ศัพท์ Forex ที่มือใหม่ต้องรู้เพื่อการเทรดอย่างชาญฉลาด 2025

สรุปข่าวฟอเร็กซ์

ปูพื้นฐานสู่ความสำเร็จ: ศัพท์ Forex ที่มือใหม่ต้องรู้เพื่อการเทรดอย่างชาญฉลาด

การก้าวเข้าสู่โลกของการเทรด Forex อาจดูซับซ้อนและเต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะทางมากมาย จนบางครั้งอาจทำให้คุณรู้สึกท่วมท้น แต่ไม่ต้องกังวลครับ เพราะเช่นเดียวกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การทำความเข้าใจพื้นฐานคือสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำศัพท์สำคัญต่างๆ ที่เปรียบเสมือนแผนที่นำทางในตลาดเงินตราต่างประเทศอันกว้างใหญ่แห่งนี้

บทความนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นคู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับทั้งนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น และเทรดเดอร์ที่ต้องการเจาะลึกทำความเข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิค เราจะพาคุณไปสำรวจคำศัพท์ Forex พื้นฐานที่จำเป็น ไปจนถึงเครื่องมือวิเคราะห์อันทรงพลัง ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ผสมผสานกับการอธิบายแบบเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้คุณสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้กับการตัดสินใจเทรดได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพสูงสุด

เพราะ การเทรด Forex ไม่ใช่แค่การเก็งกำไร แต่คือการบริหารจัดการความรู้และโอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด เรามาเริ่มต้นการเดินทางอันน่าตื่นเต้นนี้ไปพร้อมกันเลยครับ

  • จัดการความเสี่ยงเพื่อปกป้องทุนที่ลงทุนไป
  • ทำความเข้าใจหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้สำคัญ
  • พัฒนาการเรียนรู้และการทดลองการเทรดบนบัญชีเดโมก่อน

แก่นแท้ของการเทรด: คู่สกุลเงิน, Bid, Ask และต้นทุนที่ซ่อนอยู่ (Spread)

หัวใจสำคัญของการเทรด Forex คือการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เราไม่ได้ซื้อ “หุ้น” หรือ “สินค้า” แบบที่คุ้นเคย แต่เรากำลังซื้อขาย “คู่สกุลเงิน” ซึ่งเป็นรากฐานที่แตกต่างและสำคัญมากที่คุณต้องเข้าใจ

นักเทรดที่มั่นใจวิเคราะห์กราฟ Forex

  • คู่สกุลเงิน (Currency Pair): ลองนึกภาพเวลาที่คุณจะเดินทางไปต่างประเทศแล้วต้องแลกเงิน เช่น แลกเงินบาทไทยเป็นดอลลาร์สหรัฐ (USD/THB) ในตลาด Forex ก็เช่นกันครับ แต่เราจะเห็นเป็นรหัสสากล เช่น EUR/USD, GBP/USD หรือ USD/JPY สกุลเงินตัวแรกเรียกว่า Base Currency (สกุลเงินหลัก) และตัวที่สองเรียกว่า Quote Currency (สกุลเงินอ้างอิง) เมื่อคุณซื้อ EUR/USD นั่นหมายถึงคุณกำลังซื้อยูโรและขายดอลลาร์สหรัฐพร้อมกันในราคาที่ระบุ หากราคานี้เพิ่มขึ้น คุณก็จะได้กำไรจากการขายยูโรกลับคืนในราคาที่สูงขึ้น

  • ราคา Bid (บิด): นี่คือราคาที่โบรกเกอร์ของคุณยินดี “ซื้อ” คู่สกุลเงินนั้นจากคุณ หรืออีกนัยหนึ่งคือราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีจ่าย เปรียบเสมือนอัตราที่คุณสามารถ “ขาย” เงินสกุลหลักของคุณเพื่อแลกกับสกุลเงินอ้างอิง

  • ราคา Ask (แอสก์): ตรงกันข้ามกับ Bid ครับ นี่คือราคาที่โบรกเกอร์ยินดี “ขาย” คู่สกุลเงินนั้นให้กับคุณ หรือราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีขาย เปรียบเสมือนอัตราที่คุณสามารถ “ซื้อ” เงินสกุลหลักของคุณโดยใช้สกุลเงินอ้างอิง

