ATR คือ เครื่องมือสำคัญในการบริหารความผันผวนในตลาดหุ้นและการเทรดปี 2025

สรุปข่าวฟอเร็กซ์

ATR: กุญแจสู่การบริหารความผันผวนในตลาดหุ้นและความเป็นเลิศในการเทรด

ในโลกของการลงทุนที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นักลงทุนทุกคนต่างแสวงหาเครื่องมือที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดและลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด ในบรรดาเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคมากมาย หนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูงคือ ATR หรือ Average True Range อินดิเคเตอร์ตัวนี้ไม่ได้บอกเราว่าราคาจะขึ้นหรือลง แต่เป็นเหมือนเข็มทิศที่ช่วยวัดว่าตลาดนั้น “ผันผวน” มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่งสำหรับการวางแผนกลยุทธ์การเทรดและการบริหารจัดการความเสี่ยงของเรา

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกแง่มุมของ Average True Range ตั้งแต่พื้นฐานการทำงาน ที่มาของการคำนวณ ไปจนถึงกลยุทธ์การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์จริง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ที่ต้องการยกระดับความเข้าใจในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราเชื่อว่าคุณจะได้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ เพื่อนำไปปรับใช้กับการเทรดของคุณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มาร่วมกันถอดรหัสความลับของ ความผันผวน และใช้ ATR เป็นกุญแจสำคัญในการเดินทางสู่ความสำเร็จในตลาดกันเถอะ

ATR คืออะไร? ทำไมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุน

ก่อนที่เราจะดำดิ่งสู่รายละเอียดเชิงลึก ลองมาทำความเข้าใจแก่นแท้ของ ATR กันก่อน ATR ย่อมาจาก Average True Range ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า “ค่าเฉลี่ยของช่วงราคาที่แท้จริง” มันเป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ออกแบบมาเพื่อ วัดระดับความผันผวนของราคา ของสินทรัพย์ใด ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ATR ไม่ได้บอกทิศทางของราคา หรือว่าแนวโน้มจะขึ้นหรือลง ตรงกันข้าม มันบอกเราว่าการเคลื่อนไหวของราคาโดยเฉลี่ยในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น “รุนแรง” หรือ “นุ่มนวล” แค่ไหน เปรียบเสมือนมาตรวัดความเร็วของรถยนต์ ที่บอกเราว่ารถกำลังวิ่งเร็วหรือช้า แต่ไม่ได้บอกว่ากำลังมุ่งหน้าไปทิศทางไหน

แล้วทำไมอินดิเคเตอร์ที่ไม่ได้บอกทิศทางราคาถึงสำคัญนัก? คำตอบคือ ความผันผวน คือองค์ประกอบสำคัญในการประเมิน ความเสี่ยง และโอกาสในการทำกำไรในตลาด การที่เรารู้ว่าตลาดผันผวนมากน้อยแค่ไหน ช่วยให้เราสามารถ:

  • ประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ: หาก ค่า ATR สูง หมายความว่าตลาดมีความผันผวนมาก ราคาเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว โอกาสในการทำกำไรและขาดทุนก็สูงขึ้นตามไปด้วย ในทางกลับกัน หาก ค่า ATR ต่ำ ตลาดจะเคลื่อนไหวช้าหรือทรงตัว ความเสี่ยงก็จะต่ำลง

  • ตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit ได้อย่างเหมาะสม: เราจะสามารถกำหนดระยะห่างของจุด Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) และ Take Profit (จุดทำกำไร) ได้อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติของสินทรัพย์นั้น ๆ

  • ปรับขนาดตำแหน่ง (Position Sizing): การรู้ระดับ ความผันผวน ช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าจะเข้าเทรดด้วยปริมาณมากน้อยแค่ไหน เพื่อรักษาระดับ ความเสี่ยง โดยรวมให้คงที่

  • ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม: แม้ ATR จะไม่บอกทิศทาง แต่การเปลี่ยนแปลงของค่า ATR เช่น การพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หรือการเคลื่อนไหวที่สำคัญของราคา

นักลงทุนกำลังวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา

ดังนั้น ATR จึงเป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางที่ซื่อสัตย์ ที่จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของสนามรบได้อย่างชัดเจน และเตรียมพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ดียิ่งขึ้น

จากแนวคิดสู่การประยุกต์ใช้: ต้นกำเนิดของ ATR โดย J. Welles Wilder

อินดิเคเตอร์ทรงคุณค่าอย่าง ATR ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยบังเอิญ แต่เป็นผลงานการคิดค้นและพัฒนาของบุคคลสำคัญในวงการวิเคราะห์ทางเทคนิค นั่นคือ J. Welles Wilder Jr. ผู้ซึ่งเป็นตำนานในฐานะผู้พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงอิทธิพลหลายชนิด

