ตราสารอนุพันธ์ หมายถึงอะไร? ความหมายและแนวคิดเบื้องต้น
ตราสารอนุพันธ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Derivatives คือข้อตกลงทางการเงินที่มูลค่าของมันผูกติดกับราคาของสินทรัพย์หลักที่ใช้อ้างอิง โดยตัวมันเองไม่ได้มีมูลค่าแท้จริง แต่จะเปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของราคาหรือปัจจัยอื่นๆ จากสินทรัพย์นั้นๆ ข้อตกลงนี้มักเกิดขึ้นระหว่างสองฝ่ายที่ตกลงกันว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาและเวลาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองนึกถึงการจองซื้อสินค้าล่วงหน้าสิ เช่น คุณอยากได้มะม่วงในอีกสามเดือน แต่กังวลว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้น คุณเลยตกลงกับเกษตรกรว่าจะซื้อในราคาวันนี้ แม้ราคามะม่วงในตลาดจะปรับขึ้น คุณก็ยังจ่ายในราคาเดิม ส่วนเกษตรกรก็รับประกันได้ว่าจะขายได้ตามราคาที่ตกลงไว้ แม้ราคาจะตก นี่แหละคือแก่นแท้ของตราสารอนุพันธ์ ที่มูลค่าขึ้นอยู่กับ “ราคามะม่วง” ซึ่งทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง โดยช่วยให้ทั้งสองฝ่ายจัดการกับความไม่แน่นอนในอนาคตได้ดีขึ้น

ทำไมต้องมีตราสารอนุพันธ์? ประโยชน์และวัตถุประสงค์หลักในการลงทุน
ตราสารอนุพันธ์เกิดขึ้นในตลาดการเงินเพื่อตอบโจทย์หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการความเสี่ยงและโอกาสทำกำไร นักลงทุนและธุรกิจมักนำมาใช้เพื่อสามวัตถุประสงค์หลักที่ช่วยเสริมสร้างกลยุทธ์การลงทุนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
นี่คือจุดเริ่มต้นและคุณค่าหลักของตราสารอนุพันธ์เลยทีเดียว ลองนึกถึงผู้ส่งออกชาวไทยที่คาดว่าจะได้เงินดอลลาร์สหรัฐในอีกสามเดือน แต่กังวลว่าบาทจะแข็งค่าขึ้น จนเงินบาทที่แลกได้น้อยลง เขาสามารถใช้สัญญาฟอร์เวิร์ดหรือฟิวเจอร์สสำหรับสกุลเงินเพื่อยึดอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า ทำให้รายได้เป็นเงินบาทแน่นอน ไม่ว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะผันผวนอย่างไร วิธีนี้ช่วยลดความกังวลจากความไม่แน่นอนของราคาสินทรัพย์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้า-ส่งออก
เก็งกำไร (Speculation)
สำหรับนักลงทุนที่ชำนาญ ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือเก็งกำไรจากแนวโน้มราคาของสินทรัพย์อ้างอิง เช่น ถ้าคาดว่าราคาหุ้นในดัชนี SET50 จะขึ้น ก็ซื้อ SET50 Index Futures ด้วยเงินมาร์จิ้นเพียงส่วนเล็กๆ ของมูลค่าสัญญา ถ้าดัชนีขึ้นจริง กำไรจะคูณจากเลเวอเรจ แต่ถ้าผิดทาง ก็อาจขาดทุนหนัก การเก็งกำไรแบบนี้จึงเหมาะกับคนที่ยอมรับความเสี่ยงสูง เพื่อแลกกับโอกาสผลตอบแทนที่มากกว่า
การทำส่วนต่างราคา (Arbitrage)
กลยุทธ์นี้เน้นใช้ประโยชน์จากช่องว่างราคาที่ไม่สมเหตุสมผลระหว่างตราสารอนุพันธ์กับสินทรัพย์อ้างอิง ในตลาดต่างประเทศหรือแม้แต่ในตลาดเดียวกันแต่ต่างช่วงเวลา โดยซื้อขายพร้อมกันเพื่อล็อกกำไรโดยแทบไม่มีเสี่ยง ในตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง โอกาสแบบนี้เกิดขึ้นชั่วครู่ แต่ก็ยังเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ตราสารอนุพันธ์มีบทบาทในระบบการเงิน โดยช่วยให้ราคาในตลาดสมดุลมากขึ้น