  • สเปรด (Spread): นี่คือส่วนต่างระหว่างราคา Ask และ Bid ที่คุณเห็นบนหน้าจอเทรด และนี่คือ “ต้นทุน” หลักของการเทรดที่คุณต้องจ่ายให้กับโบรกเกอร์ในทุกครั้งที่เปิดคำสั่ง เปรียบได้กับค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงิน หากสเปรดแคบ หมายถึงต้นทุนของคุณต่ำลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรของคุณในระยะยาว ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดที่แข่งขันได้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ให้ความยืดหยุ่นและข้อได้เปรียบทางเทคนิค Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจครับ ด้วยการรองรับแพลตฟอร์มหลักอย่าง MT4, MT5 และ Pro Trader พร้อมการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและสเปรดที่ต่ำ มอบประสบการณ์การเทรดที่ยอดเยี่ยมให้กับคุณ

ประเภทคำศัพท์ คำอธิบาย
คู่สกุลเงิน การซื้อขายระหว่างสองสกุลเงิน
ราคา Bid ราคาที่โบรกเกอร์ยินดีซื้อตัวสกุลเงิน
ราคา Ask ราคาที่โบรกเกอร์ยินดีขายตัวสกุลเงิน

ทำความเข้าใจหน่วยวัดและการเพิ่มอำนาจซื้อขาย: Pip, Lot และ Leverage

เมื่อคุณเข้าใจเรื่องคู่สกุลเงินและราคาแล้ว ต่อไปคือการทำความเข้าใจว่ากำไรหรือขาดทุนของคุณถูกคำนวณอย่างไร และจะเพิ่มอำนาจการซื้อขายของคุณได้อย่างไร

  • Pip (ปิ๊ป): คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงราคาที่เล็กที่สุดในตลาด Forex คำว่า “Pip” ย่อมาจาก “Point in Percentage” โดยทั่วไปแล้ว สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD Pip จะอยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่สี่ของราคา (เช่น จาก 1.0500 ไปเป็น 1.0501 คือ 1 Pip) ส่วนคู่สกุลเงินที่มี JPY (เยนญี่ปุ่น) เช่น USD/JPY Pip จะอยู่ที่ทศนิยมตำแหน่งที่สอง (เช่น จาก 109.00 ไปเป็น 109.01 คือ 1 Pip) การเปลี่ยนแปลงเพียงไม่กี่ Pip สามารถสร้างกำไรหรือขาดทุนจำนวนมากได้ ขึ้นอยู่กับ Lot Size ที่คุณเทรด

  • Lot Size (ล็อต): คือปริมาณหน่วยซื้อขายมาตรฐานในตลาด Forex เปรียบเสมือนจำนวน “ชิ้น” ของสกุลเงินที่คุณกำลังซื้อขาย

    • Standard Lot: เท่ากับ 100,000 หน่วยของ Base Currency

    • Mini Lot: เท่ากับ 10,000 หน่วยของ Base Currency

    • Micro Lot: เท่ากับ 1,000 หน่วยของ Base Currency

    การเลือกขนาดล็อตที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเงินทุนของคุณและการจัดการความเสี่ยง ยิ่งล็อตใหญ่ มูลค่าต่อ Pip ก็จะยิ่งมาก และผลกำไรหรือขาดทุนก็จะยิ่งมากตามไปด้วย

  • Leverage (เลเวอเรจ): นี่คือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการเทรดขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนที่น้อยลงจากโบรกเกอร์ เปรียบเสมือนการที่คุณยืมเงินมาเพื่อขยายกำลังซื้อของคุณ สมมติว่าโบรกเกอร์ให้ Leverage 1:500 หมายความว่าทุกๆ 1 ดอลลาร์ในบัญชีของคุณ คุณสามารถควบคุมตำแหน่งที่มีมูลค่าถึง 500 ดอลลาร์ได้

    คุณอาจคิดว่า “ยอดเยี่ยมเลย!” แต่ Leverage นั้นเป็นดาบสองคม มันสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างมหาศาลเช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ การใช้ Leverage อย่างไม่ระมัดระวังอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว คุณจึงต้องเข้าใจและใช้มันอย่างรอบคอบ

หน่วยที่เกี่ยวข้อง คำอธิบาย
Pip หน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงราคาที่เล็กที่สุด
Lot Size จำนวนหน่วยซื้อขายมาตรฐานใน Forex
Leverage การยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อขยายตำแหน่งการเทรด