J. Welles Wilder ได้เผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับ Average True Range ครั้งแรกในปี 1978 (พ.ศ. 2521) ในหนังสืออันโด่งดังของเขาชื่อ “New Concepts in Technical Trading Systems” สิ่งที่น่าสนใจคือ เดิมที ATR ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ใน ตลาดฟิวเจอร์ส เป็นหลัก ซึ่งเป็นตลาดที่มี ความผันผวน สูงมาก และมักจะเกิด Gap (ช่องว่างของราคา) ในการเปิดปิดตลาดบ่อยครั้ง การวัด ความผันผวน ด้วยวิธีปกติอาจไม่แม่นยำนักในสภาวะเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้ Wilder จึงได้คิดค้นแนวคิดของ “True Range” (TR) ขึ้นมา ซึ่งเป็นค่าที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของราคาที่ “แท้จริง” โดยคำนึงถึงทั้งราคาสูงสุดและต่ำสุดในวันนั้น รวมถึงราคาปิดของวันก่อนหน้า เพื่อครอบคลุมช่องว่างราคาที่อาจเกิดขึ้น การนำ True Range มาหาค่าเฉลี่ยในช่วงเวลาหนึ่ง จึงกลายเป็น Average True Range (ATR) ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

ความอัจฉริยะของ Wilder ไม่ได้หยุดอยู่แค่ ATR เท่านั้น เขายังเป็นผู้ให้กำเนิดอินดิเคเตอร์ยอดนิยมอื่น ๆ อีกมากมายที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ เช่น Relative Strength Index (RSI) ซึ่งใช้วัดโมเมนตัมของราคา, Parabolic SAR ซึ่งใช้วัดทิศทางและจุดกลับตัวของแนวโน้ม, และ Directional Movement Index (DMI) ซึ่งใช้วัดความแข็งแกร่งและทิศทางของแนวโน้ม

ด้วยมรดกทางความคิดที่ J. Welles Wilder ได้ทิ้งไว้ ทำให้เรามีเครื่องมืออันทรงพลังเหล่านี้ในการทำความเข้าใจตลาด และ ATR ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับการยอมรับและนำไปประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางในแพลตฟอร์มการซื้อขายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้น, Forex, หรือ CFD (Contract for Difference) หากคุณกำลังสนใจจะเริ่มต้นในตลาด Forex หรือสำรวจสินค้า CFD ที่หลากหลาย เราขอแนะนำ Moneta Markets ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจจากออสเตรเลีย ที่มีสินค้าให้เลือกมากกว่า 1,000 รายการ เหมาะสำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพ ที่สามารถใช้ ATR ร่วมกับกลยุทธ์การเทรดของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตลาดหุ้นที่ผันผวนกับกราฟ ATR

แกะรอยการคำนวณ: ทำความเข้าใจ “True Range” หัวใจของ ATR

เพื่อที่จะใช้งาน ATR ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เราควรจะมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการคำนวณของมัน ไม่จำเป็นต้องท่องจำสูตรทุกตัวอักษร แต่การรู้ที่มาจะช่วยให้เราตีความค่าที่ได้มาได้อย่างถูกต้องและมั่นใจ

หัวใจของการคำนวณ ATR คือการหาค่า “True Range” (TR) ก่อน ซึ่งเป็นค่าที่สะท้อนช่วงการเคลื่อนไหวของราคาที่กว้างที่สุดสำหรับแต่ละช่วงเวลา (โดยปกติคือแต่ละวัน) True Range จะถูกคำนวณจากค่าที่มากที่สุดของ 3 ค่าต่อไปนี้:

  1. ราคาสูงสุดของปัจจุบัน (Current High) – ราคาต่ำสุดของปัจจุบัน (Current Low): นี่คือช่วงราคาที่เคลื่อนไหวภายในวันนั้น หรือภายในแท่งเทียนนั้น ๆ

  2. ค่าสัมบูรณ์ของ (ราคาสูงสุดของปัจจุบัน (Current High) – ราคาปิดของวันก่อนหน้า (Previous Close)): ค่าสัมบูรณ์หมายถึง ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นบวกหรือลบ เราจะใช้ค่าที่เป็นบวกเสมอ ค่านี้ช่วยจับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากการเปิด Gap ข้ามคืน หากราคาวันนี้เปิดสูงกว่าราคาปิดเมื่อวานมาก

  3. ค่าสัมบูรณ์ของ (ราคาต่ำสุดของปัจจุบัน (Current Low) – ราคาปิดของวันก่อนหน้า (Previous Close)): เช่นเดียวกับข้อ 2 แต่จะจับการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากการเปิด Gap ลง หากราคาวันนี้เปิดต่ำกว่าราคาปิดเมื่อวานมาก

เมื่อเราได้ค่า True Range (TR) สำหรับแต่ละช่วงเวลาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำค่าเหล่านี้มาหาค่าเฉลี่ย เพื่อให้ได้ Average True Range (ATR) โดยสูตรที่นิยมใช้มากที่สุดคือ:

ATR = SMA (TR, n)

  • SMA ย่อมาจาก Simple Moving Average ซึ่งก็คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา

  • TR คือ ค่า True Range ที่เราคำนวณได้

  • n คือ จำนวนช่วงเวลา ที่เราต้องการนำมาหาค่าเฉลี่ย โดยค่า n ที่นิยมใช้กันทั่วไปคือ 14 ช่วงเวลา (เช่น 14 วัน หากคุณดูกราฟรายวัน หรือ 14 ชั่วโมง หากคุณดูกราฟรายชั่วโมง) การเลือกค่า n ที่ต่างกัน จะส่งผลต่อความไวในการตอบสนองของ ATR หาก n น้อย ATR จะตอบสนองไวต่อการเปลี่ยนแปลง แต่หาก n มาก ATR จะมีความนุ่มนวลและช้าลง

