ETF คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐานของ Exchange Traded Fund
ETF หรือกองทุนรวมแบบแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ คือประเภทหนึ่งของกองทุนรวมที่ติดตามดัชนีตลาด และสามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนกับหุ้นทั่วไป มันรวมจุดเด่นของทั้งหุ้นและกองทุนรวมเข้าด้วยกัน ช่วยให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยงได้อย่างสะดวก เข้าถึงสินทรัพย์หลากหลายประเภท และยังคงความยืดหยุ่นในการซื้อขายได้ตลอดช่วงเวลาที่ตลาดเปิดทำการ

ETF ในมุมมองของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET อธิบายไว้ ETF คือกองทุนรวมที่ลงทุนเพื่อเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นดัชนีหุ้นอย่าง SET50 หรือ S&P 500 ดัชนีตราสารหนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำหรือน้ำมัน หรือแม้แต่ดัชนีจากตลาดต่างประเทศ เมื่อคุณลงทุนใน ETF หนึ่งหน่วย ก็เท่ากับคุณถือครองส่วนแบ่งในสินทรัพย์หลายรายการที่กองทุนนั้นรวบรวมไว้ และคุณสามารถซื้อขายหน่วยเหล่านี้ได้ตลอดวันทำการ เหมือนกับหุ้นปกติ
สิ่งที่ทำให้ ETF โดดเด่นคือความชัดเจนในการดำเนินงานและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวมอื่นๆ เพราะการบริหารส่วนใหญ่เน้นการติดตามดัชนีอย่างใกล้ชิด โดยไม่พยายามเอาชนะตลาดด้วยกลยุทธ์เชิงรุก

ETF ทำงานอย่างไร? กลไกการสร้างและไถ่ถอนหน่วยลงทุน
หนึ่งในจุดเด่นของ ETF คือกระบวนการที่เรียกว่า Creation/Redemption Mechanism ซึ่งช่วยให้ราคาในตลาดใกล้เคียงกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ หรือ NAV ของกองทุน โดยไม่คลาดเคลื่อนมากนัก กลไกนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ ETF มีประสิทธิภาพ
- การสร้างหน่วยลงทุน: ถ้าความต้องการซื้อ ETF ในตลาดเพิ่มขึ้นเกินจำนวนที่มี ผู้จัดการกองทุนจะสร้างหน่วยใหม่ โดยผู้รับผิดชอบ ETF จะแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่อ้างอิง เช่น หุ้นในดัชนี กับผู้เข้าร่วมที่ได้รับอนุญาต หรือ Authorized Participant เพื่อรับหน่วยลงทุน ETF กลับมา
- การไถ่ถอนหน่วยลงทุน: ในทางตรงกันข้าม ถ้าต้องการขายมากกว่าซื้อ ผู้เข้าร่วมที่ได้รับอนุญาตจะนำหน่วย ETF ไปแลกคืนกับผู้รับผิดชอบ เพื่อรับหลักทรัพย์อ้างอิงกลับมา
ด้วยกลไกนี้ ราคาซื้อขายในตลาดรองจึงเคลื่อนไหวไปพร้อมกับ NAV อย่างใกล้ชิด ผู้เข้าร่วมที่ได้รับอนุญาตมีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลและเพิ่มสภาพคล่องให้กับการซื้อขาย ETF ในตลาด