หัวใจของการบริหารความเสี่ยง: Stop Loss, Take Profit และ Margin

ในโลกของการเทรด การบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่แค่คำศัพท์ แต่คือหลักปฏิบัติที่สำคัญที่สุดในการปกป้องเงินทุนของคุณ การเทรด Forex มีความผันผวนสูงและคาดเดาไม่ได้เสมอ เครื่องมือเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็น

  • Stop Loss (จุดตัดขาดทุน): นี่คือคำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดตำแหน่งการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับที่คุณกำหนด เพื่อจำกัดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น เปรียบเสมือน “ตาข่ายนิรภัย” ของคุณ หากคุณเปิดสถานะ Long (ซื้อ) แล้วราคาตกลงไปเรื่อยๆ โดยที่คุณไม่ได้เฝ้าหน้าจอ Stop Loss จะช่วยปิดการเทรดของคุณเพื่อป้องกันไม่ให้คุณขาดทุนมากเกินกว่าที่รับได้ นี่คือเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการเทรดอย่างมีวินัย

  • Take Profit (จุดทำกำไร): ตรงกันข้ามกับ Stop Loss ครับ Take Profit คือคำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดตำแหน่งการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนไหวไปถึงระดับเป้าหมายกำไรที่คุณต้องการ เปรียบเสมือน “การเก็บเกี่ยวผลผลิต” เมื่อคุณซื้อแล้วราคาขึ้นตามที่คาดไว้ Take Profit จะช่วยปิดการเทรดของคุณทันทีเพื่อล็อกกำไรไว้ ไม่ว่าคุณจะกำลังหลับอยู่หรือติดภารกิจอื่นใดก็ตาม

  • Margin (มาร์จิ้น): นี่คือเงินประกันที่คุณต้องมีในบัญชีเพื่อเปิดและรักษาสถานะการเทรดของคุณไว้ มันคือส่วนหนึ่งของเงินทุนของคุณที่ถูกกันไว้เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการใช้ Leverage หากระดับ Margin ในบัญชีของคุณลดต่ำลงจนถึงจุดที่โบรกเกอร์กำหนด คุณอาจจะได้รับการแจ้งเตือนที่เรียกว่า Margin Call ซึ่งเป็นการขอให้คุณเติมเงินเพิ่มเพื่อรักษาสถานะการเทรด หรือที่แย่กว่านั้นคือโบรกเกอร์อาจจะปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติเมื่อถึง Stop Out Level เพื่อป้องกันไม่ให้คุณเป็นหนี้เกินตัว

เครื่องมือบริหารความเสี่ยง คำอธิบาย
Stop Loss คำสั่งปิดอัตโนมัติเมื่อราคามาถึงระดับที่กำหนด
Take Profit คำสั่งปิดอัตโนมัติเมื่อทำกำไรถึงเป้าหมาย
Margin เงินประกันในการเปิดและรักษาสถานะการเทรด

สำรวจสภาวะตลาด: ตลาดกระทิง (Bull) และตลาดหมี (Bear) พร้อมปัจจัยที่ขับเคลื่อน

การทำความเข้าใจ สภาวะตลาด เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณวางแผนกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสม ไม่ใช่แค่การมองกราฟเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจบริบทใหญ่ของตลาดด้วย

  • Bull Market (ตลาดขาขึ้น / ตลาดกระทิง): ลองนึกภาพกระทิงที่ใช้เขาขวิดขึ้นข้างบน นั่นคือสภาวะตลาดที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูงและคาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการเปิดสถานะ Long (ซื้อ) เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาพุ่งขึ้น

  • Bear Market (ตลาดขาลง / ตลาดหมี): ตรงกันข้ามครับ ลองนึกภาพหมีที่ใช้มือตบลงมา นั่นคือสภาวะตลาดที่ราคาสินทรัพย์มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงไปอีก ช่วงเวลานี้เหมาะสำหรับการเปิดสถานะ Short (ขาย) เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาตกลง

  • Swap (ค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน): หากคุณเปิดสถานะการเทรดข้ามคืน คุณอาจจะต้องจ่ายหรือได้รับค่า Swap ซึ่งคือค่าดอกเบี้ยที่คำนวณจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสกุลเงินคู่ที่คุณเทรด การที่ Swap เป็นบวกหรือลบนั้นขึ้นอยู่กับว่าคุณซื้อหรือขายสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า หรือต่ำกว่า คู่เงินนั้นๆ เช่น หากคุณซื้อคู่สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยของ Base Currency สูงกว่า Quote Currency คุณอาจได้รับค่า Swap กลับคืน ซึ่งถือเป็นรายได้เล็กน้อย แต่หากตรงกันข้าม คุณก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนี้ให้กับโบรกเกอร์

  • Economic Calendar (ปฏิทินเศรษฐกิจ): นี่คือเครื่องมือสำคัญที่แสดงวันเวลาของการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย, อัตราการว่างงาน, GDP, ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ข้อมูลเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการเคลื่อนไหวของราคาคู่สกุลเงิน เพราะสะท้อนถึงสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ การติดตาม ปฏิทินเศรษฐกิจ จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นและวางแผนการเทรดได้อย่างรัดกุม

สภาวะตลาด คำอธิบาย
Bull Market ตลาดที่มีราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Bear Market ตลาดที่มีราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง
Swap ค่าธรรมเนียมการถือครองข้ามคืน

มือใหม่เรียนรู้ศัพท์ Forex กับครูสอน

เจาะลึกเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค 101: กราฟแท่งเทียน, แนวรับ/แนวต้าน และเส้นแนวโน้ม

นอกจากการทำความเข้าใจพื้นฐานของตลาดแล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็เป็นอีกหนึ่งแขนงความรู้ที่สำคัญที่จะช่วยให้คุณอ่านการเคลื่อนไหวของราคาและคาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของการวิเคราะห์กราฟ

  • กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): เป็นรูปแบบการแสดงราคาที่นิยมมากที่สุดในตลาด Forex และเป็นจุดเริ่มต้นของ การวิเคราะห์ทางเทคนิค แท่งเทียนแต่ละแท่งจะบอกข้อมูลสำคัญ 4 อย่าง คือ ราคาเปิด (Open), ราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low) และราคาปิด (Close) ในกรอบเวลาหนึ่งๆ (เช่น 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน) สีของแท่งเทียนจะบอกว่าราคาปิดสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาเปิด หากสีเขียว (หรือสีขาว) แสดงว่าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด (Bullish) และสีแดง (หรือสีดำ) แสดงว่าราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด (Bearish) การรู้จัก รูปแบบแท่งเทียน ต่างๆ เช่น Doji, Hammer หรือ Engulfing จะช่วยให้คุณอ่านพฤติกรรมของตลาดได้ดีขึ้น

  • แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance): ลองนึกภาพราคาเป็นลูกบอลที่เด้งขึ้นเด้งลง แนวรับคือระดับราคาที่ราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะ “หยุดตก” และเด้งกลับขึ้นไปได้ เปรียบเสมือนพื้นบ้านที่รับลูกบอลไว้ ส่วนแนวต้านคือระดับราคาที่ราคาของสินทรัพย์มีแนวโน้มที่จะ “หยุดขึ้น” และถูกผลักดันให้กลับลงมาได้ เปรียบเสมือนเพดานบ้านที่ต้านลูกบอลไว้ การระบุแนวรับและแนวต้านเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจเข้าและออกจากการเทรด เพราะเป็นจุดที่มักจะมีการกลับตัวของราคา

  • เส้นแนวโน้ม (Trend Line): คือเส้นตรงที่คุณสามารถลากผ่านจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของราคาบนกราฟเพื่อแสดงทิศทางของแนวโน้มราคา

    • แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

    • แนวโน้มขาลง (Downtrend): ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ

    เส้นแนวโน้มช่วยให้คุณมองเห็นทิศทางโดยรวมของตลาด และเมื่อราคา Breakout (ทะลุ) เส้นแนวโน้ม นั่นอาจเป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทิศทางราคา

เครื่องมือวิเคราะห์ คำอธิบาย
กราฟแท่งเทียน การแสดงราคาที่นิยมในตลาด Forex
แนวรับ ระดับราคาที่ราคาตกลงไม่ต่ำลงได้
แนวต้าน ระดับราคาที่ราคาขึ้นไม่สูงขึ้นได้

