ปูพื้นฐานสู่ความสำเร็จ: ศัพท์ Forex ที่มือใหม่ต้องรู้เพื่อการเทรดอย่างชาญฉลาด
การก้าวเข้าสู่โลกของการเทรด Forex อาจดูซับซ้อนและเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทางมากมาย จนบางครั้งอาจทำให้คุณรู้สึกท่วมท้น แต่ไม่ต้องกังวลครับ เพราะเช่นเดียวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การทำความเข้าใจพื้นฐานคือสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำศัพท์สำคัญต่างๆ ที่เปรียบเสมือนแผนที่นำทางในตลาดเงินตราต่างประเทศอันกว้างใหญ่แห่งนี้
บทความนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นคู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น และเทรดเดอร์ที่ต้องการเจาะลึกทำความเข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราจะพาคุณไปสำรวจคำศัพท์ Forex พื้นฐานที่จำเป็น ไปจนถึงเครื่องมือวิเคราะห์อันทรงพลัง ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ผสมผสานกับการอธิบายแบบเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้กับการตัดสินใจเทรดได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะ การเทรด Forex ไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่คือการบริหารจัดการความรู้และโอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรามาเริ่มต้นการเดินทางอันน่าตื่นเต้นนี้ไปพร้อมกันเลยครับ
- จัดการความเสี่ยงเพื่อปกป้องทุนที่ลงทุนไป
- ทำความเข้าใจหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้สำคัญ
- พัฒนาการเรียนรู้และการทดลองการเทรดบนบัญชีเดโมก่อน
แก่นแท้ของการเทรด: คู่สกุลเงิน, Bid, Ask และต้นทุนที่ซ่อนอยู่ (Spread)
หัวใจสำคัญของการเทรด Forex คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เราไม่ได้ซื้อ “หุ้น” หรือ “สินค้า” แบบที่คุ้นเคย แต่เรากำลังซื้อขาย “คู่สกุลเงิน” ซึ่งเป็นรากฐานที่แตกต่างและสำคัญมากที่คุณต้องเข้าใจ
-
คู่สกุลเงิน (Currency Pair): ลองนึกภาพเวลาที่คุณจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วต้องแลกเงิน เช่น แลกเงินบาทไทยเป็นดอลลาร์สหรัฐ (USD/THB) ในตลาด Forex ก็เช่นกันครับ แต่เราจะเห็นเป็นรหัสสากล เช่น EUR/USD, GBP/USD หรือ USD/JPY สกุลเงินตัวแรกเรียกว่า Base Currency (สกุลเงินหลัก) และตัวที่สองเรียกว่า Quote Currency (สกุลเงินอ้างอิง) เมื่อคุณซื้อ EUR/USD นั่นหมายถึงคุณกำลังซื้อยูโรและขายดอลลาร์สหรัฐพร้อมกันในราคาที่ระบุ หากราคานี้เพิ่มขึ้น คุณก็จะได้กำไรจากการขายยูโรกลับคืนในราคาที่สูงขึ้น
-
ราคา Bid (บิด): นี่คือราคาที่โบรกเกอร์ของคุณยินดี “ซื้อ” คู่สกุลเงินนั้นจากคุณ หรืออีกนัยหนึ่งคือราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย เปรียบเสมือนอัตราที่คุณสามารถ “ขาย” เงินสกุลหลักของคุณเพื่อแลกกับสกุลเงินอ้างอิง
-
ราคา Ask (แอสก์): ตรงกันข้ามกับ Bid ครับ นี่คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดี “ขาย” คู่สกุลเงินนั้นให้กับคุณ หรือราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีขาย เปรียบเสมือนอัตราที่คุณสามารถ “ซื้อ” เงินสกุลหลักของคุณโดยใช้สกุลเงินอ้างอิง
-
สเปรด (Spread): นี่คือส่วนต่างระหว่างราคา Ask และ Bid ที่คุณเห็นบนหน้าจอเทรด และนี่คือ “ต้นทุน” หลักของการเทรดที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ในทุกครั้งที่เปิดคำสั่ง เปรียบได้กับค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงิน หากสเปรดแคบ หมายถึงต้นทุนของคุณต่ำลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรของคุณในระยะยาว ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดที่แข่งขันได้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ให้ความยืดหยุ่นและข้อได้เปรียบทางเทคนิค Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจครับ ด้วยการรองรับแพลตฟอร์มหลักอย่าง MT4, MT5 และ Pro Trader พร้อมการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและสเปรดที่ต่ำ มอบประสบการณ์การเทรดที่ยอดเยี่ยมให้กับคุณ
