กลยุทธ์ Covered Call: การลงทุนที่สร้างรายได้ในปี 2025

สรุปข่าวฟอเร็กซ์

กองทุน Covered Call ETF: ทางเลือกสู่การสร้างรายได้ในโลกการลงทุนที่ผันผวน

ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและไม่แน่นอน กองทุน Exchange-Traded Fund (ETF) ประเภทหนึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นคือกองทุน Covered Call ETF ซึ่งนำเสนอทางเลือกที่น่าสนใจในการสร้างกระแส รายได้ ที่สม่ำเสมอให้กับ นักลงทุน ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม กลยุทธ์นี้เป็นเหมือนการผสมผสานระหว่างการถือครองสินทรัพย์และการใช้ ออปชัน เพื่อเพิ่มผลตอบแทน แต่เช่นเดียวกับการลงทุนทุกประเภท กองทุน Covered Call ETF มาพร้อมกับข้อดีและข้อจำกัดที่ นักลงทุน ทุกคนจำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ก่อนตัดสินใจนำไปเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนของคุณ

บทความนี้จะนำคุณไปเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ กลยุทธ์ Covered Call ทำความเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะช่วยแนะนำ เกณฑ์การเลือก และ ตัวอย่างกองทุน ที่ได้รับความนิยม เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างชาญฉลาดและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงินของคุณ

นักลงทุนกำลังวิเคราะห์ Covered Call ETFs ในตลาดที่ผันผวน

หัวใจสำคัญของ กองทุน Covered Call ETF คือ กลยุทธ์ Covered Call ซึ่งในวงการการเงินมักเรียกกันว่า “Buy-Write” ลองจินตนาการว่าคุณเป็นเจ้าของบ้านและคุณต้องการสร้าง รายได้ เพิ่มเติมจากบ้านหลังนั้น แต่คุณก็ยังอยากจะอยู่อาศัยในบ้านของคุณต่อไป การทำ Covered Call ก็คล้ายกับการที่คุณให้เช่าบ้านในระยะเวลาสั้นๆ พร้อมกับข้อตกลงว่า หากมีคนอยากซื้อบ้านของคุณในราคาที่กำหนดภายในระยะเวลาเช่านั้น คุณก็พร้อมที่จะขายให้

ในบริบทของตลาดหุ้น กลยุทธ์ Covered Call หมายถึงการที่คุณ ถือหุ้น จำนวน 100 หุ้น (หรือทวีคูณของ 100) และในขณะเดียวกันก็ ขายออปชัน Call สำหรับหุ้นเดียวกันนั้น โดยการขาย ออปชัน Call คุณจะได้รับเงินก้อนหนึ่งทันที ซึ่งเราเรียกว่า เบี้ยประกันภัย (Premium) นี่คือ รายได้ ที่คุณได้รับล่วงหน้าจากการให้สิทธิแก่ผู้ซื้อ ออปชัน ในการซื้อหุ้นของคุณตาม ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่กำหนด ภายใน วันหมดอายุ (Expiry Date) ที่ตกลงกันไว้

ลองพิจารณากลไกง่ายๆ ดังนี้:

  • คุณซื้อหุ้น A จำนวน 100 หุ้นที่ราคา 50 บาท
  • คุณขาย ออปชัน Call ของหุ้น A ที่ ราคาใช้สิทธิ 55 บาท และ วันหมดอายุ ในอีก 1 เดือนข้างหน้า คุณได้รับ เบี้ยประกันภัย 2 บาทต่อหุ้น (รวม 200 บาท)

ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้:

  • หากราคาหุ้น A สูงกว่า 55 บาท ณ วันหมดอายุ: ผู้ซื้อ ออปชัน จะใช้สิทธิซื้อหุ้นของคุณที่ 55 บาท คุณจะได้กำไรจากหุ้น (55 – 50 = 5 บาท) และได้ เบี้ยประกันภัย 2 บาท รวมเป็น 7 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตาม คุณจะไม่ได้กำไรส่วนเกินจากราคาหุ้นที่สูงกว่า 55 บาท

  • หากราคาหุ้น A ต่ำกว่า 55 บาท ณ วันหมดอายุ: ผู้ซื้อ ออปชัน จะไม่ใช้สิทธิ คุณยังคงเป็นเจ้าของหุ้น และได้รับ เบี้ยประกันภัย 2 บาทเต็มจำนวน ซึ่งจะช่วยชดเชยการลดลงของราคาหุ้นได้บางส่วน