ตัวแทนสกุลเงินในตลาด Forex

พลังของ Indicator: MACD, RSI, Stochastic และ Bollinger Bands ที่นักเทรดมืออาชีพใช้

นอกเหนือจากกราฟแท่งเทียนและแนวรับ/แนวต้านแล้ว อินดิเคเตอร์ (Indicator) หรือตัวบ่งชี้ทางเทคนิค เป็นเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่คำนวณจากราคาและปริมาณการซื้อขาย เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้ดียิ่งขึ้น นี่คือตัวอย่างบางส่วนที่นิยมใช้กัน:

  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): เป็นอินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้เพื่อระบุ ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ทิศทาง และแรงผลักดัน (momentum) ของราคา MACD ประกอบด้วยเส้นสองเส้นและฮิสโตแกรม การที่เส้น MACD ตัดกับเส้น Signal Line หรือการที่ฮิสโตแกรมอยู่เหนือหรือใต้เส้นศูนย์ มักถูกใช้เป็นสัญญาณซื้อหรือขาย นักเทรดจะมองหา Divergence (การแยกทาง) ระหว่างราคาและ MACD ซึ่งอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มกำลังจะกลับตัว

  • RSI (Relative Strength Index): เป็นอินดิเคเตอร์ที่วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยจะบอกว่าสินทรัพย์นั้นอยู่ในภาวะ ซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือ ขายมากเกินไป (Oversold) RSI มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 หาก RSI เกิน 70 แสดงว่าอาจอยู่ในภาวะ Overbought และราคาอาจปรับตัวลง ในทางกลับกัน หาก RSI ต่ำกว่า 30 แสดงว่าอาจอยู่ในภาวะ Oversold และราคาอาจปรับตัวขึ้น

  • Stochastic Oscillator (ตัวบ่งชี้ Stochastic): คล้ายกับ RSI คือใช้วัดภาวะ Overbought และ Oversold แต่ Stochastic จะเปรียบเทียบราคาปิดของสินทรัพย์กับช่วงราคาที่ซื้อขายได้ในช่วงเวลาหนึ่ง หากค่า Stochastic อยู่เหนือ 80 มักจะถือว่าอยู่ในภาวะ Overbought และหากอยู่ต่ำกว่า 20 มักจะถือว่าอยู่ในภาวะ Oversold การตัดกันของเส้น Stochastic %K และ %D มักถูกใช้เป็นสัญญาณซื้อขายเช่นกัน

  • Bollinger Bands (แถบโบลลิงเจอร์): ประกอบด้วยเส้น Moving Average (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) ตรงกลาง และแถบสองแถบที่อยู่ด้านบนและด้านล่างซึ่งปรับตามความผันผวนของตลาด แถบเหล่านี้จะขยายกว้างขึ้นเมื่อตลาดมีความผันผวนสูง และจะแคบลงเมื่อตลาดมีความผันผวนต่ำ นักเทรดใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุช่วงที่ราคาอาจกลับตัว หรือเพื่อดูว่าราคาอยู่ในโซน Overbought/Oversold เมื่อราคาเคลื่อนที่ไปชนแถบด้านนอก

  • Moving Average Crossover (การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่): เป็นกลยุทธ์ที่ง่ายและนิยม โดยจะใช้เส้น Moving Average สองเส้นที่มีระยะเวลาต่างกัน (เช่น EMA 10 และ EMA 50) เมื่อเส้น Moving Average ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นระยะยาว มักถูกพิจารณาเป็นสัญญาณซื้อ และเมื่อตัดลงต่ำกว่า มักถูกพิจารณาเป็นสัญญาณขาย

เครื่องมือ Indicator คำอธิบาย
MACD ตัวบ่งชี้ที่บอกความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
RSI ตัวบ่งชี้ที่บอกภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
Stochastic ตัวบ่งชี้ที่เปรียบเทียบราคาปิดกับราคาในอดีต

ความสำคัญของสภาพคล่อง, ความผันผวน และ Slippage ในการเทรด Forex

ในการเทรด Forex คุณจะเจอคำศัพท์เหล่านี้บ่อยครั้ง และเป็นสิ่งที่คุณต้องคำนึงถึงในการวางแผนและดำเนินการเทรดของคุณ