ประเภทคำศัพท์ | คำอธิบาย |
---|---|
คู่สกุลเงิน | การซื้อขายระหว่างสองสกุลเงิน |
ราคา Bid | ราคาที่โบรกเกอร์ยินดีซื้อตัวสกุลเงิน |
ราคา Ask | ราคาที่โบรกเกอร์ยินดีขายตัวสกุลเงิน |
ทำความเข้าใจหน่วยวัดและการเพิ่มอำนาจซื้อขาย: Pip, Lot และ Leverage
เมื่อคุณเข้าใจเรื่องคู่สกุลเงินและราคาแล้ว ต่อไปคือการทำความเข้าใจว่ากำไรหรือขาดทุนของคุณถูกคำนวณอย่างไร และจะเพิ่มอำนาจการซื้อขายของคุณได้อย่างไร
-
Pip (ปิ๊ป): คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงราคาที่เล็กที่สุดในตลาด Forex คำว่า “Pip” ย่อมาจาก “Point in Percentage” โดยทั่วไปแล้ว สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD Pip จะอยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่สี่ของราคา (เช่น จาก 1.0500 ไปเป็น 1.0501 คือ 1 Pip) ส่วนคู่สกุลเงินที่มี JPY (เยนญี่ปุ่น) เช่น USD/JPY Pip จะอยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่สอง (เช่น จาก 109.00 ไปเป็น 109.01 คือ 1 Pip) การเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่ Pip สามารถสร้างกำไรหรือขาดทุนจำนวนมากได้ ขึ้นอยู่กับ Lot Size ที่คุณเทรด
-
Lot Size (ล็อต): คือปริมาณหน่วยซื้อขายมาตรฐานในตลาด Forex เปรียบเสมือนจำนวน “ชิ้น” ของสกุลเงินที่คุณกำลังซื้อขาย
-
Standard Lot: เท่ากับ 100,000 หน่วยของ Base Currency
-
Mini Lot: เท่ากับ 10,000 หน่วยของ Base Currency
-
Micro Lot: เท่ากับ 1,000 หน่วยของ Base Currency
การเลือกขนาดล็อตที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเงินทุนของคุณและการจัดการความเสี่ยง ยิ่งล็อตใหญ่ มูลค่าต่อ Pip ก็จะยิ่งมาก และผลกำไรหรือขาดทุนก็จะยิ่งมากตามไปด้วย
-
-
Leverage (เลเวอเรจ): นี่คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการเทรดขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนที่น้อยลงจากโบรกเกอร์ เปรียบเสมือนการที่คุณยืมเงินมาเพื่อขยายกำลังซื้อของคุณ สมมติว่าโบรกเกอร์ให้ Leverage 1:500 หมายความว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ในบัญชีของคุณ คุณสามารถควบคุมตำแหน่งที่มีมูลค่าถึง 500 ดอลลาร์ได้
คุณอาจคิดว่า “ยอดเยี่ยมเลย!” แต่ Leverage นั้นเป็นดาบสองคม มันสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมหาศาลเช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ การใช้ Leverage อย่างไม่ระมัดระวังอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว คุณจึงต้องเข้าใจและใช้มันอย่างรอบคอบ
หน่วยที่เกี่ยวข้อง | คำอธิบาย |
---|---|
Pip | หน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงราคาที่เล็กที่สุด |
Lot Size | จำนวนหน่วยซื้อขายมาตรฐานใน Forex |
Leverage | การยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อขยายตำแหน่งการเทรด |
หัวใจของการบริหารความเสี่ยง: Stop Loss, Take Profit และ Margin
ในโลกของการเทรด การบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่แค่คำศัพท์ แต่คือหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในการปกป้องเงินทุนของคุณ การเทรด Forex มีความผันผวนสูงและคาดเดาไม่ได้เสมอ เครื่องมือเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น
-