สิ่งสำคัญที่ควรทราบอีกประการหนึ่งคือ ค่า ATR จะไม่มีทางเป็นค่าติดลบ เนื่องจากมันวัดช่วงความผันผวน ไม่ใช่ทิศทาง ดังนั้นไม่ว่าราคาจะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง ATR ก็จะแสดงค่าเป็นบวกเสมอ

ยกตัวอย่างเช่น หากหุ้น Apple (AAPL) มีค่า ATR เท่ากับ 2.50 ดอลลาร์สหรัฐฯ นั่นหมายความว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้น Apple มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงประมาณ 2.50 ดอลลาร์ต่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นหรือลงก็ตาม การทำความเข้าใจการคำนวณเบื้องหลังเช่นนี้ ช่วยให้เรามั่นใจในการใช้งานและตีความข้อมูลจาก ATR ได้อย่างถูกต้อง

ประเภท รายละเอียด
ATR สูง บ่งบอกถึงความผันผวนสูงและโอกาสในการทำกำไร หรือขาดทุนสูง
ATR ต่ำ หมายถึงความผันผวนต่ำ ตลาดนิ่งหรือเคลื่อนไหวช้า

ตีความ ATR: เมื่อค่าสูงและค่าต่ำบอกอะไรเรา

เมื่อคุณเข้าใจการคำนวณของ ATR แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตีความค่าที่ได้มา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการนำ ATR ไปประยุกต์ใช้ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถแบ่งการตีความค่า ATR ออกเป็นสองลักษณะหลัก ๆ คือ เมื่อค่า ATR สูง และ เมื่อค่า ATR ต่ำ

เมื่อค่า ATR สูง: ตลาดกำลังคึกคัก!

หากคุณเห็นว่าเส้น ATR บนกราฟราคาสินทรัพย์ที่คุณกำลังติดตาม มีค่าที่สูงขึ้นและอาจกำลังพุ่งทะลุขึ้นไป นั่นบ่งบอกถึงสภาวะตลาดที่มี ความผันผวนสูง มาก ราคากำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและรุนแรงในแต่ละช่วงเวลา

  • ความเสี่ยงที่สูงขึ้น: แน่นอนว่าเมื่อราคาผันผวนมาก โอกาสในการทำกำไรก็มีสูง แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยง ที่จะขาดทุนก็สูงขึ้นด้วยเช่นกัน การที่ราคาผันผวนอย่างรุนแรงอาจทำให้ Stop Loss ของเราถูกกระแทกถึงได้ง่ายขึ้น

  • เหมาะสำหรับนักเทรดระยะสั้น (Scalping/Day Trading): สภาวะตลาดเช่นนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักเทรดที่เน้นทำกำไรในระยะสั้น (เช่น Scalping หรือ Day Trading) ที่ต้องการจับการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วเพื่อเข้าทำกำไรและออกอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การเทรดในสภาพแวดล้อมที่มี ความผันผวนสูง ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์อย่างมาก

  • การตั้ง Stop Loss ที่กว้างขึ้น: หากคุณยังต้องการเข้าเทรดในสภาวะนี้ คุณอาจต้องตั้งจุด Stop Loss ให้ห่างจากจุดเข้ามากขึ้น เพื่อให้ราคามีพื้นที่ในการ “หายใจ” และลดโอกาสที่จะถูก Stop Loss ออกไปก่อนที่ทิศทางจะชัดเจน

  • บ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่หรือ Breakout: ATR ที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของ แนวโน้ม ใหม่ที่แข็งแกร่ง หรือการ Breakout (การทะลุแนวต้านหรือแนวรับที่สำคัญ) ซึ่งมักมาพร้อมกับการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรง

เมื่อค่า ATR ต่ำ: ตลาดกำลังนิ่งสงบ

ในทางกลับกัน หากเส้น ATR มีค่าต่ำและอาจกำลังลดลง หรือเคลื่อนไหวในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง นั่นหมายความว่าตลาดมี ความผันผวนน้อย ราคาเคลื่อนไหวช้า หรืออาจอยู่ในช่วง ทรงตัว (Sideways)

  • ความเสี่ยงที่ลดลง: เมื่อตลาดผันผวนน้อย ความเสี่ยง ที่จะเกิดการขาดทุนรุนแรงก็ลดลงตามไปด้วย การเคลื่อนไหวของราคาจะเป็นไปอย่างช้า ๆ และคาดเดาได้ง่ายขึ้นในบางสถานการณ์

  • การตั้ง Stop Loss ที่แคบลง: ในสภาวะเช่นนี้ คุณสามารถตั้งจุด Stop Loss ให้ใกล้กับจุดเข้ามากขึ้นได้ เพื่อจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ตลาดพลิกผัน

  • เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง: ค่า ATR ต่ำ มักจะเป็นช่วงเวลาที่ตลาดกำลังสะสมพลัง (Consolidation) ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในอนาคต ดังนั้น แม้จะดูนิ่งสงบ แต่ก็เป็นสัญญาณให้เราเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่กำลังจะมาถึง

