ทำความเข้าใจ คู่เงิน Forex (Currency Pairs) คืออะไร?
สำหรับผู้เริ่มต้นที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของการเทรด Forex สิ่งแรกที่ควรทำความคุ้นเคยคือ “คู่เงิน” หรือที่เรียกว่า Currency Pairs เพราะนี่คือพื้นฐานสำคัญของตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงินทั้งหมด ต่างจากตลาดหุ้นที่ซื้อขายสินทรัพย์โดยตรง ในตลาด Forex การซื้อขายจะเกิดขึ้นในรูปแบบของการเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสองสกุลเงินเสมอ จึงไม่มีการซื้อขายสกุลเงินเพียงตัวเดียว
กล่าวง่ายๆ ก็คือ ทุกครั้งที่คุณส่งคำสั่งซื้อหรือขายในตลาด Forex คุณกำลังเดิมพันว่าสกุลเงินหนึ่งจะแข็งค่าหรืออ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง ตัวอย่างเช่น การ “ซื้อ” คู่เงิน EUR/USD หมายถึงคุณคาดการณ์ว่าเงินยูโรจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่หากคุณ “ขาย” นั่นแปลว่าคุณคิดว่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลงแทน
ทุกคู่เงินจึงประกอบด้วยสองส่วนหลัก ซึ่งมีความหมายเฉพาะตัวที่ต้องเข้าใจให้ชัดเจน:
- สกุลเงินหลัก (Base Currency): เป็นสกุลเงินตัวแรกในชื่อคู่เงิน อยู่ทางด้านซ้าย เช่น EUR ใน EUR/USD แสดงถึงสกุลเงินที่คุณ “ถือ” หรือต้องการซื้อขาย
- สกุลเงินรอง (Quote Currency): เป็นสกุลเงินที่สองในคู่เงิน อยู่ทางด้านขวา เช่น USD ใน EUR/USD ใช้ระบุราคาของสกุลเงินหลัก นั่นคือบอกว่าคุณต้องใช้กี่หน่วยของสกุลเงินรองเพื่อซื้อหนึ่งหน่วยของสกุลเงินหลัก
ตัวอย่างเช่น หาก EUR/USD แสดงราคาที่ 1.0850 หมายความว่า 1 ยูโร เท่ากับ 1.0850 ดอลลาร์สหรัฐ หรืออีกนัยหนึ่ง คุณต้องจ่ายเงิน 1.0850 ดอลลาร์เพื่อแลก 1 ยูโร การเข้าใจโครงสร้างนี้เป็นก้าวแรกที่จะช่วยให้คุณตีความราคา วิเคราะห์แนวโน้ม และตัดสินใจเทรดได้อย่างมีเหตุผล

ประเภทของคู่เงิน Forex ที่นักเทรดต้องรู้
ตลาด Forex มีคู่เงินให้เลือกเทรดหลายสิบคู่ แต่ไม่ใช่ทุกคู่ที่เหมาะกับทุกคน การแบ่งประเภทคู่เงินจึงช่วยให้นักเทรดเลือกเครื่องมือที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ ความเสี่ยง และประสบการณ์ของตนเอง โดยทั่วไป คู่เงินในตลาดจะถูกจำแนกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ คู่เงินหลัก คู่เงินรอง และคู่เงินแปลกใหม่ ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
1. คู่เงินหลัก (Major Pairs)
คู่เงินหลักคือกลุ่มที่มีการซื้อขายมากที่สุดในตลาด คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของปริมาณการเคลื่อนไหวทั้งหมด จุดเด่นของกลุ่มนี้คือการจับคู่กับดอลลาร์สหรัฐ (USD) เสมอ เนื่องจาก USD เป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าโลก เช่น น้ำมัน ทองคำ และการสำรองเงินตราต่างประเทศของหลายประเทศ
ด้วยปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น คู่เงินหลักจึงมีสภาพคล่อง (Liquidity) สูงที่สุดในตลาด ส่งผลให้ค่าสเปรด (Spread) ต่ำมาก และราคาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ไม่ค่อยเกิดช่องว่างราคา (Gap) ทำให้เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่คุ้นชินกับความผันผวน
โบรกเกอร์อย่าง Moneta Markets มักให้สเปรดต่ำพิเศษในคู่เงินหลัก ซึ่งช่วยลดต้นทุนการเทรดและเพิ่มโอกาสทำกำไร โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์แบบ Scalping หรือ Day Trading