Stop Loss (จุดตัดขาดทุน): นี่คือคำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดตำแหน่งการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับที่คุณกำหนด เพื่อจำกัดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น เปรียบเสมือน “ตาข่ายนิรภัย” ของคุณ หากคุณเปิดสถานะ Long (ซื้อ) แล้วราคาตกลงไปเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่ได้เฝ้าหน้าจอ Stop Loss จะช่วยปิดการเทรดของคุณเพื่อป้องกันไม่ให้คุณขาดทุนมากเกินกว่าที่รับได้ นี่คือเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการเทรดอย่างมีวินัย
-
Take Profit (จุดทำกำไร): ตรงกันข้ามกับ Stop Loss ครับ Take Profit คือคำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดตำแหน่งการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับเป้าหมายกำไรที่คุณต้องการ เปรียบเสมือน “การเก็บเกี่ยวผลผลิต” เมื่อคุณซื้อแล้วราคาขึ้นตามที่คาดไว้ Take Profit จะช่วยปิดการเทรดของคุณทันทีเพื่อล็อกกำไรไว้ ไม่ว่าคุณจะกำลังหลับอยู่หรือติดภารกิจอื่นใดก็ตาม
-
Margin (มาร์จิ้น): นี่คือเงินประกันที่คุณต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดและรักษาสถานะการเทรดของคุณไว้ มันคือส่วนหนึ่งของเงินทุนของคุณที่ถูกกันไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการใช้ Leverage หากระดับ Margin ในบัญชีของคุณลดต่ำลงจนถึงจุดที่โบรกเกอร์กำหนด คุณอาจจะได้รับการแจ้งเตือนที่เรียกว่า Margin Call ซึ่งเป็นการขอให้คุณเติมเงินเพิ่มเพื่อรักษาสถานะการเทรด หรือที่แย่กว่านั้นคือโบรกเกอร์อาจจะปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อถึง Stop Out Level เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเป็นหนี้เกินตัว
เครื่องมือบริหารความเสี่ยง | คำอธิบาย |
---|---|
Stop Loss | คำสั่งปิดอัตโนมัติเมื่อราคามาถึงระดับที่กำหนด |
Take Profit | คำสั่งปิดอัตโนมัติเมื่อทำกำไรถึงเป้าหมาย |
Margin | เงินประกันในการเปิดและรักษาสถานะการเทรด |
สำรวจสภาวะตลาด: ตลาดกระทิง (Bull) และตลาดหมี (Bear) พร้อมปัจจัยที่ขับเคลื่อน
การทำความเข้าใจ สภาวะตลาด เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่แค่การมองกราฟเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจบริบทใหญ่ของตลาดด้วย
-
Bull Market (ตลาดขาขึ้น / ตลาดกระทิง): ลองนึกภาพกระทิงที่ใช้เขาขวิดขึ้นข้างบน นั่นคือสภาวะตลาดที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูงและคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการเปิดสถานะ Long (ซื้อ) เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาพุ่งขึ้น
-
Bear Market (ตลาดขาลง / ตลาดหมี): ตรงกันข้ามครับ ลองนึกภาพหมีที่ใช้มือตบลงมา นั่นคือสภาวะตลาดที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงไปอีก ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการเปิดสถานะ Short (ขาย) เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาตกลง
-
Swap (ค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน): หากคุณเปิดสถานะการเทรดข้ามคืน คุณอาจจะต้องจ่ายหรือได้รับค่า Swap ซึ่งคือค่าดอกเบี้ยที่คำนวณจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินคู่ที่คุณเทรด การที่ Swap เป็นบวกหรือลบนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณซื้อหรือขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า หรือต่ำกว่า คู่เงินนั้นๆ เช่น หากคุณซื้อคู่สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยของ Base Currency สูงกว่า Quote Currency คุณอาจได้รับค่า Swap กลับคืน ซึ่งถือเป็นรายได้เล็กน้อย แต่หากตรงกันข้าม คุณก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนี้ให้กับโบรกเกอร์