ประเภทของตราสารอนุพันธ์ที่ควรรู้จักในตลาดไทย (และทั่วโลก)
ในตลาดไทย โดยเฉพาะที่ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) นักลงทุนควรทำความรู้จักกับประเภทหลักๆ ของตราสารอนุพันธ์เหล่านี้ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ของตัวเอง
ฟิวเจอร์ส (Futures) – สัญญาซื้อขายล่วงหน้า
ฟิวเจอร์สคือสัญญาที่มีมาตรฐานชัดเจน บังคับให้ทั้งสองฝ่ายต้องซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในวันที่กำหนดและราคาที่ตกลงไว้ ขนาดสัญญา วันหมดอายุ และวิธีส่งมอบถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า และมีการซื้อขายในตลาดที่มีการกำกับดูแล เช่น TFEX ในไทย สินค้าที่ฮิตมาก ได้แก่ SET50 Index Futures ที่อ้างอิงดัชนี SET50, Gold Futures สำหรับทองคำ, Oil Futures สำหรับน้ำมัน และ Currency Futures สำหรับสกุลเงิน การเทรดต้องวางมาร์จิ้นเป็นหลักประกัน เพื่อให้แน่ใจว่าทุกฝ่ายจะทำตามสัญญา โดย TFEX ช่วยให้การซื้อขายโปร่งใสและปลอดภัย
ออปชัน (Options) – สัญญาซื้อขายสิทธิ
ออปชันให้สิทธิ์แก่ผู้ซื้อในการซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด ภายในเวลาที่กำหนด แต่ไม่บังคับให้ทำ ผู้ซื้อจ่ายค่าพรีเมี่ยมให้ผู้ขายเพื่อแลกสิทธิ์นั้น ถ้าไม่ใช้ ก็เสียแค่พรีเมี่ยม แต่ผู้ขายต้องรับผิดชอบถ้าผู้ซื้อใช้สิทธิ์ ในตลาดไทย มีทั้ง Stock Options ที่อ้างอิงหุ้นเดี่ยวๆ และ Index Options ที่อ้างอิงดัชนี ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมีทางเลือกในการจัดการความเสี่ยงโดยไม่ต้องผูกมัดเต็มตัว
วอร์แรนท์ (Warrants) – ใบสำคัญแสดงสิทธิ
วอร์แรนท์คือเอกสารที่ให้สิทธิ์ในการซื้อหุ้นของบริษัทผู้ออกในราคาและเวลาที่กำหนด มักออกโดยบริษัทจดทะเบียนควบคู่กับหุ้นหรือหุ้นกู้ เพื่อดึงดูดนักลงทุน ผู้ถือสามารถใช้สิทธิ์แปลงเป็นหุ้นได้เมื่อครบกำหนด นอกจากนี้ยังมี Derivative Warrants (DW) ที่โบรกเกอร์ออก โดยอ้างอิงหุ้นหรือดัชนี และซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้การลงทุนในหุ้นมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
สวอป (Swaps) – สัญญาแลกเปลี่ยน
สวอปคือข้อตกลงแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในอนาคตระหว่างคู่สัญญา ตามเงื่อนไขที่กำหนด มักใช้จัดการความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน เช่น Interest Rate Swaps ที่แลกเปลี่ยนดอกเบี้ยคงที่กับลอยตัว สวอปส่วนใหญ่เป็นการทำธุรกรรมนอกตลาด (OTC) ระหว่างธนาคารและลูกค้า ซึ่งเหมาะสำหรับองค์กรใหญ่ที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้สินให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด
ฟอร์เวิร์ด (Forwards) – สัญญาซื้อขายล่วงหน้านอกตลาด
ฟอร์เวิร์ดคล้ายฟิวเจอร์ส แต่ทำนอกตลาดหลัก (OTC) ทำให้ปรับเงื่อนไขให้พอดีกับความต้องการของคู่สัญญาได้มากกว่า มักใช้ป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงินหรือสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เสี่ยงเรื่องคู่สัญญา (Counterparty Risk) สูงกว่า เพราะไม่มีตลาดกลางค้ำประกัน ซึ่งในทางปฏิบัติ ธุรกิจขนาดกลางมักเลือกใช้เพราะความยืดหยุ่น

สินทรัพย์อ้างอิงหลักของตราสารอนุพันธ์มีอะไรบ้าง?