2. คู่เงินรอง (Minor Pairs / Cross-Currency Pairs)
คู่เงินรอง หรือที่รู้จักกันในชื่อ Cross Pairs คือการจับคู่ระหว่างสกุลเงินหลักที่ไม่เกี่ยวกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น EUR/GBP, AUD/JPY หรือ NZD/CAD เป็นต้น แม้จะไม่มี USD เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง แต่คู่เงินเหล่านี้ยังคงมีสภาพคล่องในระดับปานกลาง และมักได้รับความสนใจจากนักเทรดที่ต้องการหลีกเลี่ยงการพึ่งพา USD
อย่างไรก็ตาม ค่าสเปรดของคู่เงินรองมักจะสูงกว่าคู่เงินหลัก และอาจมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ต่อเนื่องในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหลักปิดทำการ จึงเหมาะสมกับนักเทรดที่มีประสบการณ์ระดับกลางขึ้นไป ซึ่งเข้าใจปัจจัยพื้นฐานและเทคนิคการวิเคราะห์ที่ซับซ้อนมากขึ้น
3. คู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs)
คู่เงินแปลกใหม่คือการรวมกันระหว่างสกุลเงินหลักหนึ่งตัวกับสกุลเงินของประเทศที่มีเศรษฐกิจเกิดใหม่ หรือตลาดที่มีขนาดเล็กกว่า เช่น USD/THB, EUR/TRY หรือ GBP/ZAR เป็นต้น กลุ่มนี้มีลักษณะเด่นคือความผันผวนสูงและสภาพคล่องต่ำ ทำให้ราคาอาจกระโดดอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์ทางการเมืองหรือนโยบายของรัฐบาลท้องถิ่น
สเปรดของคู่เงินแปลกใหม่มักกว้างมาก ซึ่งหมายถึงต้นทุนการเทรดสูง และอาจมีความเสี่ยงจากการ “Requote” หรือ “Slippage” มากกว่าปกติ จึงไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ แต่สำหรับนักเทรดที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ก็อาจมองเห็นโอกาสทำกำไรจากการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติได้

เปิดลิสต์ 8 คู่เงินหลัก (Major Pairs) ที่นิยมเทรดทั่วโลก
คู่เงินหลักทั้ง 8 คู่นี้ถือเป็นหัวใจของตลาด Forex และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับนักเทรดทุกคน เพราะมีข้อมูลสนับสนุนมากมาย ทั้งบทวิเคราะห์ ข่าวเศรษฐกิจ และเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แม่นยำ ที่สำคัญ โบรกเกอร์ชั้นนำอย่าง Moneta Markets มักให้เงื่อนไขการเทรดที่ดีที่สุดในคู่เงินกลุ่มนี้ โดยเฉพาะสเปรดต่ำและ execution speed ที่รวดเร็ว ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทุกกลยุทธ์การเทรด
- EUR/USD (Euro / US Dollar)
- ชื่อเล่น: Fiber
- ลักษณะเด่น: คู่เงินที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในโลก มีสภาพคล่องสูงสุดและเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จึงเหมาะกับนักเทรดทุกสไตล์ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
- USD/JPY (US Dollar / Japanese Yen)
- ชื่อเล่น: Gopher
- ลักษณะเด่น: มีความสัมพันธ์กับสภาวะความเสี่ยงของตลาดโลก (Risk-on/Risk-off) โดยปกติเมื่อนักลงทุนเสี่ยงมากขึ้น เงินเยนจะอ่อนค่าลง และกลับกันเมื่อความตื่นตระหนกเพิ่มขึ้น เงินเยนจะแข็งค่า
- GBP/USD (British Pound / US Dollar)
- ชื่อเล่น: Cable
- ลักษณะเด่น: มีความผันผวนสูงกว่า EUR/USD ทำให้มีโอกาสทำกำไรในกรอบกว้าง แต่ก็ต้องแลกมากับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจจากสหราชอาณาจักร
- USD/CHF (US Dollar / Swiss Franc)