  • ไม่เหมาะกับนักเทรดโมเมนตัม: สำหรับนักเทรดที่เน้นจับโมเมนตัมหรือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว สภาวะ ATR ต่ำ อาจไม่เป็นที่พึงประสงค์นัก เนื่องจากโอกาสในการทำกำไรระยะสั้นมีจำกัด

ค่าที่ได้ ความหมาย
ATR สูง แสดงถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ตลาดมีโอกาสเกิดการเคลื่อนไหวรุนแรง
ATR ต่ำ หมายถึงตลาดที่นิ่งสงบ ไม่มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง

การทำความเข้าใจการตีความค่า ATR ทั้งสองแบบนี้ ช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับสภาวะตลาดที่แตกต่างกันได้อย่างยืดหยุ่น และวางแผนการเทรดได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าตลาดจะ “ร้อนแรง” หรือ “สงบนิ่ง” คุณก็จะมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ดีที่สุด

กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงด้วย ATR: ตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างชาญฉลาด

หนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญและทรงพลังที่สุดของ ATR คือการนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการ บริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit แทนที่จะตั้งจุดเหล่านี้ด้วยสายตาหรือค่าตายตัว การใช้ ATR ช่วยให้เรากำหนดระดับที่ “เหมาะสม” กับ ความผันผวน ของสินทรัพย์นั้น ๆ ในช่วงเวลานั้น

การตั้งจุด Stop Loss ด้วย ATR

การตั้ง Stop Loss คือการจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการเทรด หากคุณไม่ต้องการให้ขาดทุนมากเกินกว่าที่ยอมรับได้ ATR ช่วยให้คุณหาจุด Stop Loss ที่มีเหตุผลและสอดคล้องกับธรรมชาติของตลาดปัจจุบัน

แนวคิดคือการคูณ ค่า ATR ปัจจุบัน ด้วยปัจจัยที่เหมาะสม (มักจะเป็น 1.5, 2, หรือ 3 เท่า) และนำค่าที่ได้ไปลบออกจากราคาเข้าซื้อ (สำหรับการ Long Position) หรือบวกเข้ากับราคาเข้าซื้อ (สำหรับการ Short Position)

  • สำหรับ Long Position (ซื้อ): Stop Loss = ราคาเข้า – (ATR * X)

  • สำหรับ Short Position (ขายชอร์ต): Stop Loss = ราคาเข้า + (ATR * X)

การบูรณาการ ATR กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค

โดยที่ X คือ “ตัวคูณ ATR” ที่คุณเลือกใช้ ตัวคูณที่นิยมคือ 2 หรือ 3 โดยทั่วไป 2 ATR มักจะใช้สำหรับจุด Stop Loss มาตรฐานที่ให้พื้นที่เพียงพอสำหรับการเคลื่อนไหวของราคาปกติ หากตลาดมีความผันผวนสูงมาก อาจใช้ 3 ATR เพื่อป้องกันไม่ให้ถูก Stop Loss ง่ายเกินไป

ตัวอย่าง: สมมติว่าคุณต้องการซื้อหุ้น Ford (F) ที่ราคา $12.00 และ ATR ของ Ford ณ ขณะนั้นคือ $0.50

  • หากคุณเลือกใช้ 2 ATR สำหรับ Stop Loss: Stop Loss = $12.00 – (0.50 * 2) = $12.00 – $1.00 = $11.00

  • หากคุณเลือกใช้ 3 ATR สำหรับ Stop Loss: Stop Loss = $12.00 – (0.50 * 3) = $12.00 – $1.50 = $10.50

การใช้ ATR ในการตั้ง Stop Loss ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าจุด Stop Loss ของคุณนั้น “ปรับเปลี่ยนได้” ตามสภาพตลาด หากตลาดผันผวนมาก จุด Stop Loss ก็จะขยับออกไปโดยอัตโนมัติ ทำให้มีพื้นที่มากขึ้น ไม่ถูกเหวี่ยงออกง่าย ๆ แต่หากตลาดนิ่ง จุด Stop Loss ก็จะเข้ามาใกล้ขึ้น ทำให้ ความเสี่ยง ต่อการเทรดแต่ละครั้งถูกจำกัดในระดับที่เหมาะสม

นอกจากนี้ ATR ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับ Trailing Stop ได้อีกด้วย ซึ่งคือการเลื่อนจุด Stop Loss ตามกำไรที่เพิ่มขึ้น โดยใช้ระยะห่างตามค่า ATR วิธีนี้ช่วยให้คุณล็อกกำไรและจำกัดการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะใน แนวโน้ม ที่แข็งแกร่ง

การกำหนดเป้าหมายกำไร (Take Profit) ด้วย ATR

เช่นเดียวกับ Stop Loss เราสามารถใช้ ATR ในการกำหนดจุด Take Profit ได้เช่นกัน โดยทั่วไปแล้ว นักเทรดมักจะตั้งเป้าหมายกำไรให้เป็นสัดส่วนที่มากกว่า ความเสี่ยง ที่รับได้ หรือเป็นไปตามอัตราส่วน Risk-Reward Ratio ที่ต้องการ เช่น หากยอมรับความเสี่ยงได้ 1 เท่า ก็ควรตั้งเป้าหมายกำไรที่ 2 หรือ 3 เท่า