  • สภาพคล่อง (Liquidity): หมายถึงความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคา ตลาด Forex เป็นตลาดที่มี สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายมหาศาลตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ แต่สภาพคล่องก็แตกต่างกันไปในแต่ละคู่สกุลเงิน คู่เงิน Major (เช่น EUR/USD, USD/JPY) จะมีสภาพคล่องสูงกว่าคู่เงิน Minor หรือ Exotic

  • ความผันผวน (Volatility): คือระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาด เปรียบเสมือนความปั่นป่วนของทะเล หากตลาดมีความผันผวนสูง ราคาจะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน คู่เงิน Exotic มักมีความผันผวนสูงกว่าคู่เงิน Major และมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ

  • Slippage (การลื่นไถล): คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณตั้งใจจะเข้าซื้อหรือขาย กับราคาที่คุณได้เข้าซื้อหรือขายจริง ปัญหานี้มักเกิดขึ้นในภาวะตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือช่วงที่มีข่าวสำคัญประกาศออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ราคาเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าที่โบรกเกอร์จะจับคู่คำสั่งของคุณกับราคาที่คุณต้องการได้พอดี การลื่นไถลอาจเกิดขึ้นได้ทั้งในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับคุณ (Positive Slippage) หรือในทิศทางที่เป็นโทษกับคุณ (Negative Slippage) โบรกเกอร์ที่มี สภาพคล่องสูง และการประมวลผลคำสั่งที่รวดเร็ว มักจะช่วยลดปัญหาสลิปเพจได้

  • Position (ตำแหน่งการเทรด): คือจำนวนหน่วยของสินทรัพย์ที่คุณถือครองในตลาด หากคุณเปิดสถานะซื้อ EUR/USD จำนวน 1 Standard Lot คุณก็มี Position Long ของ EUR/USD อยู่ หากคุณเปิดสถานะขาย AUD/CAD จำนวน 0.5 Mini Lot คุณก็มี Position Short ของ AUD/CAD อยู่ การบริหารจัดการ Position อย่างเหมาะสมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยง

คำศัพท์การเทรด คำอธิบาย
Liquidity ความสามารถในการซื้อขายสินทรัพย์ได้ง่าย
Volatility ระดับการเปลี่ยนแปลงของราคา
Slippage ความแตกต่างระหว่างราคาที่ตั้งใจซื้อกับราคาที่ได้จริง

ประเภทของคู่สกุลเงิน: Major, Minor และ Exotic พร้อมความหมายในมุมมองการเทรด

คุณจะเห็นว่าในตลาด Forex มีคู่สกุลเงินให้เลือกเทรดมากมาย แต่ละคู่ก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจประเภทของคู่สกุลเงินจะช่วยให้คุณเลือกคู่ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

  • คู่เงิน Major (คู่เงินหลัก): คือคู่สกุลเงินที่มี USD (ดอลลาร์สหรัฐ) จับคู่กับสกุลเงินหลักอื่นๆ ของโลก เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CHF, AUD/USD, USD/CAD, NZD/USD คู่เงินเหล่านี้มีลักษณะเด่นคือมี สภาพคล่องสูงมาก ทำให้สเปรดค่อนข้างต่ำและสามารถเข้าออกออเดอร์ได้ง่าย จึงเป็นที่นิยมสำหรับนักเทรดมือใหม่และมืออาชีพ

  • คู่เงิน Minor (คู่เงินรอง) หรือ Cross Currency Pairs: คือคู่สกุลเงินที่ไม่มี USD เป็นส่วนหนึ่ง แต่ยังคงเป็นสกุลเงินหลักของโลกจับคู่กันเอง เช่น EUR/GBP, EUR/JPY, GBP/JPY คู่เงินเหล่านี้มีสภาพคล่องน้อยกว่าคู่เงิน Major เล็กน้อย ทำให้สเปรดอาจจะสูงขึ้นและมีความผันผวนที่แตกต่างกันไป

  • คู่เงิน Exotic (คู่เงินแปลกใหม่): คือคู่สกุลเงินที่มีสกุลเงินหลักจับคู่กับสกุลเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่หรือประเทศที่มีตลาดขนาดเล็ก เช่น USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐกับบาทไทย), USD/MXN (ดอลลาร์สหรัฐกับเปโซเม็กซิกัน), EUR/TRY (ยูโรกับลีราตุรกี) คู่เงินเหล่านี้มีลักษณะเด่นคือ สภาพคล่องต่ำมาก และ ความผันผวนสูงมาก ทำให้สเปรดกว้างมากและอาจเกิด Slippage ได้ง่าย จึงมีความเสี่ยงสูงและไม่เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่