นี่คือหลักการพื้นฐานที่กองทุน Covered Call ETF ใช้เพื่อสร้าง รายได้ อย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อเบี้ยประกันภัย คำอธิบาย
Moneyness ความสัมพันธ์ระหว่างราคาใช้สิทธิของออปชันกับราคาปัจจุบันของสินทรัพย์
Time to Expiry ระยะเวลาคงเหลือของออปชัน
Underlying Asset Volatility ความผันผวนของสินทรัพย์อ้างอิง

สิ่งหนึ่งที่ทำให้ กลยุทธ์ Covered Call มีเสน่ห์คือการได้รับ เบี้ยประกันภัย ล่วงหน้า ซึ่งเป็นแหล่ง รายได้ ที่สำคัญสำหรับ นักลงทุน แต่คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า เบี้ยประกันภัย นี้ถูกกำหนดจากอะไร? มันไม่ได้ถูกตั้งขึ้นมาลอยๆ แต่มีปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลต่อมูลค่าของมัน เปรียบเสมือนค่าเช่าบ้านที่ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ขนาด และความต้องการของตลาด

กองทุน Covered Call ETF จะพยายามใช้ประโยชน์จากปัจจัยเหล่านี้เพื่อสร้าง รายได้ สูงสุดให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะตลาดที่มี ความผันผวน สูง หรือเมื่อกองทุนต้องการเพิ่ม รายได้ จาก เบี้ยประกันภัย

กลไกของกลยุทธ์ Covered Call แสดงออปชันและผลกำไร

ข้อดีของการลงทุนใน Covered Call ETF: เสถียรภาพและกระแสเงินสด

เมื่อเราเข้าใจกลไกพื้นฐานแล้ว ลองมาดูว่า กองทุน Covered Call ETF มีข้อดีอะไรบ้างที่ดึงดูด นักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่มองหา รายได้ ที่สม่ำเสมอในพอร์ตการลงทุนของคุณ

  • สร้างกระแสรายได้ที่สูงและสม่ำเสมอ: นี่คือจุดเด่นที่สุดของ Covered Call ETF กองทุนเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อจ่ายเงินปันผลหรือเงินคืนให้กับ นักลงทุน อย่างสม่ำเสมอ มักจะเป็นรายเดือน รายได้ นี้มาจาก เบี้ยประกันภัย ที่ได้รับจากการขาย ออปชัน Call ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดเพื่อใช้จ่ายหรือเพื่อลงทุนต่อ (reinvest) ลองนึกถึงการได้รับค่าเช่าบ้านทุกเดือน เพื่อนำไปใช้จ่ายหรือซื้อบ้านเพิ่ม

  • เป็นหมอนรองรับในตลาดหมีหรือตลาดไซด์เวย์: ในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอน หรืออยู่ในช่วง ตลาดหมี (ราคาหุ้นโดยรวมลดลง) หรือ ตลาดไซด์เวย์ (ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ) เบี้ยประกันภัย ที่ได้รับจาก กลยุทธ์ Covered Call จะช่วยชดเชยการลดลงของ สินทรัพย์อ้างอิง ได้บางส่วน ทำให้พอร์ตของคุณมี ผลตอบแทน ที่ดีกว่าการถือหุ้นเฉยๆ และลด ความผันผวน ได้ในระดับหนึ่ง หากราคาหุ้นลดลง คุณก็ยังมี เบี้ยประกันภัย มาช่วยลดผลขาดทุน

  • ลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม: ด้วยการสร้าง รายได้ จาก เบี้ยประกันภัย และการป้องกันในตลาดขาลงบางส่วน Covered Call ETF สามารถช่วยลด ความผันผวน ของพอร์ตการลงทุนโดยรวมของคุณได้ ทำให้คุณรู้สึกสบายใจมากขึ้นในช่วงที่ตลาดไม่สงบ

  • การกระจายความเสี่ยง (Diversification): แม้ว่า กลยุทธ์ จะเน้นการสร้าง รายได้ แต่ Covered Call ETF ก็ยังคงลงทุนใน สินทรัพย์อ้างอิง ที่หลากหลาย (เช่น ดัชนี S&P 500 หรือ Nasdaq-100) ซึ่งช่วยให้คุณมีการ กระจายความเสี่ยง ในระดับหนึ่ง แทนที่จะลงทุนในหุ้นรายตัวเพียงอย่างเดียว