  • Take Profit = ราคาเข้า + (ATR * Y) (สำหรับ Long Position)

  • Take Profit = ราคาเข้า – (ATR * Y) (สำหรับ Short Position)

โดยที่ Y คือ “ตัวคูณ ATR” สำหรับ Take Profit ซึ่งมักจะมีค่ามากกว่า X (ตัวคูณ Stop Loss) เพื่อให้ได้อัตราส่วน Risk-Reward ที่น่าสนใจ เช่น หากใช้ 2 ATR สำหรับ Stop Loss คุณอาจตั้ง Take Profit ที่ 4 หรือ 6 ATR เพื่อให้ได้ Risk-Reward Ratio ที่ 1:2 หรือ 1:3

การใช้ ATR ในการกำหนดทั้ง Stop Loss และ Take Profit ทำให้กลยุทธ์การเทรดของคุณมีความสอดคล้องกันและปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดได้อย่างยืดหยุ่น นี่คือการ บริหารความเสี่ยง อย่างแท้จริงที่ช่วยให้คุณอยู่รอดและทำกำไรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

การปรับขนาดตำแหน่ง (Position Sizing): ใช้ ATR ลดความเสี่ยงในการเทรด

นอกจากการตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit แล้ว อีกหนึ่งการประยุกต์ใช้ ATR ที่ทรงพลังแต่กลับถูกมองข้ามบ่อยครั้งคือ การนำมาใช้ในการ “ปรับขนาดตำแหน่ง” (Position Sizing) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการ บริหารความเสี่ยง ที่นักลงทุนมืออาชีพใช้กัน การปรับขนาดตำแหน่งให้เหมาะสมกับ ความผันผวน ของตลาด ช่วยให้คุณสามารถควบคุม ความเสี่ยง ที่จะขาดทุนในแต่ละการเทรดให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เสมอ ไม่ว่าสินทรัพย์ที่คุณกำลังเทรดจะมีความผันผวนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

แนวคิดหลักคือ เมื่อตลาดผันผวนมาก คุณควรจะลดขนาดตำแหน่งของคุณลง เพื่อไม่ให้การเคลื่อนไหวเล็กน้อยทำให้คุณขาดทุนมากเกินไป ในทางกลับกัน เมื่อตลาดผันผวนน้อย คุณสามารถเพิ่มขนาดตำแหน่งได้ โดยที่ยังคงระดับ ความเสี่ยง ต่อการเทรดหนึ่งครั้งเท่าเดิม

สูตรที่นิยมใช้ในการคำนวณขนาดตำแหน่งด้วย ATR มีดังนี้:

จำนวนหน่วยที่เทรด = (เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ * เงินทุนในบัญชี) / (ATR * ตัวคูณ ATR สำหรับ Stop Loss)

  • เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: โดยทั่วไปไม่ควรเกิน 1-2% ของเงินทุนในบัญชีต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

  • เงินทุนในบัญชี: จำนวนเงินทุนทั้งหมดที่คุณมี

  • ATR: ค่า Average True Range ปัจจุบันของสินทรัพย์ที่คุณกำลังเทรด

  • ตัวคูณ ATR สำหรับ Stop Loss: เช่น 2 หรือ 3 เท่าของ ATR ซึ่งเป็นระยะห่างของ Stop Loss ที่คุณตั้งใจจะใช้

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • คุณมีเงินทุนในบัญชี $10,000

  • คุณยอมรับ ความเสี่ยง ได้ 1% ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง (เท่ากับ $100)

  • คุณต้องการเทรดหุ้น A ซึ่งมี ATR ปัจจุบันอยู่ที่ $1.00

  • คุณจะใช้ 2 ATR สำหรับตั้ง Stop Loss (ซึ่งหมายถึงระยะ Stop Loss คือ 2 * $1.00 = $2.00)

จากสูตรข้างต้น:

จำนวนหุ้นที่ควรซื้อ = ($100) / ($1.00 * 2) = $100 / $2.00 = 50 หุ้น

หากหุ้น A มี ความผันผวน สูงขึ้น และ ATR เพิ่มเป็น $2.00 คุณจะคำนวณใหม่:

จำนวนหุ้นที่ควรซื้อ = ($100) / ($2.00 * 2) = $100 / $4.00 = 25 หุ้น

จะเห็นได้ว่าเมื่อ ความผันผวน เพิ่มขึ้น คุณจะลดจำนวนหุ้นที่ซื้อลง เพื่อรักษา ความเสี่ยง ที่ $100 เท่าเดิม นี่คือสิ่งที่ทำให้การ บริหารความเสี่ยง ของคุณแข็งแกร่งและสอดคล้องกับสภาพตลาดจริง

การใช้ ATR ในการปรับขนาดตำแหน่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดที่ต้องการความยั่งยืน เพราะมันช่วยให้คุณไม่ต้องกังวลว่าการเทรดครั้งใดครั้งหนึ่งจะทำให้บัญชีของคุณเสียหายอย่างรุนแรง ไม่ว่าคุณจะเทรด ตลาดหุ้น, Forex, หรือ CFD การประยุกต์ใช้หลักการนี้จะยกระดับวินัยการเทรดของคุณขึ้นไปอีกขั้น