ประเภทคู่เงิน คำอธิบาย
Major คู่เงินที่มี USD จับคู่กับสกุลเงินหลักอื่น
Minor คู่เงินที่ไม่มี USD เป็นส่วนหนึ่ง
Exotic คู่เงินที่จับคู่กับสกุลเงินจากตลาดเกิดใหม่

เลือกโบรกเกอร์อย่างไรให้มั่นใจ: แพลตฟอร์มการเทรดและบริการเสริม

การเลือก โบรกเกอร์ ที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด เพราะโบรกเกอร์คือตัวกลางที่จะเชื่อมคุณเข้ากับตลาด Forex และให้บริการแพลตฟอร์มในการเทรด

  • โบรกเกอร์ (Broker): คือบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อคำสั่งซื้อขายของคุณกับตลาด Forex พวกเขาจัดหาแพลตฟอร์มการเทรด อัตราแลกเปลี่ยน และดำเนินการคำสั่งของคุณ โบรกเกอร์ที่ดีควรมีใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือ เช่น ASIC (ออสเตรเลีย), FSCA (แอฟริกาใต้) หรือ FSA (เซเชลส์) เป็นต้น สิ่งนี้ช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลและมีบริการครอบคลุม Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าพิจารณา ด้วยการรับรองจากหลากหลายหน่วยงาน และการให้บริการทั้ง MT4, MT5, Pro Trader รวมถึงบริการเสริมอย่าง VPS ฟรีและทีมสนับสนุนลูกค้าตลอด 24/7

  • แพลตฟอร์มการเทรด (Trading Platform): คือโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่คุณใช้ในการเข้าถึงตลาด Forex วิเคราะห์กราฟ และส่งคำสั่งซื้อขาย แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ซึ่งมีเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคครบครันและสามารถติดตั้งอินดิเคเตอร์หรือ Expert Advisor (EA) เพิ่มเติมได้ แพลตฟอร์มที่ดีควรใช้งานง่าย มีความเสถียร และมีการประมวลผลคำสั่งที่รวดเร็ว

  • Copy Trade (คัดลอกการเทรด): บริการนี้ช่วยให้นักเทรดมือใหม่สามารถคัดลอกคำสั่งซื้อขายจากนักเทรดมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จได้โดยอัตโนมัติ เป็นวิธีหนึ่งในการเริ่มต้นสำหรับผู้ที่ยังไม่มีเวลาหรือประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาดด้วยตนเอง แต่ก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ คุณควรพิจารณาเลือกผู้ให้บริการ Copy Trade ที่มีผลงานโปร่งใสและสอดคล้องกับความเสี่ยงที่คุณรับได้

บริการจากโบรกเกอร์ คำอธิบาย
โบรกเกอร์ ตัวกลางในการเชื่อมต่อคำสั่งซื้อขายกับตลาด
แพลตฟอร์มการเทรด ซอฟต์แวร์ที่ใช้งานในการเทรด
Copy Trade บริการคัดลอกคำสั่งจากนักเทรดมืออาชีพ

ศัพท์เพิ่มเติมที่คุณควรรู้: CFD, Derivative และอื่นๆ

เพื่อความเข้าใจที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น นี่คือคำศัพท์สำคัญอื่นๆ ที่คุณอาจจะพบเจอในโลกของการเทรด

  • CFD (Contract for Difference): ในการเทรด Forex เรามักจะเทรดผ่าน CFD ซึ่งเป็นสัญญาทางการเงินที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงที่จะชำระส่วนต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิง ณ เวลาที่เปิดและปิดสัญญา คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง (เช่น สกุลเงินจริง) แต่คุณกำลังเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคา ข้อดีคือคุณสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง และมักจะใช้ Leverage ได้

  • Derivative (ตราสารอนุพันธ์): CFD เป็นส่วนหนึ่งของตราสารอนุพันธ์ ซึ่งเป็นสัญญาทางการเงินที่มีมูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง (เช่น สกุลเงิน, สินค้าโภคภัณฑ์, ดัชนีหุ้น) ตราสารอนุพันธ์ถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่าง เช่น การป้องกันความเสี่ยง (hedging) หรือการเก็งกำไร