ลักษณะสำคัญของ ETF ที่นักลงทุนควรรู้
ETF มีคุณสมบัติที่น่าดึงดูดหลายอย่าง ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์
การกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
ข้อดีหลักของ ETF คือช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีเยี่ยม เพียงซื้อหน่วยเดียว คุณก็ได้รับสิทธิ์ในตะกร้าของสินทรัพย์หลากหลายที่กองทุนถือครอง ไม่จำเป็นต้องคัดเลือกหุ้นแต่ละตัวด้วยตัวเอง และถ้าหุ้นตัวใดในตะกร้าประสิทธิภาพต่ำ ผลกระทบต่อพอร์ตทั้งหมดก็จะจำกัดอยู่แค่นั้น ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิผลในการลดความเสี่ยงจากการลงทุน
สภาพคล่องสูง ซื้อขายได้สะดวกเหมือนหุ้น
ด้วยสภาพคล่องที่ยอดเยี่ยม ETF สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด เหมือนหุ้นทั่วไป นักลงทุนจึงปรับพอร์ตได้อย่างยืดหยุ่นและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ทันท่วงที
ค่าธรรมเนียมต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนรวม
ETF มักมีค่าดูแลจัดการที่ต่ำกว่ากองทุนรวมแบบบริหารเชิงรุกมาก เพราะเน้นการเลียนแบบดัชนีเป็นหลัก โดยไม่ต้องใช้ทรัพยากรในการวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวอย่างละเอียด ค่าธรรมเนียมที่ประหยัดนี้ช่วยเพิ่มผลตอบแทนสุทธิให้กับนักลงทุนในระยะยาว
ความโปร่งใสในการเปิดเผยสินทรัพย์
ETF เปิดเผยรายละเอียดสินทรัพย์ที่ถือครองในพอร์ตทุกวัน ทำให้คุณรู้ชัดเจนว่ากำลังลงทุนอะไร ซึ่งต่างจากกองทุนรวมบางประเภทที่รายงานแค่รายไตรมาสหรือรายเดือน ความชัดเจนนี้ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจด้วยข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าใจการถือครองของตัวเอง
ความยืดหยุ่นในการลงทุนด้วยกลยุทธ์หลากหลาย
เพราะซื้อขายได้เหมือนหุ้น ETF จึงยืดหยุ่นมาก คุณสามารถนำมาใช้ในกลยุทธ์ต่างๆ เช่น ลงทุนยาวเพื่อสะสมทรัพย์ เก็งกำไรระยะสั้น สร้างรายได้จากปันผล หรือป้องกันความเสี่ยง นอกจากนี้ยังรองรับคำสั่งซื้อขายหลายรูปแบบ เช่น Market Order หรือ Limit Order
ETF แตกต่างจากหุ้น กองทุนรวม และกองทุนดัชนีอย่างไร
แม้ ETF จะคล้ายเครื่องมือลงทุนอื่นๆ แต่ก็มีจุดต่างที่สำคัญซึ่งนักลงทุนควรทำความเข้าใจ
ETF เทียบกับหุ้น: ความคล้ายและต่าง
ความคล้าย:
- ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ทั้งวัน
- ราคาขยับตามอุปสงค์และอุปทาน
- ใช้คำสั่งซื้อขายได้หลายแบบ
- มีโอกาสได้ปันผล สำหรับ ETF ที่ลงทุนในหุ้น
ความต่าง:
- ETF: ถือสินทรัพย์หลายตัวเพื่อกระจายเสี่ยง ลงทุนในดัชนีหรือกลุ่มอุตสาหกรรม ผู้ลงทุนถือหน่วยกองทุน
- หุ้น: ลงทุนในบริษัทเดี่ยว เสี่ยงสูงเพราะกระจุกตัว ผลตอบแทนขึ้นกับผลประกอบการบริษัท ผู้ลงทุนถือส่วนแบ่งบริษัท
ETF เทียบกับกองทุนรวม: ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีของ ETF ต่อกองทุนรวม:
- ซื้อขายทั้งวัน: ETF ทำได้เหมือนหุ้น แต่กองทุนรวมทำได้ครั้งเดียวต่อวันที่ NAV สิ้นวัน
- ค่าธรรมเนียมต่ำ: เพราะส่วนใหญ่เป็นแบบติดตามดัชนี ถูกกว่ากองทุนบริหารเชิงรุก
- โปร่งใส: เปิดเผยพอร์ตทุกวัน
- ยืดหยุ่น: ใช้กลยุทธ์ซื้อขายได้มากกว่า
ข้อดีของกองทุนรวม:
- บริหารโดยมืออาชีพ: กองทุนแบบรุกมีผู้จัดการที่พยายามชนะตลาด
- เหมาะมือใหม่: ไม่ต้องเฝ้าตลาด สนับสนุน DCA ง่าย
- หลากหลาย: รวมกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง RMF/SSF
ETF เทียบกับกองทุนดัชนี: ความเข้าใจที่ถูกต้อง
นักลงทุนมักสับสนระหว่าง ETF กับกองทุนดัชนี แต่จริงๆ แล้ว ETF หลายตัวคือกองทุนดัชนี แต่กองทุนดัชนีไม่จำเป็นต้องเป็น ETF เสมอ
- กองทุนดัชนี: กองทุนรวมที่ลงทุนตามดัชนีเพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียง
- ETF: รูปแบบกองทุนรวมที่ส่วนใหญ่ติดตามดัชนี แต่ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น