ATR กับการยืนยันแนวโน้มและสัญญาณกลับตัว: มองหาโอกาสในความเคลื่อนไหว

แม้ว่า ATR จะเป็นอินดิเคเตอร์ที่ไม่ได้บอกทิศทางราคาโดยตรง แต่การเปลี่ยนแปลงของค่า ATR นั้นสามารถให้สัญญาณที่มีคุณค่าเกี่ยวกับสถานะและศักยภาพของ แนวโน้ม ได้อย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ยังสามารถบ่งบอกถึงโอกาสที่ราคาจะเกิด จุดกลับตัว ได้อีกด้วย

ATR และการยืนยันแนวโน้ม

เมื่อตลาดเริ่มก่อตัวเป็น แนวโน้ม ที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น แนวโน้มขาขึ้น หรือ แนวโน้มขาลง การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและมีพลังมักจะมาพร้อมกับ ความผันผวน ที่สูงขึ้น ดังนั้น หากคุณเห็นว่า ATR เริ่มพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ราคากำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งอย่างชัดเจน นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม นั้น ๆ

  • การเริ่มต้นของแนวโน้ม: เมื่อ ราคา มีการเคลื่อนไหวแบบ Breakout (ทะลุแนวรับแนวต้านสำคัญ) มักจะมาพร้อมกับการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของ ATR นี่คือสัญญาณบ่งบอกว่า ความผันผวน กำลังกลับมา และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของ แนวโน้ม ใหม่ที่แข็งแกร่ง

  • แนวโน้มที่แข็งแกร่ง: ในช่วงที่ แนวโน้ม กำลังดำเนินไปอย่างรุนแรง ATR มักจะรักษาระดับสูงไว้ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อหรือผู้ขายยังคงมีพลังในการขับเคลื่อน ราคา อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะถือครองตำแหน่งต่อไปได้

  • แนวโน้มอ่อนแรง: หาก ATR เริ่มลดลงในขณะที่ ราคา ยังคงอยู่ใน แนวโน้ม นั่นอาจบ่งบอกถึงการสูญเสียโมเมนตัม ความผันผวน ลดลง และ แนวโน้ม นั้นอาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุดหรือเกิดการพักตัว

ATR และสัญญาณกลับตัว

ในบางสถานการณ์ ATR ที่มีค่าสูงมาก ๆ แล้วเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว อาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงโอกาสที่ราคาจะเกิด จุดกลับตัว (Reversal)

  • ความผันผวนสูงสุดก่อนกลับตัว: บ่อยครั้งที่ ตลาด มักจะเกิดการเคลื่อนไหวที่ ผันผวนสูงสุด และรุนแรงที่สุดในช่วงปลายของ แนวโน้ม (เช่น การขึ้นอย่างรวดเร็วแบบ Parabolic หรือการร่วงลงอย่างรุนแรงแบบ Capitulation) ในช่วงเวลานี้ ATR จะพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่

  • การลดลงของ ATR หลังความผันผวนสูงสุด: หลังจากที่ ราคา ได้เคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และ ATR ทำจุดสูงสุดแล้ว หาก ATR เริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ ราคา เริ่มแสดงพฤติกรรมทรงตัวหรือมีการเคลื่อนไหวแบบ Side-ways นั่นอาจเป็น สัญญาณ ว่า ความผันผวน กำลังลดลง และพลังในการขับเคลื่อนราคาเริ่มหมดไป ซึ่งอาจนำไปสู่การ กลับตัวของแนวโน้ม ได้

สิ่งสำคัญคือ เราไม่ควรพึ่งพา ATR เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจ แต่ควรใช้มันเป็น เครื่องมือเสริม ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ หรือการวิเคราะห์ Price Action เพื่อให้ได้ สัญญาณ ที่แม่นยำยิ่งขึ้น การจับตาดูความสัมพันธ์ระหว่าง ราคา และ ATR จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของ ตลาด และโอกาสในการเทรดได้อย่างชัดเจน

บูรณาการ ATR กับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ: เพิ่มพลังการวิเคราะห์ของคุณ

ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว ATR เป็นอินดิเคเตอร์ที่ทรงพลัง แต่จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อเรานำไปใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ การบูรณาการนี้ช่วยให้เราได้รับ สัญญาณ ที่ยืนยันซึ่งกันและกัน และลดโอกาสในการเกิด False Signal (สัญญาณหลอก) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

ATR กับ Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)

Moving Average (MA) หรือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัด แนวโน้ม ของ ราคา เมื่อนำมาใช้ร่วมกับ ATR จะช่วยให้เราเข้าใจสถานะของ ตลาด ได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

  • ยืนยัน Breakout: หาก ราคา ทะลุผ่าน Moving Average ที่สำคัญ พร้อมกับ ATR ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นเป็น สัญญาณ ที่แข็งแกร่งว่าการ Breakout นั้นมีพลังและมีโอกาสที่จะเป็น แนวโน้ม ใหม่ที่ยั่งยืน