-
Economic Calendar (ปฏิทินเศรษฐกิจ): นี่คือเครื่องมือสำคัญที่แสดงวันเวลาของการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย, อัตราการว่างงาน, GDP, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ข้อมูลเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของราคาคู่สกุลเงิน เพราะสะท้อนถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ การติดตาม ปฏิทินเศรษฐกิจ จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นและวางแผนการเทรดได้อย่างรัดกุม
สภาวะตลาด | คำอธิบาย |
---|---|
Bull Market | ตลาดที่มีราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง |
Bear Market | ตลาดที่มีราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง |
Swap | ค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน |
เจาะลึกเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค 101: กราฟแท่งเทียน, แนวรับ/แนวต้าน และเส้นแนวโน้ม
นอกจากการทำความเข้าใจพื้นฐานของตลาดแล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็เป็นอีกหนึ่งแขนงความรู้ที่สำคัญที่จะช่วยให้คุณอ่านการเคลื่อนไหวของราคาและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์กราฟ
-
กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): เป็นรูปแบบการแสดงราคาที่นิยมมากที่สุดในตลาด Forex และเป็นจุดเริ่มต้นของ การวิเคราะห์ทางเทคนิค แท่งเทียนแต่ละแท่งจะบอกข้อมูลสำคัญ 4 อย่าง คือ ราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low) และราคาปิด (Close) ในกรอบเวลาหนึ่งๆ (เช่น 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน) สีของแท่งเทียนจะบอกว่าราคาปิดสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาเปิด หากสีเขียว (หรือสีขาว) แสดงว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (Bullish) และสีแดง (หรือสีดำ) แสดงว่าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (Bearish) การรู้จัก รูปแบบแท่งเทียน ต่างๆ เช่น Doji, Hammer หรือ Engulfing จะช่วยให้คุณอ่านพฤติกรรมของตลาดได้ดีขึ้น
-
แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance): ลองนึกภาพราคาเป็นลูกบอลที่เด้งขึ้นเด้งลง แนวรับคือระดับราคาที่ราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะ “หยุดตก” และเด้งกลับขึ้นไปได้ เปรียบเสมือนพื้นบ้านที่รับลูกบอลไว้ ส่วนแนวต้านคือระดับราคาที่ราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะ “หยุดขึ้น” และถูกผลักดันให้กลับลงมาได้ เปรียบเสมือนเพดานบ้านที่ต้านลูกบอลไว้ การระบุแนวรับและแนวต้านเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจเข้าและออกจากการเทรด เพราะเป็นจุดที่มักจะมีการกลับตัวของราคา
-
เส้นแนวโน้ม (Trend Line): คือเส้นตรงที่คุณสามารถลากผ่านจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของราคาบนกราฟเพื่อแสดงทิศทางของแนวโน้มราคา
-
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
-
แนวโน้มขาลง (Downtrend): ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ
เส้นแนวโน้มช่วยให้คุณมองเห็นทิศทางโดยรวมของตลาด และเมื่อราคา Breakout (ทะลุ) เส้นแนวโน้ม นั่นอาจเป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทิศทางราคา
-
เครื่องมือวิเคราะห์ | คำอธิบาย |
---|---|
กราฟแท่งเทียน | การแสดงราคาที่นิยมในตลาด Forex |
แนวรับ | ระดับราคาที่ราคาตกลงไม่ต่ำลงได้ |
แนวต้าน | ระดับราคาที่ราคาขึ้นไม่สูงขึ้นได้ |