สินทรัพย์อ้างอิงคือหัวใจที่กำหนดมูลค่าของตราสารอนุพันธ์ ซึ่งครอบคลุมหลายประเภท เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการในตลาดการเงินที่หลากหลาย โดยแต่ละประเภทช่วยตอบโจทย์การลงทุนที่แตกต่างกัน
ตราสารทุน (Equities)
รวมถึงหุ้นของบริษัทจดทะเบียนเดี่ยวๆ หรือดัชนีตลาด เช่น SET50 หรือ SET100 ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดอนุพันธ์ไทย เพราะช่วยให้นักลงทุนเก็งกำไรหรือป้องกันพอร์ตหุ้นได้โดยตรง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities)
เช่น ทองคำ (Gold), น้ำมันดิบ (Crude Oil), ยางพารา (Rubber) และผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ผลิตหรือผู้ใช้สินค้าเหล่านี้ในการล็อกราคาล่วงหน้า ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบโลก
สกุลเงิน (Currencies)
อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน เช่น USD/THB ที่ใช้กันมากในธุรกิจส่งออก-นำเข้าไทย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ซึ่งอาจกระทบกำไรสุทธิอย่างหนัก
อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates)
เช่น อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นหรือยาว ที่สถาบันการเงินและบริษัทใหญ่ใช้จัดการความเสี่ยงจากดอกเบี้ยที่ปรับตัว โดยช่วยให้วางแผนการเงินระยะยาวได้มั่นคงขึ้น
ข้อดีและข้อเสีย: ตราสารอนุพันธ์เหมาะกับใครและมีข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ก็เหมือนดาบสองคมที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี นักลงทุนควรศึกษาทั้งด้านบวกและลบ เพื่อตัดสินใจอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในบริบทของตลาดไทยที่กำลังเติบโต
ข้อดี (Benefits) ที่นักลงทุนควรรู้:
* **อัตราทด (Leverage):** ใช้เงินน้อยควบคุมสินทรัพย์มูลค่าสูง สร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นได้ ถ้าตลาดไปตามคาด
* **ความยืดหยุ่นในการทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง:** สามารถเปิดสถานะ long หรือ short เพื่อรับมือกับทิศทางตลาดได้ทุกแบบ
* **การป้องกันความเสี่ยง (Hedging):** ช่วยปกป้องพอร์ตจากการผันผวนของราคาและค่าเงิน โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจไทยที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศ
* **การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน:** เพิ่มความหลากหลายให้พอร์ต นอกเหนือจากหุ้นหรือตราสารหนี้แบบดั้งเดิม
* **ต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่า:** ลงทุนน้อยกว่าการถือสินทรัพย์จริง แต่ยังได้ผลกระทบจากราคาได้เต็มที่
ข้อเสียและความเสี่ยง (Drawbacks & Risks) ที่ต้องตระหนัก:
* **ความเสี่ยงจากอัตราทดสูง (High Leverage Risk):** เลเวอเรจที่เพิ่มกำไรก็เพิ่มขาดทุนได้ ถ้าตลาดสวนทาง อาจเสียมากกว่าทุนที่ใส่เข้าไป
* **ความเสี่ยงด้านเวลา (Time Decay):** โดยเฉพาะออปชันที่มูลค่าลดลงเรื่อยๆ เมื่อใกล้หมดอายุ ทำให้ต้องจับตาเวลาอย่างใกล้ชิด
* **ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk):** บางสัญญาอาจซื้อขายยาก ถ้าตลาดไม่คึกคัก อาจติดสถานะในราคาที่ไม่ดี