ข้อดีของ Covered Call ETF รายละเอียด
สร้างกระแสรายได้ที่สูงและสม่ำเสมอ จ่ายเงินปันผลหรือเงินคืนให้กับนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
เป็นหมอนรองรับในตลาดหมี ช่วยชดเชยการลดลงของสินทรัพย์อ้างอิงได้บางส่วน
ลดความผันผวนของพอร์ต ลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนโดยรวม

ข้อดีเหล่านี้ทำให้ Covered Call ETF กลายเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับ นักลงทุน ที่มีเป้าหมายในการสร้าง รายได้ ประจำ และต้องการลดความกังวลจากความผันผวนของตลาด

ข้อจำกัดและความเสี่ยงที่ต้องพิจารณา: เมื่อผลตอบแทนมีขีดจำกัด

แน่นอนว่าทุกการลงทุนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย กองทุน Covered Call ETF ก็เช่นกัน แม้จะมอบ รายได้ ที่น่าสนใจ แต่ก็มีข้อจำกัดและความเสี่ยงที่คุณควรทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและไม่ผิดหวังกับ ผลตอบแทน ที่คาดหวัง

  • จำกัดผลตอบแทนขาขึ้น (Capped Upside): นี่คือข้อเสียที่สำคัญที่สุดของ กลยุทธ์ Covered Call เมื่อตลาดเป็น ตลาดกระทิง ที่แข็งแกร่งและราคา สินทรัพย์อ้างอิง ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง กองทุน Covered Call ETF จะไม่ได้รับ ผลตอบแทน เต็มที่จากการขึ้นของราคาหุ้นส่วนนั้น กล่าวคือ ผลตอบแทน ของคุณจะถูกจำกัดอยู่ที่ ราคาใช้สิทธิ ของ ออปชัน บวกกับ เบี้ยประกันภัย ที่ได้รับ

  • ผลกระทบทางภาษีที่ซับซ้อน: การจ่ายผลตอบแทน จาก Covered Call ETF อาจมี ผลกระทบทางภาษี ที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับโครงสร้างของกองทุนและกฎหมายภาษีในแต่ละประเทศ บางกองทุนอาจถูกเก็บภาษีในอัตรา รายได้ ปกติ ในขณะที่บางกองทุนอาจมีข้อได้เปรียบทางภาษี ความซับซ้อนนี้ทำให้ นักลงทุน ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุน

  • ความเสี่ยงจากการลดลงของสินทรัพย์อ้างอิง: แม้ว่า เบี้ยประกันภัย จะช่วยเป็นหมอนรองรับได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Covered Call ETF จะไม่มีความเสี่ยงจากการขาดทุน หาก สินทรัพย์อ้างอิง ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและเกินกว่ามูลค่าของ เบี้ยประกันภัย ที่ได้รับ นักลงทุน ก็ยังคงขาดทุนได้อยู่ดี

  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fees): กองทุนเหล่านี้มีการจัดการที่ซับซ้อนกว่า ETF ทั่วไป ทำให้มี ค่าธรรมเนียมการจัดการ ที่สูงกว่า ซึ่งอาจส่งผลต่อ ผลตอบแทน สุทธิที่คุณได้รับ

ข้อจำกัดของ Covered Call ETF รายละเอียด
จำกัดผลตอบแทนขาขึ้น ผลตอบแทนจะถูกจำกัดอยู่ที่ราคาใช้สิทธิของออปชัน
ผลกระทบทางภาษีที่ซับซ้อน การจ่ายผลตอบแทนอาจถูกเก็บภาษีแตกต่างกันไป
ความเสี่ยงจากการลดลงของสินทรัพย์ ยังคงมีความเสี่ยงจากการขาดทุนหากราคาลดลง

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจลงทุนใน Covered Call ETF คุณควรชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียเหล่านี้ และพิจารณาว่า กลยุทธ์ นี้สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุน ความสามารถในการรับ ความเสี่ยง และสถานการณ์ภาษีของคุณหรือไม่

ไขความหลากหลายของกลยุทธ์ Covered Call ETF: เลือกให้เหมาะกับสไตล์คุณ

Covered Call ETF ไม่ได้มีเพียงประเภทเดียวที่ใช้ กลยุทธ์ เดียวกันทั้งหมด แต่มีความหลากหลายในการดำเนินงานที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ นักลงทุน สามารถเลือกให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ผลตอบแทน ที่ต้องการ และระดับ ความเสี่ยง ที่ยอมรับได้ เปรียบเสมือนคุณมีรถหลายประเภทให้เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง รถกระบะ หรือรถสปอร์ต แต่ละคันก็มีจุดเด่นและวัตถุประสงค์การใช้งานที่แตกต่างกัน