พลังของ Indicator: MACD, RSI, Stochastic และ Bollinger Bands ที่นักเทรดมืออาชีพใช้
นอกเหนือจากกราฟแท่งเทียนและแนวรับ/แนวต้านแล้ว อินดิเคเตอร์ (Indicator) หรือตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เป็นเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณจากราคาและปริมาณการซื้อขาย เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้ดียิ่งขึ้น นี่คือตัวอย่างบางส่วนที่นิยมใช้กัน:
-
MACD (Moving Average Convergence Divergence): เป็นอินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้เพื่อระบุ ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ทิศทาง และแรงผลักดัน (momentum) ของราคา MACD ประกอบด้วยเส้นสองเส้นและฮิสโตแกรม การที่เส้น MACD ตัดกับเส้น Signal Line หรือการที่ฮิสโตแกรมอยู่เหนือหรือใต้เส้นศูนย์ มักถูกใช้เป็นสัญญาณซื้อหรือขาย นักเทรดจะมองหา Divergence (การแยกทาง) ระหว่างราคาและ MACD ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มกำลังจะกลับตัว
-
RSI (Relative Strength Index): เป็นอินดิเคเตอร์ที่วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยจะบอกว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือ ขายมากเกินไป (Oversold) RSI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 หาก RSI เกิน 70 แสดงว่าอาจอยู่ในภาวะ Overbought และราคาอาจปรับตัวลง ในทางกลับกัน หาก RSI ต่ำกว่า 30 แสดงว่าอาจอยู่ในภาวะ Oversold และราคาอาจปรับตัวขึ้น
-
Stochastic Oscillator (ตัวบ่งชี้ Stochastic): คล้ายกับ RSI คือใช้วัดภาวะ Overbought และ Oversold แต่ Stochastic จะเปรียบเทียบราคาปิดของสินทรัพย์กับช่วงราคาที่ซื้อขายได้ในช่วงเวลาหนึ่ง หากค่า Stochastic อยู่เหนือ 80 มักจะถือว่าอยู่ในภาวะ Overbought และหากอยู่ต่ำกว่า 20 มักจะถือว่าอยู่ในภาวะ Oversold การตัดกันของเส้น Stochastic %K และ %D มักถูกใช้เป็นสัญญาณซื้อขายเช่นกัน
-
Bollinger Bands (แถบโบลลิงเจอร์): ประกอบด้วยเส้น Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) ตรงกลาง และแถบสองแถบที่อยู่ด้านบนและด้านล่างซึ่งปรับตามความผันผวนของตลาด แถบเหล่านี้จะขยายกว้างขึ้นเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง และจะแคบลงเมื่อตลาดมีความผันผวนต่ำ นักเทรดใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุช่วงที่ราคาอาจกลับตัว หรือเพื่อดูว่าราคาอยู่ในโซน Overbought/Oversold เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปชนแถบด้านนอก
-
Moving Average Crossover (การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่): เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายและนิยม โดยจะใช้เส้น Moving Average สองเส้นที่มีระยะเวลาต่างกัน (เช่น EMA 10 และ EMA 50) เมื่อเส้น Moving Average ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นระยะยาว มักถูกพิจารณาเป็นสัญญาณซื้อ และเมื่อตัดลงต่ำกว่า มักถูกพิจารณาเป็นสัญญาณขาย
เครื่องมือ Indicator | คำอธิบาย |
---|---|
MACD | ตัวบ่งชี้ที่บอกความแข็งแกร่งของแนวโน้ม |
RSI | ตัวบ่งชี้ที่บอกภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป |
Stochastic | ตัวบ่งชี้ที่เปรียบเทียบราคาปิดกับราคาในอดีต |
ความสำคัญของสภาพคล่อง, ความผันผวน และ Slippage ในการเทรด Forex
ในการเทรด Forex คุณจะเจอคำศัพท์เหล่านี้บ่อยครั้ง และเป็นสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงในการวางแผนและดำเนินการเทรดของคุณ
-