* **ความเสี่ยงจากการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call):** ถ้าบัญชีหดตัวต่ำกว่าที่กำหนด โบรกเกอร์อาจเรียกเงินเพิ่ม หรือขายสถานะ强制 ซึ่งอาจเกิดขึ้นกะทันหัน
* **ความซับซ้อน:** บางประเภทต้องใช้ความรู้ลึก เช่น การคำนวณพรีเมี่ยมหรือมาร์จิ้น ซึ่งมือใหม่มักพลาด
* **ความเสี่ยงที่มือใหม่ต้องเข้าใจ:** นักลงทุนไทยมือใหม่หลายคนหลงเสน่ห์เลเวอเรจ จนเก็งกำไรเกินตัว โดยลืมความเสี่ยงขาดทุนมหาศาล ทางที่ดีคือลงทุนเฉพาะเงินส่วนเกิน กำหนด stop loss ชัดเจน และหลีกเลี่ยงการเทเงินทั้งหมดเข้าไป
เริ่มต้นลงทุนตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทยต้องทำอย่างไร? (สำหรับมือใหม่)
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนไทยที่อยากลองตลาดตราสารอนุพันธ์ ขั้นตอนการเริ่มต้นควรเป็นระบบ เพื่อให้ปลอดภัยและเข้าใจตลาดให้ดี โดยเฉพาะในยุคที่ TFEX กำลังขยายตัว
ขั้นตอนการเตรียมตัวและเปิดบัญชี:
1. **ศึกษาความรู้พื้นฐาน:** เรียนรู้ประเภทตราสาร ประโยชน์ เสี่ยง และวิธีการทำงานของตลาด จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างฐานความรู้ที่มั่นคง
2. **ประเมินความเสี่ยงที่รับได้:** ตรวจสอบว่าตัวเองรับมือกับความผันผวนได้แค่ไหน และกำหนดสัดส่วนเงินที่เหมาะสม ไม่เกินที่ยอมเสียได้
3. **เลือกบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่น่าเชื่อถือ:** หาโบรกเกอร์ที่ ก.ล.ต. รับรองและเป็นสมาชิก TFEX เช่น SCB Securities, InnovestX, Bualuang Securities หรือ Hua Seng Heng Gold Futures ที่มีบริการครบครัน
4. **เปิดบัญชีซื้อขายตราสารอนุพันธ์:** ติดต่อโบรกเกอร์ เตรียมเอกสารอย่างบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และหลักฐานการเงิน เพื่อเปิดบัญชีฟิวเจอร์ส
5. **วางหลักประกันเริ่มต้น (Initial Margin):** หลังเปิดบัญชี วางเงินตามที่ TFEX และโบรกเกอร์กำหนด เพื่อเริ่มเทรดได้จริง
สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มเทรด:
* **การจัดการเงินทุน (Money Management):** จัดสรรเงินให้พอดีกับทุนทั้งหมด หลีกเลี่ยงการใช้เงินที่จำเป็นในชีวิต
* **การจำกัดความเสี่ยง (Risk Management):** ตั้ง stop loss ให้ชัด และยึดมั่นในวินัย เพื่อป้องกันการขาดทุนใหญ่
* **เริ่มต้นจากน้อย:** มือใหม่ควรลองสัญญาเล็กๆ หรือใช้เดโมแอคเคาท์ที่โบรกเกอร์ให้ เพื่อฝึกมือโดยไม่เสียเงินจริง
* **ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:** ถ้าสงสัย ให้ถามที่ปรึกษาการลงทุนหรือ專家ด้านอนุพันธ์ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดพื้นฐาน
ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ศูนย์กลางตราสารอนุพันธ์ของไทย
ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) คือศูนย์รวมหลักสำหรับการเทรดตราสารอนุพันธ์ในไทย ก่อตั้งตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 เพื่อรองรับการซื้อขายสัญญาต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และอยู่ภายใต้การกำกับของ ก.ล.ต. ทำให้ทุกธุรกรรมโปร่งใสและมีระบบชำระเงินที่เชื่อถือได้