ความหลากหลายของ กลยุทธ์ ที่ Covered Call ETF ใช้มีดังนี้:

  • ชนิดของสินทรัพย์อ้างอิง:

    • ดัชนีหลัก: กองทุนส่วนใหญ่จะอ้างอิงกับดัชนีตลาดขนาดใหญ่ เช่น S&P 500 (เช่น SPYI, JEPI) หรือ Nasdaq-100 (เช่น QQQI, JEPQ) การอ้างอิงดัชนีทำให้กองทุนมีการ กระจายความเสี่ยง สูงและมีความผันผวนต่ำกว่าหุ้นรายตัว
    • หุ้นเดี่ยว: บางกองทุน เช่น กลุ่ม YieldMax (TSLY, MSTY, IGME) จะเน้นหุ้นเดี่ยวที่มี ความผันผวน สูงและมีฐานผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น Tesla, MicroStrategy หรือ GameStop ซึ่งสามารถสร้าง เบี้ยประกันภัย ที่สูงมาก แต่ก็มาพร้อมกับ ความเสี่ยง ที่สูงขึ้นจากการกระจุกตัวของหุ้น
  • ระยะเวลาของออปชัน (Time to Expiry):

    • รายเดือน: เป็นที่นิยมที่สุด กองทุนจะขาย ออปชัน ที่หมดอายุรายเดือน เพื่อสร้าง รายได้ ที่สม่ำเสมอ
    • 0DTE (Zero Days to Expiry): บางกองทุนอาจใช้ ออปชัน ที่มี วันหมดอายุ สั้นมาก (หมดอายุภายในวันเดียว) ซึ่งมี ความผันผวน ของ เบี้ยประกันภัย สูงมาก และต้องมีการจัดการที่ว่องไว แต่ก็สามารถสร้าง รายได้ ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
  • สัดส่วนการครอบคลุมของพอร์ต (Coverage Ratios):

    • 100% Covered: กองทุนส่วนใหญ่จะทำ Covered Call ครอบคลุมหุ้นทั้งหมดที่ถือครอง (100%) เพื่อให้ได้ เบี้ยประกันภัย สูงสุด
    • บางส่วน (Partial Coverage): บางกองทุนอาจเลือกทำ Covered Call เพียงบางส่วนของพอร์ต เพื่อรักษาส่วนหนึ่งของ ผลตอบแทนขาขึ้น ของหุ้นไว้
  • การเลือกราคาใช้สิทธิ (Strike Price Selection):

    • At-the-money (ATM): เลือก ราคาใช้สิทธิ ที่ใกล้เคียงกับ ราคาปัจจุบัน มากที่สุด จะได้รับ เบี้ยประกันภัย สูงสุด แต่ก็จะจำกัด ผลตอบแทนขาขึ้น อย่างมาก
    • Out-of-the-money (OTM): เลือก ราคาใช้สิทธิ ที่สูงกว่า ราคาปัจจุบัน จะได้รับ เบี้ยประกันภัย น้อยลง แต่ก็มีโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้นเกิน ราคาใช้สิทธิ น้อยลง ทำให้คุณยังคงได้รับ ผลตอบแทน จากการขึ้นของหุ้นได้บางส่วน

ความเข้าใจในความแตกต่างของ กลยุทธ์ เหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือก Covered Call ETF ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด และไม่แปลกใจกับ ผลตอบแทน หรือ ความเสี่ยง ที่เกิดขึ้น

ประสิทธิภาพทางภาษีใน Covered Call ETF: ข้อได้เปรียบที่มองข้ามไม่ได้ (มาตรา 1256 vs. ELNs)

เรื่องภาษีเป็นปัจจัยสำคัญที่ นักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต่างประเทศ ควรให้ความสนใจเมื่อพิจารณา กองทุน Covered Call ETF เพราะโครงสร้างของกองทุนสามารถส่ง ผลกระทบทางภาษี ต่อ รายได้ ที่คุณได้รับได้อย่างมีนัยสำคัญ เปรียบเสมือนการเลือกประเภทของธุรกิจ ที่บางประเภทอาจได้รับการลดหย่อนภาษีพิเศษ ซึ่งจะช่วยเพิ่ม ผลตอบแทน สุทธิของคุณ