  • การสิ้นสุดของแนวโน้ม: หาก ราคา เริ่มเคลื่อนไหวตัดผ่าน Moving Average ไปมา และ ATR เริ่มลดลง นั่นบ่งบอกว่า ความผันผวน น้อยลง และ แนวโน้ม กำลังอ่อนแอลงหรือเข้าสู่ช่วง ทรงตัว

ATR กับ RSI (Relative Strength Index)

RSI เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดโมเมนตัมและสภาวะ Overbought (ซื้อมากเกินไป) หรือ Oversold (ขายมากเกินไป) ของ ราคา

  • สัญญาณกลับตัวที่มีพลัง: หาก RSI แสดง สัญญาณ Oversold/Overbought พร้อมกับ Divergence (ราคาทำจุดต่ำ/สูงใหม่ แต่อินดิเคเตอร์ไม่ทำตาม) และในช่วงนั้น ATR เริ่มลดลงหลังจากพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุด นั่นอาจเป็น สัญญาณ ที่แข็งแกร่งว่าการ กลับตัว กำลังจะเกิดขึ้น

  • ระวังการแกว่งตัว: ในช่วงที่ ATR ต่ำ และ ราคา เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ RSI มักจะแกว่งตัวไปมาระหว่างโซน Overbought และ Oversold อย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็น สัญญาณ สำหรับนักเทรดระยะสั้นที่ต้องการทำกำไรจาก ความผันผวน เล็กน้อยในกรอบ

ATR ในระบบเทรดอัตโนมัติ

ด้วยความสามารถในการวัด ความผันผวน และช่วยในการ บริหารความเสี่ยง ทำให้ ATR เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้าง ระบบเทรดอัตโนมัติ (Automated Trading Systems) หรือ Expert Advisors (EAs)

  • การปรับขนาดตำแหน่งอัตโนมัติ: ระบบสามารถตั้งโปรแกรมให้คำนวณขนาดตำแหน่งตาม ค่า ATR ได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ ความเสี่ยง ต่อการเทรดแต่ละครั้งถูกควบคุมอย่างเข้มงวด

  • การตั้ง Stop Loss/Take Profit แบบไดนามิก: จุด Stop Loss และ Take Profit สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยอัตโนมัติตาม ความผันผวน ที่ ATR วัดได้ในแต่ละช่วงเวลา ทำให้ระบบมีความยืดหยุ่นและตอบสนองต่อสภาพ ตลาด ที่เปลี่ยนแปลงไป

  • กรองสัญญาณ: ระบบสามารถใช้ ATR เป็นตัวกรอง สัญญาณ เช่น ระบบจะเข้าเทรดก็ต่อเมื่อ ATR สูงกว่าระดับหนึ่ง (เพื่อจับ Breakout) หรือต่ำกว่าระดับหนึ่ง (เพื่อเลี่ยงตลาดที่ผันผวนเกินไป)

การผสมผสาน ATR กับเครื่องมืออื่น ๆ ช่วยให้คุณสร้างระบบการเทรดที่แข็งแกร่ง มีวินัย และสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพ ตลาด ที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แพลตฟอร์มการเทรดที่ทันสมัยอย่าง MT4 และ MT5 ก็มี อินดิเคเตอร์ ATR ให้ใช้งานได้ทันที รวมถึง Moneta Markets ที่รองรับแพลตฟอร์มเหล่านี้และมีเครื่องมือที่ครบครันสำหรับการเทรด Forex และ CFD ทำให้การประยุกต์ใช้ ATR เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

ข้อจำกัดและสิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อใช้ ATR

แม้ว่า ATR จะเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่าและมีประโยชน์มหาศาลในการ บริหารความเสี่ยง และทำความเข้าใจ ความผันผวน ของ ตลาด แต่ก็เหมือนกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ คือ ATR ไม่ได้สมบูรณ์แบบและมี ข้อจำกัด บางประการที่คุณควรตระหนักถึง เพื่อที่จะใช้งานได้อย่างรอบคอบและไม่นำไปสู่การตีความที่ผิดพลาด

  • ATR ไม่ได้บอกทิศทางราคาหรือความแข็งแกร่งของแนวโน้ม: นี่คือ ข้อจำกัด ที่สำคัญที่สุดของ ATR มันเป็นเพียงเครื่องมือวัด “ความเร็ว” ของการเคลื่อนไหว ไม่ใช่ “ทิศทาง” หรือ “โมเมนตัม” ที่แท้จริง ค่า ATR สูง อาจหมายถึง ราคา กำลังขึ้นแรง หรือกำลังลงแรงก็ได้ หรือแม้แต่กำลังแกว่งตัวในกรอบใหญ่ ๆ แต่รุนแรง ดังนั้น การใช้ ATR เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ คุณจำเป็นต้องใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์บอกทิศทาง เช่น Moving Average หรือการวิเคราะห์ Price Action