TFEX ให้บริการแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมสินค้าหลากหลาย เช่น SET50 Index Futures, Gold Futures, Oil Futures, Single Stock Futures, Currency Futures และ Options ซึ่งช่วยให้นักลงทุนไทยเข้าถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงและเก็งกำไรได้สะดวก โดยมีกฎเกณฑ์ชัดเจนที่ปกป้องผู้เข้าร่วมทุกฝ่าย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา TFEX เติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงกับโลก
สรุปและข้อควรจำสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในโลกตราสารอนุพันธ์
ตราสารอนุพันธ์คือเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการป้องกันความเสี่ยง การเพิ่มผลตอบแทน หรือกระจายพอร์ต แต่ความเสี่ยงจากเลเวอเรจก็สูงไม่แพ้กัน ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนรวดเร็วถ้าไม่ระวัง
สำหรับมือใหม่ การศึกษาอย่างละเอียด การเข้าใจตัวเอง และการเริ่มต้นช้าๆ คือกุญแจสำคัญ ลองใช้เดโมก่อน ลงทุนน้อยๆ และยึดวินัยในการจัดการทุนกับความเสี่ยง การลงทุนที่ฉลาดมาจากความรู้ ไม่ใช่การเดาสุ่ม ซึ่งจะช่วยให้คุณอยู่รอดและเติบโตในตลาดนี้ได้ยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
ตราสารอนุพันธ์เหมาะกับใคร และไม่เหมาะกับใคร? ควรเริ่มต้นอย่างไร?
ตราสารอนุพันธ์เหมาะกับ:
- ผู้ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จากความผันผวนของราคาสินทรัพย์อ้างอิง
- ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในตลาดการเงิน และสามารถรับความเสี่ยงได้สูง (สำหรับการเก็งกำไร)
- ผู้ที่ต้องการใช้เครื่องมือที่ยืดหยุ่นในการทำกำไรทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
ไม่เหมาะกับ:
- ผู้ที่ไม่มีความรู้พื้นฐานทางการเงิน
- ผู้ที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงจากการขาดทุนสูงได้
- ผู้ที่คาดหวังผลตอบแทนสูงโดยไม่ศึกษาข้อมูล
ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ลองใช้บัญชีทดลอง และเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนจำนวนน้อยที่สุด
ความเสี่ยงหลักของตราสารอนุพันธ์คืออะไร และนักลงทุนมือใหม่จะบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างไร?
ความเสี่ยงหลักคือ:
- ความเสี่ยงจากอัตราทด (Leverage Risk): ทำให้ขาดทุนได้มากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้น
- ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): ราคาเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คาดการณ์
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): หาคู่สัญญาซื้อขายยากในบางสถานการณ์
- ความเสี่ยงด้านเวลา (Time Decay): มูลค่าลดลงเมื่อใกล้วันหมดอายุ (สำหรับ Options)
- ความเสี่ยงจากการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call): อาจถูกบังคับปิดสถานะ
การบริหารความเสี่ยงสำหรับมือใหม่:
- กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) อย่างเคร่งครัด
- ลงทุนในจำนวนเงินที่ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน
- กระจายความเสี่ยง ไม่ทุ่มเงินทั้งหมดในสินทรัพย์เดียว
- ติดตามข่าวสารและสภาวะตลาดอย่างสม่ำเสมอ
- ใช้บัญชีทดลองเพื่อฝึกฝนก่อนลงทุนจริง
ถ้าเป็นมือใหม่ ควรเริ่มต้นลงทุนตราสารอนุพันธ์ประเภทไหนก่อนดีในตลาด TFEX?