- ชื่อเล่น: Swissy
- ลักษณะเด่น: เงินฟรังก์สวิสเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ทำให้มักจะเคลื่อนไหวสวนทางกับ EUR/USD และมีความมั่นคงสูงแม้ในช่วงวิกฤต
- AUD/USD (Australian Dollar / US Dollar)
- ชื่อเล่น: Aussie
- ลักษณะเด่น: มีความสัมพันธ์โดยตรงกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะทองคำและแร่เหล็ก จึงได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อย่างมาก
- USD/CAD (US Dollar / Canadian Dollar)
- ชื่อเล่น: Loonie
- ลักษณะเด่น: ได้รับอิทธิพลอย่างชัดเจนจากราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากแคนาดาเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
- NZD/USD (New Zealand Dollar / US Dollar)
- ชื่อเล่น: Kiwi
- ลักษณะเด่น: มีพฤติกรรมคล้าย AUD/USD แต่มีความผันผวนมากกว่าเล็กน้อย เนื่องจากขนาดเศรษฐกิจที่เล็กกว่าและขึ้นกับสินค้าเกษตร
- EUR/JPY (Euro / Japanese Yen)
- ชื่อเล่น: Yuppy
- ลักษณะเด่น: แม้ไม่มี USD แต่กลับเป็นหนึ่งในคู่เงินที่มีการซื้อขายหนาแน่นที่สุด โดยเฉพาะในช่วง overlap ของตลาดโตเกียวและลอนดอน ความผันผวนสูงทำให้เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเทรดที่ชอบการเคลื่อนไหวเร็ว

ตารางเปรียบเทียบข้อมูลสำคัญของคู่เงินยอดนิยม
เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของคู่เงินแต่ละตัวได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตารางด้านล่างนี้จัดทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบระดับความผันผวน ช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายสูง และลักษณะเฉพาะของแต่ละคู่ ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกคู่เงินที่ตรงกับสไตล์การเทรดและช่วงเวลาที่สะดวกที่สุด
คู่เงิน | ระดับความผันผวน | ช่วงเวลาตลาดที่คึกคักที่สุด | ลักษณะพิเศษที่น่าสนใจ |
---|---|---|---|
EUR/USD | ต่ำ – ปานกลาง | London & New York Overlap (20:00 – 24:00 น. เวลาไทย) | สภาพคล่องสูงสุดในตลาด เหมาะสำหรับมือใหม่และทุกกลยุทธ์ |
GBP/USD | ปานกลาง – สูง | London Session (15:00 – 24:00 น. เวลาไทย) | มีความอ่อนไหวต่อข่าวเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรสูง |
USD/JPY | ปานกลาง | Tokyo & New York Session | มักถูกใช้เป็นตัวชี้วัดสภาวะความเสี่ยงของตลาดโลก |
AUD/USD | ปานกลาง | Tokyo & New York Session | มีความสัมพันธ์กับราคาทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ |
GBP/JPY | สูงมาก | Tokyo & London Overlap | รู้จักกันในชื่อ “The Beast” หรือ “Dragon” เพราะวิ่งแรงและผันผวนสูง |
USD/THB | สูง (สำหรับ Exotic) | ช่วงเวลาทำการของธนาคารในประเทศ | ได้รับอิทธิพลจากนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยสูง |
วิธีการเลือกคู่เงิน Forex ให้เหมาะกับสไตล์ของคุณ
ไม่มีคู่เงินใดที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกคน เพราะการเลือกขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น กลยุทธ์การเทรด ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเวลาว่างที่คุณสามารถติดตามตลาดได้ อย่างไรก็ตาม การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละกลุ่มจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและสอดคล้องกับแผนการลงทุนของตัวเอง