สภาพคล่อง (Liquidity): หมายถึงความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคา ตลาด Forex เป็นตลาดที่มี สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ แต่สภาพคล่องก็แตกต่างกันไปในแต่ละคู่สกุลเงิน คู่เงิน Major (เช่น EUR/USD, USD/JPY) จะมีสภาพคล่องสูงกว่าคู่เงิน Minor หรือ Exotic
-
ความผันผวน (Volatility): คือระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด เปรียบเสมือนความปั่นป่วนของทะเล หากตลาดมีความผันผวนสูง ราคาจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน คู่เงิน Exotic มักมีความผันผวนสูงกว่าคู่เงิน Major และมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ
-
Slippage (การลื่นไถล): คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณตั้งใจจะเข้าซื้อหรือขาย กับราคาที่คุณได้เข้าซื้อหรือขายจริง ปัญหานี้มักเกิดขึ้นในภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือช่วงที่มีข่าวสำคัญประกาศออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าที่โบรกเกอร์จะจับคู่คำสั่งของคุณกับราคาที่คุณต้องการได้พอดี การลื่นไถลอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับคุณ (Positive Slippage) หรือในทิศทางที่เป็นโทษกับคุณ (Negative Slippage) โบรกเกอร์ที่มี สภาพคล่องสูง และการประมวลผลคำสั่งที่รวดเร็ว มักจะช่วยลดปัญหาสลิปเพจได้
-
Position (ตำแหน่งการเทรด): คือจำนวนหน่วยของสินทรัพย์ที่คุณถือครองในตลาด หากคุณเปิดสถานะซื้อ EUR/USD จำนวน 1 Standard Lot คุณก็มี Position Long ของ EUR/USD อยู่ หากคุณเปิดสถานะขาย AUD/CAD จำนวน 0.5 Mini Lot คุณก็มี Position Short ของ AUD/CAD อยู่ การบริหารจัดการ Position อย่างเหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยง
คำศัพท์การเทรด | คำอธิบาย |
---|---|
Liquidity | ความสามารถในการซื้อขายสินทรัพย์ได้ง่าย |
Volatility | ระดับการเปลี่ยนแปลงของราคา |
Slippage | ความแตกต่างระหว่างราคาที่ตั้งใจซื้อกับราคาที่ได้จริง |
ประเภทของคู่สกุลเงิน: Major, Minor และ Exotic พร้อมความหมายในมุมมองการเทรด
คุณจะเห็นว่าในตลาด Forex มีคู่สกุลเงินให้เลือกเทรดมากมาย แต่ละคู่ก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจประเภทของคู่สกุลเงินจะช่วยให้คุณเลือกคู่ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
-
คู่เงิน Major (คู่เงินหลัก): คือคู่สกุลเงินที่มี USD (ดอลลาร์สหรัฐ) จับคู่กับสกุลเงินหลักอื่นๆ ของโลก เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CHF, AUD/USD, USD/CAD, NZD/USD คู่เงินเหล่านี้มีลักษณะเด่นคือมี สภาพคล่องสูงมาก ทำให้สเปรดค่อนข้างต่ำและสามารถเข้าออกออเดอร์ได้ง่าย จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพ
-
คู่เงิน Minor (คู่เงินรอง) หรือ Cross Currency Pairs: คือคู่สกุลเงินที่ไม่มี USD เป็นส่วนหนึ่ง แต่ยังคงเป็นสกุลเงินหลักของโลกจับคู่กันเอง เช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY คู่เงินเหล่านี้มีสภาพคล่องน้อยกว่าคู่เงิน Major เล็กน้อย ทำให้สเปรดอาจจะสูงขึ้นและมีความผันผวนที่แตกต่างกันไป
-
คู่เงิน Exotic (คู่เงินแปลกใหม่): คือคู่สกุลเงินที่มีสกุลเงินหลักจับคู่กับสกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หรือประเทศที่มีตลาดขนาดเล็ก เช่น USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐกับบาทไทย), USD/MXN (ดอลลาร์สหรัฐกับเปโซเม็กซิกัน), EUR/TRY (ยูโรกับลีราตุรกี) คู่เงินเหล่านี้มีลักษณะเด่นคือ สภาพคล่องต่ำมาก และ ความผันผวนสูงมาก ทำให้สเปรดกว้างมากและอาจเกิด Slippage ได้ง่าย จึงมีความเสี่ยงสูงและไม่เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่
ประเภทคู่เงิน | คำอธิบาย |
---|---|
Major | คู่เงินที่มี USD จับคู่กับสกุลเงินหลักอื่น |
