยังคงเป็นจุดสนใจหลักสำหรับนักวิเคราะห์และผู้ประกอบการในตลาดพลังงานทั่วโลก หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติและภารกิจ สามารถเยี่ยมชม เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ OPEC ได้

การมาถึงของ OPEC+: พันธมิตรใหม่กับมหาอำนาจน้ำมันที่ไม่ใช่สมาชิก

ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ตลาดน้ำมันโลกได้เห็นการก่อตัวของพันธมิตรใหม่ชื่อโอเปกพลัส (OPEC+) ซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมสำคัญในการกำหนดราคาน้ำมัน

OPEC กับ OPEC+ ต่างกันอย่างไร

โอเปกพลัสคือการร่วมมือที่เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2559 โดยรวมสมาชิกโอเปกทั้งหมดเข้ากับผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มอีก 10 ชาติ สำคัญๆ อย่างรัสเซียที่นำทีม ความแตกต่างหลักคือการขยายฐานสมาชิกให้กว้างขึ้น เพื่อเสริมศักยภาพในการจัดการตลาดน้ำมันให้แข็งแกร่งกว่าเดิม ชาติที่เข้าร่วมนอกโอเปก เช่น รัสเซีย เม็กซิโก คาซัคสถาน และคาซัคสถาน ได้นำกำลังการผลิตจำนวนมหาศาลมารวมกับโอเปก ทำให้กลุ่มนี้ครอบคลุมส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่โตและมีนัยสำคัญยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการควบคุมอุปทานน้ำมันดิบ

บทบาทและอิทธิพลของ OPEC+ ในปัจจุบัน

การรวมตัวของโอเปกพลัสเกิดขึ้นเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ในตลาดน้ำมัน โดยเฉพาะการขยายตัวของการผลิตจากแหล่งอื่นๆ เช่น น้ำมันจากหินดินดานในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้อิทธิพลของโอเปกเพียงลำพังลดลง โอเปกพลัสได้พิสูจน์ตัวเองผ่านการรักษาเสถียรภาพราคาในช่วงวิกฤต เช่น ระหว่างการระบาดของโควิด-19 ที่ความต้องการน้ำมันร่วงลงอย่างหนัก การตัดสินใจลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ของกลุ่มช่วยประคองราคาไม่ให้ทรุดตัวมากเกินไป การประสานงานนี้สะท้อนถึงการปรับตัวของผู้ผลิตน้ำมัน เพื่อรักษาสมดุลตลาดและปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้น การเคลื่อนไหวของโอเปกพลัสจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดราคาน้ำมันโลกและภาพรวมเศรษฐกิจ

ปัจจัยจำกัดอำนาจของ OPEC และ OPEC+ ในโลกที่เปลี่ยนแปลง

ถึงแม้โอเปกและโอเปกพลัสจะมีอิทธิพลสูง แต่ก็มีปัจจัยหลายอย่างที่จำกัดขอบเขตอำนาจและสร้างความท้าทายให้กลุ่มเหล่านี้ ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

การผลิตน้ำมันจากแหล่งอื่น (โดยเฉพาะเชลล์ออยล์)

การปฏิวัติในอุตสาหกรรมน้ำมันจากหินดินดาน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ได้พลิกโฉมตลาดพลังงานโลกไปโดยสิ้นเชิง สหรัฐฯ ก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ความยืดหยุ่นในการปรับกำลังการผลิตน้ำมันจากหินดินดานที่รวดเร็ว สร้างทางเลือกอุปทานใหม่ๆ ให้ตลาด และลดทอนอำนาจของโอเปกในการครองตลาดราคาแต่เพียงผู้เดียว เช่น เมื่อโอเปกลดการผลิตเพื่อผลักราคาให้สูงขึ้น ผู้ผลิตน้ำมันจากหินดินดานอาจเร่งเพิ่มกำลังทันที ซึ่งจำกัดขอบเขตที่โอเปกจะใช้กลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

ทั่วโลกกำลังหันเหสู่พลังงานหมุนเวียนและสะอาดมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและส่งเสริมความยั่งยืน การขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และเทคโนโลยีสะอาดอื่นๆ กำลังกดดันความต้องการน้ำมันในระยะยาว แม้ว่าน้ำมันจะยังคงเป็นพลังงานหลักอีกหลายสิบปี แต่แนวโน้มนี้ชี้ว่าความต้องการอาจถึงจุดสูงสุดและเริ่มลดลง ซึ่งจะกระทบต่อบทบาทและอิทธิพลของโอเปกในฐานะผู้กำหนดราคา ข้อมูลจาก สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ยืนยันถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพลังงานนี้ โดยคาดการณ์ว่าการลดลงของความต้องการน้ำมันจะเร่งตัวขึ้นในทศวรรษหน้า

ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง

ปัจจัยภายนอกอย่างการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความผันผวนอัตราแลกเปลี่ยน สงครามการค้า หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ก็สามารถสั่นคลอนราคาน้ำมันได้ เช่น เศรษฐกิจโลกที่ซบเซาจะลดความต้องการน้ำมันโดยอัตโนมัติ ไม่ว่ากลุ่มโอเปกจะตัดสินใจอย่างไร นอกจากนี้ ความตึงเครียดระหว่างสมาชิกหรือความไม่สงบในพื้นที่สำคัญอย่างตะวันออกกลาง ยังอาจรบกวนความมั่นคงของอุปทานและทำให้ราคาผันผวนอย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นความท้าทายที่กลุ่มต้องเผชิญอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบของราคาน้ำมันโลกต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภคไทย

ในฐานะชาติที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันเป็นหลัก ประเทศไทยจึงได้รับผลกระทบหนักหน่วงจากความผันผวนของราคาน้ำมันโลกที่โอเปกและโอเปกพลัสมีส่วนกำหนด

ไทยในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ

ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ กล่าวคือการผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจำนวนมากจากต่างชาติ ราคาน้ำมันโลกจึงเป็นปัจจัยภายนอกที่กระทบต้นทุนพลังงานโดยตรง เมื่อราคาสูงขึ้น ไทยต้องใช้เงินทุนต่างประเทศมากขึ้นในการนำเข้า ซึ่งอาจกระทบดุลการค้าต่างประเทศและความเข้มแข็งของค่าเงินบาท โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน

ผลกระทบต่อภาคธุรกิจและค่าครองชีพ

ความผันผวนราคาน้ำมันก่อให้เกิดผลกระทบแบบลูกโซ่ต่อเศรษฐกิจไทยในหลายภาคส่วน:
* **ภาคขนส่ง:** ไม่ว่าจะขนส่งสินค้าหรือผู้โดยสาร ต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าบริการขนส่งสูงขึ้น ส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการโดยรวม
* **ภาคอุตสาหกรรม:** โรงงานจำนวนมากพึ่งพาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงาน ต้นทุนที่สูงขึ้นจะเพิ่มภาระการผลิต ลดความสามารถแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
* **ผู้บริโภคทั่วไป:** ประชาชนต้องเผชิญค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งค่าน้ำมันรถ ค่าเดินทาง และราคาสินค้าที่ปรับตัวตามต้นทุนขนส่งและผลิต ทำให้กำลังซื้อโดยรวมลดลงและกระทบคุณภาพชีวิต

นโยบายภาครัฐในการรับมือ

รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการหลากหลายเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ไม่แน่นอน เช่น:
* **การอุดหนุนราคา:** ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาขายปลีกในประเทศไม่ให้พุ่งสูงเกินไป แม้จะช่วยผู้บริโภค แต่ก็อาจสร้างภาระงบประมาณในระยะยาว
* **การส่งเสริมพลังงานทดแทน:** สนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล และยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงาน
* **การบริหารจัดการภาษี:** ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันชั่วคราว เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้ประชาชนและธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตราคา

บทสรุป: อนาคตของอำนาจกำหนดราคาน้ำมันโลก

โอเปกและโอเปกพลัสยังคงเป็นพลังสำคัญในการกำหนดราคาน้ำมันโลก ผ่านการจัดการอุปทานน้ำมันดิบอย่างมีกลยุทธ์ อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของพวกเขากำลังถูกทดสอบจากปัจจัยหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวของน้ำมันจากแหล่งอื่นๆ โดยเฉพาะจากหินดินดานในสหรัฐฯ การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดทั่วโลก และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ-การเมือง การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ตลาดพลังงานซับซ้อนและกระจายอำนาจมากขึ้น ในอนาคต โอเปกและโอเปกพลัสอาจต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างผลประโยชน์สมาชิกและความต้องการตลาดที่กำลังเข้าสู่ยุคพลังงานยั่งยืน การทำความเข้าใจพลวัตเหล่านี้จึงจำเป็นสำหรับรัฐบาล ธุรกิจ และผู้บริโภคในการวางแผนรับมือกับอนาคตพลังงานที่ไม่แน่นอน

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

OPEC คืออะไร และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกอย่างไร?