โดยทั่วไป กองทุน Covered Call ETF สามารถใช้โครงสร้างได้หลายแบบ ซึ่งส่งผลต่อการจัดประเภทภาษีของ การจ่ายผลตอบแทน:

  • Equity-Linked Notes (ELNs): กองทุนบางประเภท เช่น JEPI และ JEPQ จาก JPMorgan ใช้สัญญาประเภท Equity-Linked Notes (ELNs) เพื่อดำเนิน กลยุทธ์ Covered Call ELNs เป็นตราสารหนี้ที่มี ผลตอบแทน อ้างอิงกับผลการดำเนินงานของสินทรัพย์อ้างอิง การจ่ายเงินจาก ELNs มักจะถูกจัดประเภทเป็น รายได้ปกติ (Ordinary Income) สำหรับวัตถุประสงค์ทางภาษี ซึ่งหมายความว่าคุณจะต้องเสียภาษีในอัตรา รายได้ ส่วนบุคคล ซึ่งอาจเป็นอัตราที่สูงกว่าภาษีกำไรจากทุนระยะยาว

  • สัญญาออปชันที่จัดประเภทตามมาตรา 1256 (Section 1256 Contracts): นี่คือข้อได้เปรียบทางภาษีที่สำคัญ กองทุน บางประเภท เช่น SPYI (จาก NEOS) และ QQQI (จาก Amplify) เลือกใช้ สัญญาออปชัน ที่จัดประเภทตาม มาตรา 1256 ของประมวลรัษฎากรของสหรัฐอเมริกา สัญญาเหล่านี้รวมถึง ออปชัน ดัชนีในวงกว้าง (Broad-based Index Options) เช่น ออปชัน S&P 500 (SPX) หรือ ออปชัน Nasdaq-100 (NDX)

    ข้อดีของ มาตรา 1256 คือ ผลตอบแทน จากสัญญาเหล่านี้จะถูกจัดประเภทเป็น:

    • 60% เป็นกำไร/ขาดทุนระยะยาว (Long-Term Capital Gain/Loss)
    • 40% เป็นกำไร/ขาดทุนระยะสั้น (Short-Term Capital Gain/Loss)

    แม้ว่าคุณจะถือ สัญญา เพียงระยะสั้นก็ตาม ซึ่งหมายความว่า ผลตอบแทน ส่วนใหญ่จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า รายได้ปกติ นอกจากนี้ กองทุน ที่ใช้ มาตรา 1256 ยังสามารถใช้ การเก็บเกี่ยวขาดทุนเพื่อลดหย่อนภาษี (Tax-loss Harvesting) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และมักจะมีการจ่ายเงินในรูปแบบของ ผลตอบแทนจากเงินต้น (Return of Capital – RoC) ซึ่ง RoC จะไม่ถูกเก็บภาษีในปีที่ได้รับ แต่จะไปลด ฐานต้นทุน (Cost Basis) ของการลงทุนของคุณ ทำให้ภาษีถูกเลื่อนไปเก็บเมื่อคุณขายหน่วยลงทุนเท่านั้น

ดังนั้น การเลือก กองทุน Covered Call ETF ที่ใช้ มาตรา 1256 สามารถมอบ ประสิทธิภาพทางภาษี ที่ดีกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาสำหรับ นักลงทุน ที่ให้ความสำคัญกับ ผลตอบแทน สุทธิหลังหักภาษี

โครงสร้างของกองทุน รายละเอียด
Equity-Linked Notes (ELNs) จัดประเภทเป็นรายได้ปกติและเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า
มาตรา 1256 ผลตอบแทนส่วนใหญ่จะถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า

เกณฑ์การเลือก Covered Call ETF ที่ดี: ปัจจัยสำคัญสำหรับนักลงทุน

ในตลาดที่มี กองทุน Covered Call ETF ให้เลือกมากมาย การเลือกกองทุนที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เรามี เกณฑ์การพิจารณา ที่สำคัญที่ควรนำมาใช้ในการคัดเลือก เปรียบเสมือนคุณกำลังเลือกคู่มือการเดินทาง ซึ่งคุณต้องพิจารณาว่าคู่มือเล่มไหนจะนำคุณไปสู่จุดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด

  • หลีกเลี่ยงโครงสร้างสังเคราะห์ (Synthetic Structure) ที่ซับซ้อน: กองทุน Covered Call ETF บางแห่งอาจใช้ กลยุทธ์ Synthetic Buy-Write ซึ่งหมายถึงการที่กองทุนไม่ได้ถือหุ้นจริง แต่ใช้การรวมกันของ ออปชัน และสัญญาฟิวเจอร์สเพื่อจำลองผลตอบแทน การทำเช่นนี้อาจมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป นักลงทุน โดยเฉพาะมือใหม่ ควรเน้น กองทุน ที่ถือ สินทรัพย์อ้างอิง จริงๆ และขาย ออปชัน ครอบคลุม เพื่อความโปร่งใสและเข้าใจง่าย

  • เน้นการกระจายความเสี่ยง: แม้ว่า Covered Call ETF จะช่วยลด ความผันผวน ได้ในระดับหนึ่ง แต่การเลือก กองทุน ที่ลงทุนในดัชนีขนาดใหญ่ เช่น S&P 500 หรือ Nasdaq-100 จะช่วยให้คุณมีการ กระจายความเสี่ยง ที่ดีกว่าการลงทุนใน กองทุน ที่เน้นหุ้นเดี่ยว ซึ่งมีความผันผวนและ ความเสี่ยง เฉพาะตัวสูงกว่า

  • ประสิทธิภาพทางภาษี: ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว การพิจารณาว่า กองทุน ใช้ สัญญาออปชัน ที่จัดประเภทตาม มาตรา 1256 หรือใช้ ELNs เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง กองทุน ที่ใช้ มาตรา 1256 มักจะมอบ ผลตอบแทน สุทธิหลังหักภาษีที่ดีกว่า เนื่องจากการจัดประเภทภาษีที่ได้เปรียบ

  • ค่าธรรมเนียมต่ำ: ค่าธรรมเนียมการจัดการ เป็นสิ่งที่คุณต้องจ่ายไม่ว่า กองทุน จะทำกำไรได้หรือไม่ กองทุน Covered Call ETF มักมี ค่าธรรมเนียม สูงกว่า ETF ทั่วไป ควรเลือก กองทุน ที่มี ค่าธรรมเนียม ไม่เกิน 0.7% หรือพิจารณาจาก ผลตอบแทนสุทธิ ที่คุณได้รับหลังจากหัก ค่าธรรมเนียม แล้ว

  • มีชื่อเสียงและขนาดใหญ่: เลือก กองทุน ที่มีชื่อเสียง จัดการโดยบริษัทจัดการ กองทุน ที่น่าเชื่อถือ และมี สินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (Assets Under Management – AUM) อย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขนาดของ กองทุน ที่ใหญ่บ่งบอกถึงสภาพคล่องที่ดีและความน่าเชื่อถือในตลาด

  • ผลตอบแทนที่ปรับความเสี่ยงแล้ว (Risk-Adjusted Return): อย่าดูแค่ อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ที่สูงเพียงอย่างเดียว แต่ควรมองหา กองทุน ที่มี ผลตอบแทนรวม (Total Return) ที่ดีเมื่อเทียบกับระดับ ความเสี่ยง ที่รับ เช่น การเปรียบเทียบกับดัชนีอ้างอิง

การใช้ เกณฑ์ เหล่านี้จะช่วยให้คุณคัดกรอง กองทุน Covered Call ETF ที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้น

แผนภาพแสดงข้อดีของ Covered Call ETFs มีการสร้างกระแสเงินสดและเสถียรภาพ

ตัวอย่างกองทุน Covered Call ETF ยอดนิยม: สำรวจทางเลือกในตลาด

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น เราจะมาสำรวจ ตัวอย่างกองทุน Covered Call ETF ยอดนิยมบางส่วนในตลาด ซึ่งแต่ละกองทุนก็มี กลยุทธ์ และลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป การทำความเข้าใจ กองทุน เหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นถึงความหลากหลายและตัดสินใจได้ว่า กองทุน ใดที่น่าสนใจสำหรับคุณ