Minor | คู่เงินที่ไม่มี USD เป็นส่วนหนึ่ง |
Exotic | คู่เงินที่จับคู่กับสกุลเงินจากตลาดเกิดใหม่ |
เลือกโบรกเกอร์อย่างไรให้มั่นใจ: แพลตฟอร์มการเทรดและบริการเสริม
การเลือก โบรกเกอร์ ที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด เพราะโบรกเกอร์คือตัวกลางที่จะเชื่อมคุณเข้ากับตลาด Forex และให้บริการแพลตฟอร์มในการเทรด
-
โบรกเกอร์ (Broker): คือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อคำสั่งซื้อขายของคุณกับตลาด Forex พวกเขาจัดหาแพลตฟอร์มการเทรด อัตราแลกเปลี่ยน และดำเนินการคำสั่งของคุณ โบรกเกอร์ที่ดีควรมีใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือ เช่น ASIC (ออสเตรเลีย), FSCA (แอฟริกาใต้) หรือ FSA (เซเชลส์) เป็นต้น สิ่งนี้ช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลและมีบริการครอบคลุม Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าพิจารณา ด้วยการรับรองจากหลากหลายหน่วยงาน และการให้บริการทั้ง MT4, MT5, Pro Trader รวมถึงบริการเสริมอย่าง VPS ฟรีและทีมสนับสนุนลูกค้าตลอด 24/7
-
แพลตฟอร์มการเทรด (Trading Platform): คือโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่คุณใช้ในการเข้าถึงตลาด Forex วิเคราะห์กราฟ และส่งคำสั่งซื้อขาย แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ซึ่งมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคครบครันและสามารถติดตั้งอินดิเคเตอร์หรือ Expert Advisor (EA) เพิ่มเติมได้ แพลตฟอร์มที่ดีควรใช้งานง่าย มีความเสถียร และมีการประมวลผลคำสั่งที่รวดเร็ว
-
Copy Trade (คัดลอกการเทรด): บริการนี้ช่วยให้นักเทรดมือใหม่สามารถคัดลอกคำสั่งซื้อขายจากนักเทรดมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จได้โดยอัตโนมัติ เป็นวิธีหนึ่งในการเริ่มต้นสำหรับผู้ที่ยังไม่มีเวลาหรือประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาดด้วยตนเอง แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ คุณควรพิจารณาเลือกผู้ให้บริการ Copy Trade ที่มีผลงานโปร่งใสและสอดคล้องกับความเสี่ยงที่คุณรับได้
บริการจากโบรกเกอร์ | คำอธิบาย |
---|---|
โบรกเกอร์ | ตัวกลางในการเชื่อมต่อคำสั่งซื้อขายกับตลาด |
แพลตฟอร์มการเทรด | ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานในการเทรด |
Copy Trade | บริการคัดลอกคำสั่งจากนักเทรดมืออาชีพ |
ศัพท์เพิ่มเติมที่คุณควรรู้: CFD, Derivative และอื่นๆ
เพื่อความเข้าใจที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นี่คือคำศัพท์สำคัญอื่นๆ ที่คุณอาจจะพบเจอในโลกของการเทรด
-
CFD (Contract for Difference): ในการเทรด Forex เรามักจะเทรดผ่าน CFD ซึ่งเป็นสัญญาทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงที่จะชำระส่วนต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ เวลาที่เปิดและปิดสัญญา คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง (เช่น สกุลเงินจริง) แต่คุณกำลังเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคา ข้อดีคือคุณสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง และมักจะใช้ Leverage ได้
-
Derivative (ตราสารอนุพันธ์): CFD เป็นส่วนหนึ่งของตราสารอนุพันธ์ ซึ่งเป็นสัญญาทางการเงินที่มีมูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น สกุลเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์, ดัชนีหุ้น) ตราสารอนุพันธ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่าง เช่น การป้องกันความเสี่ยง (hedging) หรือการเก็งกำไร
-