สำหรับนักเทรดระยะสั้น (Scalper/Day Trader):
นักเทรดที่เน้นการเก็บกำไรเล็กน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ จำเป็นต้องการคู่เงินที่มีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำที่สุด เพื่อให้สามารถเข้าออกออเดอร์ได้ทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โบรกเกอร์อย่าง Moneta Markets มักมีเงื่อนไขพิเศษสำหรับนักเทรดกลุ่มนี้ เช่น สเปรดต่ำตั้งแต่ 0.0 pips ในคู่เงินหลัก
- คู่เงินที่แนะนำ: EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD
- เหตุผล: มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นตลอดวัน โดยเฉพาะในช่วง London และ New York overlap ทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างราบรื่นและมีโอกาสจับจังหวะทำกำไรได้หลายครั้ง
สำหรับนักเทรดระยะยาว (Swing/Position Trader):
กลุ่มนี้ไม่ได้กังวลกับการเคลื่อนไหวรายวันมากนัก แต่ต้องการถือออเดอร์เป็นสัปดาห์หรือเดือนเพื่อตามเทรนด์ใหญ่ จึงสามารถยอมรับสเปรดที่สูงขึ้นเล็กน้อยได้ แต่ต้องการคู่เงินที่มีแนวโน้มชัดเจนและขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ติดตามได้
- คู่เงินที่แนะนำ: AUD/USD, NZD/USD, USD/CAD
- เหตุผล: คู่เงินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์มักจะมีแนวโน้มต่อเนื่องตามวัฏจักรเศรษฐกิจ ทำให้การวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐานมีประสิทธิภาพสูง เช่น การวิเคราะห์ราคาน้ำมันสำหรับ USD/CAD หรือราคาทองคำสำหรับ AUD/USD
ตอบคำถาม “คู่เงิน forex ที่ วิ่ง แรง pantip”:
ในวงการเทรดไทย คำว่า “วิ่งแรง” ที่นิยมพูดกันในชุมชนอย่าง Pantip หมายถึงคู่เงินที่มีความผันผวนสูง (High Volatility) ซึ่งราคาอาจขยับขึ้นหรือลงหลายร้อย pips ภายในวันเดียว ทำให้โอกาสทำกำไรเร็วสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่อาจขาดทุนอย่างรวดเร็วหากไม่บริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
- ตัวอย่างคู่เงินที่วิ่งแรง: GBP/JPY, GBP/AUD, EUR/NZD, และ XAU/USD (ทองคำ)
- คำเตือน: การเทรดคู่เงินเหล่านี้ต้องอาศัยประสบการณ์ การตั้ง stop-loss อย่างมีวินัย และความเข้าใจในปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อน ไม่ควรเริ่มต้นจากคู่เงิน “วิ่งแรง” โดยขาดพื้นฐาน เพราะอาจทำให้ขาดทุนหนักได้
8 คู่เงินหลัก Forex (Major Pairs) ที่นิยมเทรดกันมีอะไรบ้าง?
8 คู่เงินหลักที่ได้รับความนิยมสูงสุด ประกอบด้วยคู่เงินที่จับคู่กับ USD 7 คู่ และคู่เงินรองที่มีสภาพคล่องสูงอีก 1 คู่ ได้แก่: EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD, USD/CHF, AUD/USD, USD/CAD, NZD/USD, และ EUR/JPY ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดทั่วโลก
สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นเทรดคู่เงินไหนดีที่สุด?
สำหรับมือใหม่ คู่เงินที่แนะนำที่สุดคือ EUR/USD เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงสุด ทำให้มีค่าสเปรดต่ำที่สุดในตลาด นอกจากนี้ยังมีข้อมูล บทวิเคราะห์ และข่าวสารให้ติดตามเป็นจำนวนมาก ทำให้ง่ายต่อการเรียนรู้และฝึกฝนการเทรด
“คู่เงินที่วิ่งแรง” ที่พูดถึงกันใน Pantip หมายถึงอะไร และมีความเสี่ยงอย่างไร?