ดังนั้น ETF จึงพัฒนาจากกองทุนดัชนีโดยเพิ่มความสะดวกในการซื้อขาย ทำให้การลงทุนแบบติดตามดัชนีเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ประเภทของ ETF ที่น่าสนใจในตลาดไทยและต่างประเทศ
ตลาด ETF มีความหลากหลาย ครอบคลุมสินทรัพย์และกลยุทธ์เกือบทุกประเภท
ETF หุ้นและ ETF ตราสารหนี้
เป็นประเภทยอดนิยมที่พบได้บ่อย
- ETF หุ้น: ลงทุนในดัชนีหุ้น เช่น SET50 ในไทย หรือ S&P 500 ในสหรัฐ ช่วยให้เข้าถึงตลาดหุ้นทั้งหมดหรือกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ได้ทีเดียว ตัวอย่างใน SET คือ TDEX ที่ติดตาม SET50
- ETF ตราสารหนี้: ลงทุนในดัชนีพันธบัตรรัฐหรือเอกชน เหมาะสำหรับผู้ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนสม่ำเสมอ หรือใช้ลดความผันผวนในพอร์ต
ETF ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
สำหรับผู้ที่อยากลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยไม่ต้องถือของจริง
- ETF ทองคำ: ได้รับความนิยมในไทย เช่น GLD หรือ GFM100 ช่วยเข้าถึงทองคำได้ง่ายและคล่องตัว
- ETF สินค้าโภคภัณฑ์อื่น: เช่น น้ำมัน แร่ธาตุ หรือสินค้าเกษตร ใช้เก็งกำไรหรือป้องกันเงินเฟ้อ
ETF อุตสาหกรรม/กลุ่มธุรกิจและ ETF ต่างประเทศ
ช่วยให้ลงทุนเฉพาะเจาะจงหรือขยายสู่ตลาดโลก
- Sector ETFs: ลงทุนในอุตสาหกรรมเดียว เช่น เทคโนโลยี พลังงาน หรือการเงิน เหมาะสำหรับผู้มีมุมมองเฉพาะ
- Global ETFs: ให้นักลงทุนไทยเข้าถึงดัชนี NASDAQ MSCI World หรือตลาดจีน ผ่านแพลตฟอร์มไทยอย่าง InnovestX หรือ Finnomena แต่ต้องระวังความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ETF ที่บริหารเชิงรุกและการเลือก ETF ที่เหมาะสม
แม้ ETF ส่วนใหญ่จะติดตามดัชนีแบบ passive แต่ก็มีแบบ active ที่ผู้จัดการพยายามชนะตลาด แม้ในไทยจะยังไม่แพร่หลายนัก
ในการเลือก ETF ควรพิจารณา
- ค่าธรรมเนียม: เลือกที่ต่ำเพื่อรักษาผลตอบแทนระยะยาว
- สภาพคล่อง: ดูปริมาณซื้อขายเฉลี่ยเพื่อให้ซื้อขายง่าย
- Tracking Error: ตรวจสอบว่าติดตามดัชนีได้ดีแค่ไหน
- สินทรัพย์อ้างอิง: เลือกที่เข้าใจและตรงเป้าหมาย
- นโยบายปันผล: ดูว่าจ่ายปันผลหรือไม่ หากต้องการรายได้
ข้อดีและข้อควรพิจารณาในการลงทุน ETF
การลงทุน ETF มีทั้งประโยชน์และปัจจัยที่ต้องชั่งน้ำหนัก
ข้อดีของการลงทุน ETF: เข้าถึงง่ายและคุ้มค่า
- กระจายเสี่ยงดี: ลงทุนหลายสินทรัพย์ครั้งเดียว
- ค่าธรรมเนียมต่ำ: ประหยัดกว่ากองทุน active
- สภาพคล่องสูง: ซื้อขายรวดเร็วทั้งวัน
- โปร่งใส: ตรวจพอร์ตได้ทุกวัน
- เข้าถึงต่างประเทศ: เปิดโอกาสลงทุนโลกสำหรับคนไทย
- ยืดหยุ่น: ใช้กลยุทธ์หลากหลาย
ข้อควรพิจารณาและความเสี่ยงของ ETF
ถึงมีข้อดีมาก แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องระวัง
- ความเสี่ยงตลาด: มูลค่าขยับตามตลาด ถ้าตลาดตก ETF ก็กระทบ
- Tracking Error: ผลตอบแทนอาจไม่ตรงดัชนี 100% จากค่าธรรมเนียมหรือการบริหาร
- สภาพคล่องบางตัว: ETF ขนาดเล็กหรือเฉพาะทางอาจซื้อขายยาก ราคาไม่ดี
- อัตราแลกเปลี่ยน: สำหรับต่างประเทศ ถ้าเงินบาทแข็ง ผลตอบแทนในบาทอาจลด
- ค่าธรรมเนียมแฝง: นอกจากจัดการ ยังมีค่าซื้อขายที่ต้องคำนวณ
ก่อนลงทุน ควรศึกษาละเอียดและเข้าใจเสี่ยง โดย ก.ล.ต. มีข้อมูลให้เรียนรู้เสมอ
เริ่มต้นลงทุน ETF ในประเทศไทยได้อย่างไร
การลงทุน ETF ในไทยทำได้ไม่ซับซ้อน ผ่านช่องทางหลายแบบ
แพลตฟอร์มและขั้นตอนเบื้องต้น
ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่จัดการหุ้นใน SET
- เปิดบัญชี: เลือกบริษัทหลักทรัพย์ เช่น InnovestX จาก SCB บริษัท กสิกรไทย หรือบัวหลวง หรือแพลตฟอร์มอย่าง Finnomena สำหรับ ETF ต่างประเทศ
- โอนเงิน: เติมเงินเข้าบัญชีเพื่อลงทุน
- เลือก ETF: ศึกษากองทุนในตลาดและเลือกตามเป้าหมายเสี่ยง
- สั่งซื้อ: ใช้แอปหรือแพลตฟอร์มส่งคำสั่งเหมือนซื้อหุ้น
ภาษีที่เกี่ยวข้องกับ ETF ในไทย
ภาษีสำหรับ ETF คล้ายหุ้นและกองทุนรวม
- ภาษีกำไรขาย:
- ETF ไทย: ยกเว้นสำหรับบุคคลธรรมดา
- ETF ต่างประเทศ: ถ้านำกำไรกลับไทยปีเดียวกัน อาจเสียภาษีเงินได้บุคคล
 