Floating Profit/Loss (กำไร/ขาดทุนลอยตัว): คือกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากตำแหน่งการเทรดที่คุณเปิดอยู่ หากคุณเปิดสถานะ Long แล้วราคาเพิ่มขึ้น แต่คุณยังไม่ได้ปิดสถานะนั้น นั่นคือกำไรลอยตัว แต่หากราคาลดลง นั่นคือขาดทุนลอยตัว กำไรหรือขาดทุนนี้จะกลายเป็นจริงก็ต่อเมื่อคุณปิดสถานะการเทรดเท่านั้น
-
Drawdown (การถอยหลังของพอร์ตการลงทุน): คือการลดลงของมูลค่าพอร์ตการลงทุนของคุณจากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ เปรียบเสมือนการสูญเสียชั่วคราว หากพอร์ตคุณมีมูลค่าสูงสุดที่ 10,000 ดอลลาร์ แล้วลดลงมาเหลือ 9,000 ดอลลาร์ Drawdown ของคุณคือ 1,000 ดอลลาร์ หรือ 10% การติดตาม Drawdown ช่วยให้คุณประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่รับได้
-
Risk/Reward Ratio (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน): คืออัตราส่วนที่เปรียบเทียบขนาดของความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ (เช่น ระยะห่างของ Stop Loss) กับขนาดของผลตอบแทนที่คุณคาดหวัง (เช่น ระยะห่างของ Take Profit) ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้ง Stop Loss ที่ 20 Pip และ Take Profit ที่ 60 Pip อัตราส่วน Risk/Reward ของคุณคือ 1:3 ซึ่งหมายความว่าทุกๆ ความเสี่ยง 1 หน่วย คุณคาดหวังผลตอบแทน 3 หน่วย การมีอัตราส่วน Risk/Reward ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาผลกำไรในระยะยาว
คำศัพท์ที่ควรรู้ | คำอธิบาย |
---|---|
CFD | สัญญาที่ระบุส่วนต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิง |
Derivative | ตราสารที่มูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง |
Floating Profit/Loss | กำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง |
สรุปเส้นทางการเรียนรู้: ศัพท์ Forex สู่การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
เราได้เดินทางผ่านโลกของคำศัพท์ Forex อันกว้างใหญ่ด้วยกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานอย่างคู่สกุลเงินและสเปรด ไปจนถึงเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่าง Stop Loss และ Take Profit รวมถึงอินดิเคเตอร์ที่ซับซ้อนอย่าง MACD และ RSI ทุกคำศัพท์ที่คุณได้เรียนรู้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจกลไกของตลาดและสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น
จำไว้เสมอว่า การเรียนรู้ในตลาด Forex ไม่มีที่สิ้นสุด และความเข้าใจในคำศัพท์เหล่านี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการนำความรู้ไปฝึกฝนและประยุกต์ใช้จริงบนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะลงสนามจริง การบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด การมีวินัย และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำคุณไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางการเทรด
เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งและเป็นประโยชน์สำหรับคุณในการเป็นนักเทรดที่มีความรู้และมั่นใจ ขอให้คุณสนุกกับการเรียนรู้และประสบความสำเร็จในการเทรดนะครับ!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัพท์ forex
Q:ตลาด Forex คืออะไร?
A:ตลาด Forex คือ ตลาดที่นักลงทุนซื้อขายสกุลเงินต่างๆ โดยมุ่งหวังผลกำไรจากความแตกต่างของราคาสกุลเงิน
Q:Leverage คืออะไร?
A:Leverage คือการใช้เงินที่โบรกเกอร์ให้ยืมเพื่อขยาย กำลังซื้อของนักลงทุน ซึ่งสามารถเพิ่มกำไรได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง
Q:Stop Loss ทำงานอย่างไร?
A:Stop Loss เป็นคำสั่งที่ตั้งไว้เพื่อขายตำแหน่งเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการขาดความสนใจในการเฝ้าตลาด