  • JEPI (JPMorgan Equity Premium Income ETF): เป็นหนึ่งใน กองทุน Covered Call ETF ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุด บริหารโดย JPMorgan JEPI เน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ที่มี ความผันผวน ต่ำ และสร้าง รายได้ ด้วยการขาย ออปชัน S&P 500 Call Options ผ่าน Equity-Linked Notes (ELNs) การใช้ ELNs ทำให้ การจ่ายผลตอบแทน ของ JEPI มักถูกจัดประเภทเป็น รายได้ปกติ หรือ ผลตอบแทนจากเงินต้น (Return of Capital – RoC) ซึ่ง RoC จะไม่ถูกเก็บภาษีในปีที่ได้รับ (แต่ลดฐานต้นทุน) JEPI เหมาะสำหรับ นักลงทุน ที่ต้องการ รายได้ ที่สม่ำเสมอพร้อมกับ ความผันผวน ที่ค่อนข้างต่ำ

  • JEPQ (JPMorgan Nasdaq Equity Premium Income ETF): เป็นคู่แข่งของ JEPI ที่เน้น สินทรัพย์อ้างอิง ที่แตกต่างออกไป JEPQ ลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี Nasdaq-100 ซึ่งรวมถึงหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และกลุ่ม “Magnificent Seven” (Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Meta, Tesla) JEPQ ใช้ กลยุทธ์ คล้ายกับ JEPI คือการขาย ออปชัน Nasdaq-100 Call Options ผ่าน ELNs เนื่องจากหุ้นใน Nasdaq-100 มี ความผันผวน สูงกว่า S&P 500 ทำให้ JEPQ มักจะมี อัตราผลตอบแทนเงินปันผล ที่สูงกว่า JEPI แต่ก็มาพร้อมกับ ความผันผวน ที่สูงกว่าเช่นกัน

  • SPYI (NEOS S&P 500 High Income ETF): เป็น กองทุน ที่ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมี ประสิทธิภาพทางภาษี ที่ดีกว่า SPYI ถือหุ้นที่อยู่ในดัชนี S&P 500 เกือบทั้งหมด และขาย ออปชัน S&P 500 Index Options (SPX) ซึ่งจัดประเภทตาม มาตรา 1256 ข้อได้เปรียบที่สำคัญของ SPYI คือ ผลตอบแทน ที่ได้รับส่วนใหญ่จะถูกจัดเป็นกำไรระยะยาว ทำให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า และสามารถทำ Tax-loss Harvesting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • QQQI (Amplify CWP Enhanced Nasdaq-100 Covered Call ETF): คล้ายกับ SPYI แต่เน้นดัชนี Nasdaq-100 QQQI ถือหุ้นใน Nasdaq-100 และขาย ออปชัน Nasdaq-100 Index Options (NDX) ซึ่งก็จัดประเภทตาม มาตรา 1256 เช่นกัน ด้วย ความผันผวน ที่สูงของหุ้นใน Nasdaq-100 QQQI มักจะให้ อัตราผลตอบแทนเงินปันผล ที่สูงกว่า SPYI พร้อมกับข้อได้เปรียบทางภาษีเดียวกัน

  • DIVO (Amplify CWP Enhanced Dividend Income ETF): เป็น กองทุน Covered Call ETF ที่มีการจัดการเชิงรุก (Actively Managed) โดยผู้จัดการ กองทุน จะคัดเลือกหุ้น Blue Chip คุณภาพดี 20-25 ตัว และทำการขาย ออปชัน Call เป็นรายตัว DIVO มี อัตราผลตอบแทนเงินปันผล ที่ต่ำกว่า JEPI หรือ JEPQ แต่มีเป้าหมายที่ ผลตอบแทนรวม (Total Return) ที่สูงกว่า โดยการจัดการ Coverage Ratios, Strike Prices และ Expiry Dates อย่างรอบคอบ เหมาะสำหรับ นักลงทุน ที่ต้องการ รายได้ พร้อมกับโอกาสในการเติบโตของเงินทุนในระยะยาว

เหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ กองทุน Covered Call ETF ที่มีอยู่ในตลาด การศึกษาข้อมูลเชิงลึกของแต่ละ กองทุน จะช่วยให้คุณพบกับทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

ข้อควรระวังสำหรับกองทุนที่เน้นหุ้นเดี่ยว:

  • ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว: การลงทุนในหุ้นเดี่ยวทำให้ กองทุน เหล่านี้ขาดการ กระจายความเสี่ยง อย่างรุนแรง หากหุ้นตัวใดตัวหนึ่งประสบปัญหา หรือราคาปรับตัวลดลงอย่างมาก กองทุน และ นักลงทุน ก็จะได้รับผลกระทบเต็มที่