- ภาษีปันผล:
- ETF ไทย: หัก ณ ที่จ่าย 10% เลือกไม่รวมหรือรวมขอคืนได้
- ETF ต่างประเทศ: หักตามกฎประเทศต้นทาง เช่น 15% ในสหรัฐ แล้วรวมคำนวณในไทย ขอเครดิตตามอนุสัญญาภาษี
 
ข้อควรระวัง: ภาษีอาจเปลี่ยน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
สรุป: ETF เครื่องมือลงทุนที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงง่าย
ETF ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะเครื่องมือลงทุนที่มีพลัง ด้วยการกระจายเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ สภาพคล่องสูง ค่าธรรมเนียมต่ำ และความโปร่งใส ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนทุกกลุ่มที่อยากเข้าถึงตลาดหลากหลาย ไม่ว่าจะหุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ หรือต่างประเทศ
การซื้อขายได้เหมือนหุ้นใน SET ทำให้ปรับกลยุทธ์ได้ยืดหยุ่น และเป็นทางเชื่อมสู่สินทรัพย์โลกสำหรับคนไทย อย่างไรก็ตาม ควรเข้าใจประเภท กลไก ข้อดีข้อเสีย เสี่ยง และภาษีให้ดี เพื่อให้การลงทุนประสบความสำเร็จและตรงเป้าหมายการเงิน
การลงทุนแบบ ETF คืออะไร และเหมาะกับนักลงทุนแบบไหนในประเทศไทย?
ETF คือกองทุนรวมที่ติดตามดัชนีและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น เพื่อให้ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง ในไทยเหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากกระจายเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยค่าธรรมเนียมต่ำและยืดหยุ่นในการซื้อขายทั้งวัน เหมาะทั้งมือใหม่ที่อยากลงทุนรวมกลุ่มในหุ้นหรือสินทรัพย์ต่างๆ และผู้มีประสบการณ์ที่ใช้จัดพอร์ตหรือเก็งกำไร
ETF กับหุ้นและกองทุนรวมในตลาดหลักทรัพย์ไทยต่างกันอย่างไร?
- ETF: ถือสินทรัพย์หลายตัว ซื้อขายทั้งวันเหมือนหุ้น ราคาตามตลาด ค่าธรรมเนียมต่ำและโปร่งใส
- หุ้น: ลงทุนบริษัทเดี่ยว เสี่ยงกระจุก ซื้อขายทั้งวัน ราคาตามผลประกอบการและข่าว
- กองทุนรวม: ถือหลายสินทรัพย์ แต่ซื้อขายครั้งเดียวต่อวันที่ NAV มีทั้ง active และ passive ค่าธรรมเนียมอาจสูงกว่า ETF แต่เหมาะคนไม่มีเวลาติดตาม
กองทุน ETF มีอายุกี่ปี หรือมีวันหมดอายุกองทุนหรือไม่?
ส่วนใหญ่ ETF เป็นกองทุนเปิด ไม่มีวันหมดอายุ ตราบใดที่มีสินทรัพย์และความสนใจ กองทุนก็ดำเนินต่อ อย่างไรก็ตาม บางประเภทอย่าง ETF ตราสารหนี้อาจมีอายุจำกัดตามพันธบัตร หรือถูกยุบถ้าขนาดเล็กเกินไป ซึ่งเกิดไม่บ่อย
Etf ในไทย มี อะไรบ้าง ที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มต้น?
สำหรับมือใหม่ ETF น่าสนใจคือตัวที่ติดตามดัชนีหุ้นใหญ่ไทย เช่น