  • Floating Profit/Loss (กำไร/ขาดทุนลอยตัว): คือกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากตำแหน่งการเทรดที่คุณเปิดอยู่ หากคุณเปิดสถานะ Long แล้วราคาเพิ่มขึ้น แต่คุณยังไม่ได้ปิดสถานะนั้น นั่นคือกำไรลอยตัว แต่หากราคาลดลง นั่นคือขาดทุนลอยตัว กำไรหรือขาดทุนนี้จะกลายเป็นจริงก็ต่อเมื่อคุณปิดสถานะการเทรดเท่านั้น

  • Drawdown (การถอยหลังของพอร์ตการลงทุน): คือการลดลงของมูลค่าพอร์ตการลงทุนของคุณจากจุดสูงสุดที่เคยทำได้ เปรียบเสมือนการสูญเสียชั่วคราว หากพอร์ตคุณมีมูลค่าสูงสุดที่ 10,000 ดอลลาร์ แล้วลดลงมาเหลือ 9,000 ดอลลาร์ Drawdown ของคุณคือ 1,000 ดอลลาร์ หรือ 10% การติดตาม Drawdown ช่วยให้คุณประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่รับได้

  • Risk/Reward Ratio (อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน): คืออัตราส่วนที่เปรียบเทียบขนาดของความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ (เช่น ระยะห่างของ Stop Loss) กับขนาดของผลตอบแทนที่คุณคาดหวัง (เช่น ระยะห่างของ Take Profit) ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้ง Stop Loss ที่ 20 Pip และ Take Profit ที่ 60 Pip อัตราส่วน Risk/Reward ของคุณคือ 1:3 ซึ่งหมายความว่าทุกๆ ความเสี่ยง 1 หน่วย คุณคาดหวังผลตอบแทน 3 หน่วย การมีอัตราส่วน Risk/Reward ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาผลกำไรในระยะยาว

คำศัพท์ที่ควรรู้ คำอธิบาย
CFD สัญญาที่ระบุส่วนต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิง
Derivative ตราสารที่มูลค่าขึ้นอยู่กับสินทรัพย์อ้างอิง
Floating Profit/Loss กำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

สรุปเส้นทางการเรียนรู้: ศัพท์ Forex สู่การตัดสินใจอย่างชาญฉลาด

เราได้เดินทางผ่านโลกของคำศัพท์ Forex อันกว้างใหญ่ด้วยกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานอย่างคู่สกุลเงินและสเปรด ไปจนถึงเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่าง Stop Loss และ Take Profit รวมถึงอินดิเคเตอร์ที่ซับซ้อนอย่าง MACD และ RSI ทุกคำศัพท์ที่คุณได้เรียนรู้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจกลไกของตลาดและสามารถตัดสินใจเทรดได้อย่างมีเหตุผลมากขึ้น

จำไว้เสมอว่า การเรียนรู้ในตลาด Forex ไม่มีที่สิ้นสุด และความเข้าใจในคำศัพท์เหล่านี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการนำความรู้ไปฝึกฝนและประยุกต์ใช้จริงบนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะลงสนามจริง การบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด การมีวินัย และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำคุณไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางการเทรด

เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งและเป็นประโยชน์สำหรับคุณในการเป็นนักเทรดที่มีความรู้และมั่นใจ ขอให้คุณสนุกกับการเรียนรู้และประสบความสำเร็จในการเทรดนะครับ!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัพท์ forex

Q:ตลาด Forex คืออะไร?

A:ตลาด Forex คือ ตลาดที่นักลงทุนซื้อขายสกุลเงินต่างๆ โดยมุ่งหวังผลกำไรจากความแตกต่างของราคาสกุลเงิน

Q:Leverage คืออะไร?

A:Leverage คือการใช้เงินที่โบรกเกอร์ให้ยืมเพื่อขยาย กำลังซื้อของนักลงทุน ซึ่งสามารถเพิ่มกำไรได้ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง

Q:Stop Loss ทำงานอย่างไร?

A:Stop Loss เป็นคำสั่งที่ตั้งไว้เพื่อขายตำแหน่งเมื่อราคาถึงระดับที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการขาดความสนใจในการเฝ้าตลาด

發佈留言