“คู่เงินที่วิ่งแรง” หมายถึงคู่เงินที่มีความผันผวนของราคาสูงในแต่ละวัน เช่น GBP/JPY หรือ XAU/USD (ทองคำ) ข้อดีคือมีโอกาสทำกำไรได้มากในเวลาสั้นๆ แต่ข้อเสียและความเสี่ยงที่สำคัญคืออาจขาดทุนอย่างรวดเร็วหากคาดการณ์ผิดพลาด จึงต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมและไม่เหมาะกับมือใหม่
ตลาด Forex มีคู่เงินให้เทรดทั้งหมดกี่คู่?
ในทางทฤษฎี มีคู่เงินเกิดขึ้นได้มากมายจากการจับคู่สกุลเงินทั่วโลก แต่โดยทั่วไปแล้วโบรกเกอร์ Forex จะมีคู่เงินให้บริการประมาณ 40-100 คู่ ซึ่งครอบคลุมทั้งคู่เงินหลัก, คู่เงินรอง และคู่เงินแปลกใหม่ที่น่าสนใจ ตัวเลข “28 คู่” ที่มักได้ยินกันมาจากการคำนวณคู่เงินที่เกิดจากการจับคู่กันของ 8 สกุลเงินหลัก (AUD, CAD, CHF, EUR, GBP, JPY, NZD, USD) นั่นเอง
วิธีอ่านราคาคู่เงิน Forex เช่น EUR/USD = 1.0750 หมายความว่าอย่างไร?
หมายความว่า 1 หน่วยของสกุลเงินหลัก (EUR) มีมูลค่าเท่ากับ 1.0750 หน่วยของสกุลเงินรอง (USD) หรือพูดง่ายๆ คือคุณต้องใช้เงิน 1.0750 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแลกซื้อเงิน 1 ยูโร ณ เวลานั้น
สภาพคล่อง (Liquidity) และความผันผวน (Volatility) ของคู่เงินคืออะไร และสำคัญต่อนักเทรดอย่างไร?
- สภาพคล่อง (Liquidity) คือปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น ทำให้คุณสามารถซื้อหรือขายได้ง่ายในราคาที่ต้องการและมีค่าสเปรดต่ำ คู่เงินที่มีสภาพคล่องสูงจึงเหมาะกับการเทรดทุกรูปแบบ
- ความผันผวน (Volatility) คือการแกว่งตัวของราคาในกรอบที่กว้าง ความผันผวนสูงหมายถึงโอกาสทำกำไร (และขาดทุน) ที่สูงขึ้น นักเทรดต้องเลือกคู่เงินที่มีระดับความผันผวนที่สอดคล้องกับแผนการเทรดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ช่วงเวลาไหนของวันที่เหมาะกับการเทรดคู่เงินมากที่สุด?
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือช่วงที่ตลาดหลักของโลกเปิดทำการซ้อนทับกัน (Overlap) โดยเฉพาะช่วงที่ตลาดลอนดอนและตลาดนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน คือประมาณ 20:00 น. – 24:00 น. ตามเวลาประเทศไทย ช่วงเวลานี้ตลาดจะมีสภาพคล่องและความผันผวนสูงสุด ทำให้เป็นโอกาสที่ดีในการเทรด ข้อมูลจาก BabyPips แสดงให้เห็นว่าปริมาณการซื้อขายจะหนาแน่นที่สุดในช่วงเวลานี้
เราสามารถเทรดคู่เงินบาท (USD/THB) ได้หรือไม่ และเหมาะกับใคร?
สามารถเทรดได้ โบรกเกอร์หลายแห่งมีคู่เงิน USD/THB ให้บริการ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pair) มีลักษณะเด่นคือสเปรดค่อนข้างกว้างและได้รับอิทธิพลสูงจากนโยบายการเงินของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และภาวะเศรษฐกิจในประเทศ เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีความเข้าใจในเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างดีและยอมรับความเสี่ยงจากสภาพคล่องที่น้อยกว่าคู่เงินหลักได้