สำหรับมือใหม่ในตลาด TFEX สินค้าที่แนะนำให้เริ่มต้นศึกษาและทำความเข้าใจก่อนคือ:
- SET50 Index Futures: อ้างอิงดัชนี SET50 ซึ่งเป็นดัชนีของหุ้นขนาดใหญ่ 50 ตัวแรกของไทย มีสภาพคล่องสูง และค่อนข้างเข้าใจง่ายกว่าสินค้าอื่น
- Gold Futures: อ้างอิงราคาทองคำ มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน และนักลงทุนไทยคุ้นเคยกับทองคำดี
ควรเริ่มต้นด้วยขนาดสัญญาที่เล็กที่สุด และทำความเข้าใจกลไกการวางหลักประกันและการคำนวณกำไรขาดทุนให้ดีก่อน
การเทรดตราสารอนุพันธ์ในประเทศไทย มีกฎระเบียบหรือข้อจำกัดอะไรบ้างที่นักลงทุนควรรู้?
นักลงทุนควรทราบถึงกฎระเบียบหลักๆ ดังนี้:
- การกำกับดูแล: ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) และบริษัทหลักทรัพย์ผู้ให้บริการอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
- เงินหลักประกัน: ผู้ลงทุนต้องวางเงินหลักประกันเริ่มต้นและรักษาระดับเงินหลักประกันให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด มิฉะนั้นอาจถูกเรียกหลักประกันเพิ่มหรือถูกบังคับปิดสถานะ
- วงเงินการซื้อขาย: โบรกเกอร์จะกำหนดวงเงินการซื้อขายสำหรับลูกค้าแต่ละรายตามความเหมาะสม
- เวลาทำการซื้อขาย: มีช่วงเวลาทำการซื้อขายที่กำหนดไว้สำหรับแต่ละสินค้า
- ภาษี: กำไรจากการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ใน TFEX ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สำหรับนิติบุคคลยังคงต้องเสียภาษีตามปกติ
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์ของ ก.ล.ต. และ TFEX
ตราสารอนุพันธ์กับหุ้นสามัญ (หุ้น) มีความแตกต่างกันอย่างไรในแง่ของการลงทุน?
ความแตกต่างหลักๆ คือ:
- การเป็นเจ้าของ: ซื้อหุ้นคือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัท ส่วนตราสารอนุพันธ์คือ “สัญญา” ที่อ้างอิงสินทรัพย์ ไม่ใช่การเป็นเจ้าของโดยตรง
- อัตราทด: ตราสารอนุพันธ์มีอัตราทดสูงกว่าหุ้นมาก ทำให้มีโอกาสได้กำไร/ขาดทุนสูงกว่าด้วยเงินลงทุนเท่ากัน
- ความยืดหยุ่น: ตราสารอนุพันธ์สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง ส่วนหุ้นส่วนใหญ่ทำกำไรได้เมื่อราคาขึ้น (เว้นแต่จะมีการยืมหุ้นมาขายชอร์ต)
- วันหมดอายุ: ตราสารอนุพันธ์ส่วนใหญ่มีวันหมดอายุที่แน่นอน ส่วนหุ้นไม่มีวันหมดอายุ
- ความเสี่ยง: ตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นสามัญมาก โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม
การลงทุนในตราสารอนุพันธ์มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เช่น ค่าธรรมเนียมหรือภาษี?
ค่าใช้จ่ายหลักๆ ในการลงทุนตราสารอนุพันธ์ ได้แก่:
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Brokerage Fee): คิดโดยบริษัทหลักทรัพย์ มักคิดเป็นต่อสัญญาหรือเป็นร้อยละของมูลค่าสัญญา
- ค่าธรรมเนียมตลาด (Exchange Fee): คิดโดย TFEX
- ค่าธรรมเนียมการชำระราคาและหักบัญชี (Clearing Fee): คิดโดยสำนักหักบัญชี
- ภาษี: กำไรจากการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ใน TFEX ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สำหรับนิติบุคคลยังคงต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์และประเภทของสินค้า ควรสอบถามรายละเอียดจากโบรกเกอร์ก่อนเริ่มซื้อขาย
มีตัวอย่างสถานการณ์จริงของการใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงในธุรกิจไทยไหม?
มีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ:
- ผู้ส่งออกผลไม้ไทย: หากบริษัทผลไม้ไทยส่งออกทุเรียนไปยังสหรัฐอเมริกา และจะได้รับเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า บริษัทอาจกลัวว่าค่าเงินบาทจะแข็งขึ้นเมื่อถึงเวลาชำระเงิน ทำให้ได้รับเงินบาทน้อยลง บริษัทสามารถทำสัญญา Futures หรือ Forwards สกุลเงิน USD/THB เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าได้ ทำให้มั่นใจในรายรับเป็นเงินบาท
- โรงงานผลิตอาหารสัตว์: หากโรงงานต้องนำเข้าวัตถุดิบอย่างถั่วเหลืองในอนาคต แต่กังวลว่าราคาถั่วเหลืองจะสูงขึ้น ก็สามารถใช้ Futures สินค้าเกษตรเพื่อล็อกราคาซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าได้
การป้องกันความเสี่ยงช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนต้นทุนและรายรับได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ถ้าอยากศึกษาเรื่องตราสารอนุพันธ์เพิ่มเติม ควรหาข้อมูลจากแหล่งไหนที่น่าเชื่อถือในประเทศไทย?
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในประเทศไทย ได้แก่:
- เว็บไซต์ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX): www.tfex.co.th มีข้อมูลครบถ้วนเกี่ยวกับสินค้า กฎระเบียบ และบทความให้ความรู้
- เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): www.set.or.th มีส่วนการศึกษาสำหรับนักลงทุน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.): www.sec.or.th ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายและข้อบังคับ
- บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์): โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีบทวิเคราะห์ สัมมนา และเอกสารเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับตราสารอนุพันธ์
- สถาบันการเงินและศูนย์การเรียนรู้ด้านการลงทุน: เช่น SET e-Learning, สถาบันการเงินต่างๆ ที่จัดอบรม
การศึกษาจากหลายแหล่งจะช่วยให้คุณมีความเข้าใจที่รอบด้านยิ่งขึ้น
ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็งกำไรเท่านั้นจริงหรือ?
ไม่จริง ตราสารอนุพันธ์มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการคือ:
- การป้องกันความเสี่ยง (Hedging): ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจและนักลงทุนสถาบันในการบริหารความเสี่ยงด้านราคาและอัตราแลกเปลี่ยน
- การเก็งกำไร (Speculation): เพื่อทำกำไรจากการคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนที่มาพร้อมความเสี่ยงสูง
- การทำส่วนต่างราคา (Arbitrage): เพื่อหาประโยชน์จากความไม่สมดุลของราคาในตลาด
แม้ว่าการเก็งกำไรจะเป็นการใช้งานที่แพร่หลายในหมู่นักลงทุนรายย่อย แต่การป้องกันความเสี่ยงก็เป็นบทบาทสำคัญที่ทำให้ตราสารอนุพันธ์มีคุณค่าในระบบเศรษฐกิจ
ควรใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเท่าไหร่ในการเทรดตราสารอนุพันธ์ และมีข้อควรระวังเรื่องเงินทุนอะไรบ้าง?
เงินลงทุนเริ่มต้นจะขึ้นอยู่กับประเภทของตราสารอนุพันธ์และขนาดสัญญาที่คุณเลือกซื้อขาย รวมถึงข้อกำหนดหลักประกันของโบรกเกอร์ โดยทั่วไปแล้ว การซื้อขายอนุพันธ์ใช้เงินลงทุนเริ่มต้น (Initial Margin) เพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าสัญญา
ข้อควรระวังเรื่องเงินทุน:
- ไม่ใช้เงินร้อน: ห้ามนำเงินที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน หรือเงินที่ต้องใช้ในระยะสั้นมาลงทุนเด็ดขาด
- เริ่มต้นด้วยจำนวนน้อย: สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำที่สุดที่โบรกเกอร์กำหนด เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาดก่อน
- เตรียมเงินสำรอง: ควรมีเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับกรณีที่ถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call)
- กำหนดสัดส่วนการลงทุน: ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดไปกับการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ ควรจัดสรรเงินลงทุนให้เหมาะสมกับแผนการเงินและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้