- TDEX: ติดตาม SET50 ซึ่งรวม 50 หุ้นใหญ่และคล่องตัวในตลาดไทย
- BSET100: ติดตาม SET100
ช่วยให้ลงทุนภาพรวมตลาดไทยโดยไม่ต้องเลือกหุ้นตัวเดียว และกระจายเสี่ยงดี
หุ้น ETF ตัวไหนดี 2568 และมีเกณฑ์การเลือกอย่างไร?
เลือก ETF ในปี 2568 ตามเกณฑ์
- เป้าหมาย: ลงทุนเพื่อเติบโต รายได้ หรือกระจายเสี่ยง?
- เสี่ยงที่รับได้: รับผันผวนแค่ไหน?
- ดัชนี: ติดตามอะไร เช่น หุ้นไทย โลก หรือทองคำ และแนวโน้ม?
- ค่าธรรมเนียม: เลือกต่ำ
- สภาพคล่อง: ดูปริมาณซื้อขายเฉลี่ย
- Tracking Error: ติดตามดัชนีดีแค่ไหน
สำหรับคำแนะนำเฉพาะ ปรึกษาที่ปรึกษาการลงทุนหรือดูวิเคราะห์จากสถาบันน่าเชื่อถือ
การลงทุน ETF ต่างประเทศ มี อะไร บ้าง และคนไทยสามารถลงทุนได้อย่างไร?
ETF ต่างประเทศหลากหลาย เช่น ติดตาม S&P 500 NASDAQ ตลาดเกิดใหม่ หรือ GLD ทองคำ คนไทยลงทุนผ่าน
- โบรกเกอร์ไทย: InnovestX Finnomena หรืออื่นๆ ที่มีบริการ
- โบรกเกอร์ต่างประเทศ: ตรง แต่ยุ่งยากเรื่องภาษีและกฎ
ศึกษาความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและภาษี
ข้อดีและข้อเสียของการลงทุน ETF ที่นักลงทุนไทยควรรู้มีอะไรบ้าง?
- ข้อดี: กระจายเสี่ยงดี ค่าธรรมเนียมต่ำ สภาพคล่องสูง โปร่งใส เข้าถึงต่างประเทศง่าย ยืดหยุ่น
- ข้อเสีย: เสี่ยงตลาด Tracking Error สภาพคล่องต่ำบางตัว และเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ
ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเริ่มลงทุน ETF ได้ และมีค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง?
เริ่มต้นต่ำ ไม่กี่ร้อยถึงพันบาท ขึ้นกับราคาหน่วยและโบรกเกอร์ ค่าหลัก
- ค่าซื้อขาย: ตามมูลค่าคล้ายหุ้น
- ค่าจัดการ: หักจากสินทรัพย์ปีละ
- อื่นๆ: เช่น โอนหลักทรัพย์ ถ้ามี
ETF ต่างประเทศ มี อะไร บ้าง ที่คนไทยลงทุนได้?
คนไทยลงทุน ETF ต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์ที่อนุญาต ตัวอย่าง
- หุ้นสหรัฐ: SPY (S&P 500) QQQ (NASDAQ 100)
- ทองคำ: GLD
- ตลาดอื่น: จีน ยุโรป
- อุตสาหกรรม: เทคโนโลยี พลังงาน สุขภาพ
ตรวจกับโบรกเกอร์ว่ามีตัวไหน
ภาษีจากการลงทุน ETF ในประเทศไทย คิดอย่างไรและต้องเสียอะไรบ้าง?
ภาษี ETF แบ่ง
- กำไรขาย:
- ไทย: ยกเว้นบุคคลธรรมดา
- ต่างประเทศ: ถ้ากลับปีเดียวกัน เสียภาษีเงินได้
 
- ปันผล:
- ไทย: หัก 10% เลือกไม่รวมหรือรวมขอคืน
- ต่างประเทศ: หักตามต้นทาง เช่น 15% สหรัฐ รวมในไทย ขอเครดิตตามอนุสัญญา
 
ศึกษาล่าสุดหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
 
		 
						 
						