  • ไม่สามารถเปรียบเทียบค่า ATR ข้ามสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่างกันโดยตรงได้: ค่า ATR จะแสดงเป็นหน่วยของ ราคา ของสินทรัพย์นั้น ๆ เช่น หุ้น Apple (AAPL) ที่ราคา $180 อาจมี ATR $2.50 ในขณะที่หุ้น Ford (F) ที่ราคา $12 อาจมี ATR $0.50 การเปรียบเทียบตัวเลข 2.50 กับ 0.50 โดยตรงอาจทำให้เข้าใจผิดว่า Apple ผันผวนกว่า Ford ถึง 5 เท่า ในความเป็นจริงอาจไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป เพราะมูลค่าของหุ้นทั้งสองต่างกันมาก การจะเปรียบเทียบ ความผันผวน ข้ามสินทรัพย์อย่างแม่นยำ คุณอาจต้องพิจารณาค่า ATR เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคา หรือใช้เครื่องมืออื่นที่ปรับเทียบค่า ความผันผวน แล้ว

  • การตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาจะช้าลงเมื่อใช้ระยะเวลา (n) ที่ยาวขึ้น: หากคุณตั้งค่า n (จำนวนช่วงเวลาที่ใช้คำนวณค่าเฉลี่ย) ให้ยาวขึ้น เช่น 20 หรือ 50 ช่วงเวลา ATR ที่ได้จะมีความนุ่มนวลมากขึ้น แต่จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ความผันผวน ล่าสุดได้ช้าลง ซึ่งอาจไม่เหมาะกับนักเทรดระยะสั้นที่ต้องการ สัญญาณ ที่รวดเร็ว ในทางกลับกัน หากตั้งค่า n สั้นเกินไป ATR ก็อาจจะ “หวือหวา” และให้ สัญญาณ หลอกบ่อยเกินไป การหาสมดุลของค่า n ที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญและขึ้นอยู่กับกรอบเวลาและกลยุทธ์การเทรดของคุณ

  • อาจให้สัญญาณล่าช้าในการจับจุดสูงสุด/ต่ำสุดของความผันผวน: เนื่องจาก ATR เป็นอินดิเคเตอร์แบบ Lagging (ตามหลังราคา) ซึ่งคำนวณจากข้อมูลในอดีต มันอาจจะไม่ได้บอกคุณว่า ความผันผวน กำลังจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง “ก่อน” ที่จะเกิดขึ้น แต่จะบอกคุณหลังจากที่ ความผันผวน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในระดับหนึ่ง ดังนั้นการใช้งาน ATR จึงเหมาะสำหรับการยืนยันและจัดการ ความเสี่ยง มากกว่าการคาดการณ์ล่วงหน้า

การเข้าใจ ข้อจำกัด เหล่านี้ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรใช้ ATR แต่เป็นการช่วยให้เราใช้งานมันได้อย่างถูกที่ถูกเวลา และด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากอินดิเคเตอร์ตัวนี้ในการตัดสินใจเทรดของเรา

บทสรุป: ATR เครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการเดินทางสู่ความสำเร็จ

ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางสำรวจโลกของ Average True Range (ATR) ตั้งแต่คำจำกัดความ พื้นฐานการคำนวณโดย J. Welles Wilder ไปจนถึงกลยุทธ์การประยุกต์ใช้ในการ บริหารความเสี่ยง การตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit การปรับขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) รวมถึงการตีความ สัญญาณ ที่ ATR บอกเล่า และการบูรณาการกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น Moving Average และ RSI

สิ่งที่เราได้เรียนรู้ร่วมกันคือ ATR ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นกราฟบนหน้าจอ แต่มันคือเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกระดับ ด้วยความสามารถในการวัด ความผันผวน ของ ราคา ทำให้เราสามารถบริหารจัดการ ความเสี่ยง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กำหนดเป้าหมายกำไรและจำกัดการขาดทุนได้อย่างเหมาะสม และปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ตลาด ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ

แม้ว่า ATR จะมี ข้อจำกัด ตรงที่ไม่ได้บอกทิศทางราคาโดยตรง แต่เมื่อใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ หรือการวิเคราะห์ Price Action มันจะช่วยเสริมการตัดสินใจให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรดของคุณได้อย่างน่าอัศจรรย์

ในฐานะนักลงทุน เรามีหน้าที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวอยู่เสมอ การทำความเข้าใจและนำ ATR ไปใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ไม่ว่าคุณจะเทรด ตลาดหุ้น, Forex, หรือ CFD จะเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้คุณมีความได้เปรียบในการเทรด และช่วยให้คุณเติบโตเป็นนักลงทุนที่มีวินัยและมั่นคงได้ในระยะยาว ขอให้คุณนำความรู้เหล่านี้ไปฝึกฝนและประยุกต์ใช้ในการเทรดของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกการตัดสินใจของคุณมีข้อมูลรองรับ และนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับatr คือ

Q:ATR คืออะไร?

A:ATR ย่อมาจาก Average True Range คือ เครื่องมือที่ใช้วัดระดับความผันผวนของราคาในตลาด

Q:ทำไม ATR ถึงสำคัญสำหรับนักลงทุน?

A:ATR ช่วยในการประเมินความเสี่ยง ลดความเสี่ยงในการลงทุน และปรับขนาดการลงทุนให้เหมาะสมตามความผันผวน

Q:จะใช้ ATR ในการตั้ง Stop Loss อย่างไร?

A:เราสามารถตั้ง Stop Loss ตามค่า ATR โดยการคูณค่า ATR ด้วยตัวคูณที่เหมาะสม และนำไปปรับค่ากับราคาที่เข้าซื้อขาย

發佈留言