  • ความผันผวนของผลตอบแทน: แม้จะสร้าง รายได้ จาก เบี้ยประกันภัย ได้สูง แต่ ผลตอบแทนรวม ของ กองทุน เหล่านี้อาจมีความผันผวนสูงมาก เนื่องจากราคาหุ้นพื้นฐานมีความผันผวนสูง

  • ค่าธรรมเนียมสูง: กองทุน กลุ่มนี้มักมี ค่าธรรมเนียมการจัดการ ที่สูงกว่า Covered Call ETF ทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้น กองทุน Covered Call ETF ที่เน้นหุ้นเดี่ยวจึงเหมาะสำหรับ นักลงทุน ที่เข้าใจ ความเสี่ยง สูงที่เกี่ยวข้อง และมีเป้าหมายที่ รายได้ ที่สูงมาก โดยยอมรับได้ถึง ความผันผวน ของเงินต้นที่อาจเกิดขึ้น

การประเมิน Covered Call ETF สำหรับพอร์ตลงทุนของคุณ: คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

มาถึงจุดนี้ คุณคงมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับ กองทุน Covered Call ETF ทั้งในแง่ของกลไกการทำงาน ข้อดี ข้อเสีย ความหลากหลายของ กลยุทธ์ และ ตัวอย่างกองทุน ที่มีอยู่ในตลาด คำถามสำคัญคือ คุณจะประเมินอย่างไรว่า Covered Call ETF เหมาะสมกับพอร์ตการลงทุนของคุณหรือไม่?

เราขอแนะนำให้คุณพิจารณาปัจจัยเหล่านี้:

  • เป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร? หากเป้าหมายหลักของคุณคือการสร้าง รายได้ ที่สม่ำเสมอในระยะยาว และคุณไม่ต้องการพึ่งพิง ผลตอบแทนขาขึ้น ของตลาด Covered Call ETF อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ถ้าคุณมีเป้าหมายในการเพิ่มมูลค่าเงินทุนให้เติบโตสูงสุดใน ตลาดกระทิง ที่แข็งแกร่ง คุณอาจต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ หรืออาจจะจัดสรรเงินลงทุนเพียงบางส่วนใน กองทุน ประเภทนี้

  • คุณยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน? แม้จะช่วยลด ความผันผวน ได้ใน ตลาดหมี หรือ ตลาดไซด์เวย์ แต่ Covered Call ETF ก็ยังมีความเสี่ยงจากราคา สินทรัพย์อ้างอิง ที่ลดลง และ ความเสี่ยง จากการจำกัด ผลตอบแทนขาขึ้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจ ความเสี่ยง เหล่านี้ก่อนตัดสินใจลงทุน

  • ศึกษาโครงสร้างและประสิทธิภาพทางภาษี: อย่างที่เราได้กล่าวไป การเลือก กองทุน ที่ใช้ สัญญามาตรา 1256 สามารถสร้าง ผลตอบแทนสุทธิ หลังหักภาษีที่ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ การศึกษาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม

  • อย่าดูแค่ Yield สูง: อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Yield) ที่สูงอาจดูน่าดึงดูด แต่คุณต้องพิจารณา ผลตอบแทนรวม (Total Return) และ ค่าธรรมเนียมการจัดการ รวมถึง ความผันผวน ของ กองทุน ด้วย บางครั้ง กองทุน ที่มี Yield ต่ำกว่า อาจให้ ผลตอบแทนรวม ที่ดีกว่าในระยะยาว

กองทุน Covered Call ETF เป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีคุณค่า สามารถเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตที่ช่วยสร้าง รายได้ และลด ความผันผวน ได้ดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่คุณต้องทำการบ้านอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะลงทุน เพื่อให้คุณสามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่คุณตั้งไว้ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ขอให้คุณโชคดีกับการลงทุน!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับcovered call

Q:กลยุทธ์ Covered Call คืออะไร?

A:เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนใช้เพื่อสร้างรายได้จากการถือหุ้น โดยการขายออปชัน Call。

Q:ข้อดีของการลงทุนใน Covered Call ETF คืออะไร?

A:ช่วยสร้างกระแสรายได้ที่สม่ำเสมอ พร้อมลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน。

Q:ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ Covered Call ETF มีอะไรบ้าง?

A:รวมถึงความเสี่ยงจากการจำกัดผลตอบแทนขาขึ้น และความเสี่ยงจากการลดลงของสินทรัพย์อ้างอิง。

發佈留言