OPEC หรือ Organization of the Petroleum Exporting Countries คือองค์กรที่รวมประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน เพื่อประสานนโยบายน้ำมันของสมาชิกและรักษาความมั่นคงในตลาดน้ำมันโลก โอเปกมีบทบาทหลักในการจัดการอุปทานน้ำมันดิบ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อราคาน้ำมัน สะท้อนถึงเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าทั่วโลกอย่างกว้างขวาง

OPEC กับ OPEC+ แตกต่างกันอย่างไร และใครมีอิทธิพลมากกว่ากัน?

OPEC คือกลุ่มสมาชิกดั้งเดิมที่เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ขณะที่ OPEC+ คือการขยายพันธมิตรโดยรวมสมาชิกโอเปกกับผู้ผลิตนอกกลุ่มสำคัญๆ เช่น รัสเซีย เพื่อเสริมพลังในการควบคุมตลาดให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ในปัจจุบัน OPEC+ มีอิทธิพลเหนือกว่า ด้วยกำลังการผลิตที่รวมกันใหญ่โตและครอบคลุมส่วนแบ่งตลาดที่กว้างกว่าเดิม

ประเทศสมาชิก OPEC มีทั้งหมดกี่ประเทศ และมีประเทศใดบ้าง?

ปัจจุบัน OPEC มีสมาชิก 13 ประเทศ ได้แก่:

  • แอลจีเรีย
  • แองโกลา
  • คองโก
  • อิเควทอเรียลกินี
  • กาบอง
  • อิหร่าน
  • อิรัก
  • คูเวต
  • ลิเบีย
  • ไนจีเรีย
  • ซาอุดีอาระเบีย
  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
  • เวเนซุเอลา

ราคาน้ำมันโลกที่ OPEC กำหนด ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพในประเทศไทยอย่างไรบ้าง?

เนื่องจากไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ ราคาน้ำมันโลกจาก OPEC จึงกระทบค่าครองชีพโดยตรง เมื่อราคาสูงขึ้น จะทำให้:

  • ค่าขนส่งสินค้าเพิ่ม ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้น
  • ค่าเดินทางส่วนตัวและค่าโดยสารสาธารณะแพงขึ้น
  • ต้นทุนผลิตในอุตสาหกรรมสูง ซึ่งอาจกระทบการจ้างงานและราคาสินค้า
  • รัฐต้องอุดหนุนราคาเพื่อช่วยประชาชน สร้างภาระงบประมาณ

นอกเหนือจาก OPEC แล้ว มีปัจจัยใดอีกบ้างที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันโลก?

นอกจาก OPEC และ OPEC+ ปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดราคาน้ำมันโลก ได้แก่:

  • การผลิตน้ำมันจากแหล่งอื่น: โดยเฉพาะน้ำมันจากหินดินดานในสหรัฐอเมริกา
  • ความต้องการน้ำมันทั่วโลก: ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกและพฤติกรรมใช้พลังงาน
  • การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด: การเติบโตของพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้า
  • ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์: ความขัดแย้ง สงคราม หรือความไม่มั่นคงในพื้นที่ผลิตน้ำมัน
  • การเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า: การคาดการณ์ของนักลงทุนเกี่ยวกับราคาในอนาคต

ประเทศไทยในฐานะผู้บริโภคน้ำมัน ควรเตรียมรับมือกับความผันผวนของราคาน้ำมันอย่างไร?

สำหรับประชาชนและธุรกิจในไทย การรับมือความผันผวนราคาน้ำมัน สามารถทำได้ดังนี้:

  • ลดการใช้พลังงาน: ใช้พลังงานอย่างประหยัด เช่น วางแผนเดินทาง ใช้ขนส่งสาธารณะ
  • พิจารณาทางเลือกอื่น: หันไปใช้พลังงานทางเลือกหรือยานยนต์ไฟฟ้า หากเหมาะสม
  • การวางแผนทางการเงิน: จัดงบสำหรับค่าใช้จ่ายพลังงานที่อาจเพิ่ม
  • การปรับตัวของธุรกิจ: ปรับปรุงประสิทธิภาพใช้พลังงาน ลดต้นทุนขนส่ง หรือหาแหล่งพลังงานใหม่

อนาคตของ OPEC และอำนาจในการควบคุมราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไรในยุคพลังงานสะอาด?

ในยุคพลังงานสะอาดที่กำลังมาถึง อำนาจของ OPEC ในการควบคุมราคาน้ำมันอาจถูกท้าทายมากขึ้น ด้วยความต้องการน้ำมันที่ลดลงในระยะยาว บทบาทของกลุ่มอาจเปลี่ยนไป โดยเน้นรักษาสมดุลตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่าน ลดการพึ่งพาน้ำมัน และลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อคงความสำคัญในตลาดพลังงานโลกที่กำลังพลิกผัน

發佈留言