เปิดโลก Options: กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงและสร้างผลกำไรในทุกสภาวะตลาด
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวน ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องเผชิญหน้าอยู่เสมอใช่ไหมครับ? ไม่ว่าจะเป็นข่าวเศรษฐกิจ, การเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือแม้แต่ปัจจัยทางจิตวิทยา ล้วนส่งผลกระทบต่อทิศทางของตลาดหุ้นได้อย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์เช่นนี้ การมีเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถบริหารความเสี่ยง และยังคงมีโอกาสสร้างผลกำไรได้ ไม่ว่าตลาดจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแม้กระทั่งไซด์เวย์ ก็ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
- การดำเนินพิธีการซื้อขาย Options ต้องการการวางแผนที่ดี
- นักลงทุนต้องใส่ใจในการติดตามข้อมูลเศรษฐกิจที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุน
- การเข้าใจหลักการทำงานของตลาด Options มีความสำคัญสำหรับการบริหารความเสี่ยง
บทความนี้ เราจะพาทุกท่านดำดิ่งสู่โลกของ Options หรือ สิทธิอนุพันธ์ ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีความซับซ้อน แต่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ หากคุณเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้อง เราจะมาเรียนรู้ไปพร้อมกันว่า Options คืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง และเราจะใช้ประโยชน์จากมันเพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างไร รวมถึงการไขความลับเพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรในทุกสภาวะตลาด
เป้าหมายของเราคือการช่วยให้คุณซึ่งเป็นนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่ต้องการทำความเข้าใจพื้นฐาน หรือผู้ที่ต้องการลงลึกในกลยุทธ์ขั้นสูง สามารถก้าวข้ามความซับซ้อนของ Options และนำความรู้นี้ไปปรับใช้กับการลงทุนของคุณได้อย่างมั่นใจ พร้อมแล้วหรือยังครับ? ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มต้นการเดินทางนี้ไปด้วยกัน!
Options คืออะไร: ทำความเข้าใจสิทธิและภาระผูกพันที่คุณต้องรู้
เริ่มต้นด้วยคำถามพื้นฐานที่สุด: Options คืออะไร? Options หรือที่ในภาษาไทยเรียกว่า สิทธิอนุพันธ์ คือสัญญาทางการเงินที่มอบ “สิทธิ” แต่ไม่ใช่ “ภาระผูกพัน” ให้แก่ผู้ถือสัญญาในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่ตกลงกันไว้ (เรียกว่า ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด (จนถึงวันหมดอายุ) สำหรับสิทธินี้ ผู้ซื้อจะต้องจ่าย “ค่าพรีเมี่ยม” ให้กับผู้ขาย
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังจะซื้อรถยนต์คันหนึ่ง แต่ยังไม่แน่ใจเรื่องราคาในอนาคต คุณอาจจะขอทำสัญญาที่ให้สิทธิ์คุณซื้อรถคันนั้นในราคาปัจจุบันภายใน 3 เดือน โดยคุณยอมจ่ายเงินมัดจำเล็กน้อย นี่แหละครับคือหลักการทำงานของ Options คุณได้สิทธิ์ แต่ไม่มีภาระผูกพัน ถ้าถึงเวลาแล้วราคาไม่น่าสนใจ คุณก็แค่ไม่ใช้สิทธิ์ แต่เงินมัดจำนั้นก็จะเสียไป ซึ่งคล้ายคลึงกับค่าพรีเมี่ยมของ Options นั่นเอง
หัวใจสำคัญของ Options คือการแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:
- Call Options (คอลออปชัน): สัญญาที่ให้สิทธิแก่ “ผู้ซื้อ” ในการ ซื้อ สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิภายในวันหมดอายุ และสร้างภาระผูกพันแก่ “ผู้ขาย” ในการ ขาย สินทรัพย์อ้างอิงนั้นตามที่ผู้ซื้อใช้สิทธิ ผู้ซื้อ Call Options มักคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต หากราคาปรับขึ้นเกินกว่าราคาใช้สิทธิรวมค่าพรีเมี่ยม ก็มีโอกาสทำกำไร
- Put Options (พุตออปชัน): สัญญาที่ให้สิทธิแก่ “ผู้ซื้อ” ในการ ขาย สินทรัพย์อ้างอิงในราคาใช้สิทธิภายในวันหมดอายุ และสร้างภาระผูกพันแก่ “ผู้ขาย” ในการ ซื้อ สินทรัพย์อ้างอิงนั้นตามที่ผู้ซื้อใช้สิทธิ ผู้ซื้อ Put Options มักคาดการณ์ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัวลดลงในอนาคต Put Options จึงมักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงและป้องกันความเสียหายในพอร์ตการลงทุน
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายในสัญญา Options ก็จะมีบทบาทและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจพื้นฐานตรงนี้คือรากฐานสำคัญก่อนจะก้าวไปสู่กลยุทธ์ที่ซับซ้อนต่อไปครับ
เจาะลึก Put Options: เกราะป้องกันพอร์ตในตลาดขาลง
เมื่อพูดถึงการบริหารความเสี่ยงในตลาดหุ้นที่ผันผวน Put Options ถือเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง หลายคนเปรียบเทียบการซื้อ Put Options ว่าเหมือนกับการ “ซื้อประกันพอร์ต” การลงทุนของคุณเลยทีเดียว เพราะมันช่วยจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากราคาหุ้นที่คุณถืออยู่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง
ลองนึกภาพสถานการณ์ที่คุณถือหุ้นจำนวนมากในพอร์ตการลงทุน และคาดการณ์ว่าในระยะอันใกล้นี้ ตลาดหุ้นอาจเข้าสู่ช่วงตลาดขาลง หรือเผชิญกับภาวะตลาดผันผวนอย่างหนัก หากคุณไม่ต้องการขายหุ้นทั้งหมดทิ้งไป แต่ก็ต้องการป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น คุณสามารถ “ซื้อ Put Options” ที่มีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นดัชนีหรือหุ้นที่คุณถืออยู่ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณมีสิทธิที่จะ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงนั้นในราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่กำหนดไว้ ไม่ว่าราคาตลาดจริงจะลดลงไปมากแค่ไหนก็ตาม
ตัวอย่างการทำงานของ Put Options ในตลาด SET50 Index Options:
- สินทรัพย์อ้างอิง: SET50 Index
- ราคาปัจจุบันของ SET50 Index: 900 จุด
- ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ของ Put Option ที่คุณเลือก: 880 จุด
- ค่าพรีเมี่ยม (ต้นทุนที่คุณจ่าย): 10 จุด
- วันหมดอายุ: 2 เดือนข้างหน้า
สถานการณ์ที่เป็นไปได้:
- ตลาด SET50 ปรับตัวลง: หากถึงวันหมดอายุ SET50 Index ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 850 จุด (ต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ 880 จุด) คุณสามารถใช้สิทธิของคุณเพื่อ “ขาย” ดัชนี SET50 ที่ 880 จุด แม้ว่าราคาตลาดจะอยู่ที่ 850 จุดก็ตาม ซึ่งจะช่วยชดเชยการขาดทุนจากหุ้นในพอร์ตของคุณได้ โดยคุณได้ประโยชน์จากการลดลง 30 จุด (880 – 850) หักด้วยค่าพรีเมี่ยม 10 จบ เท่ากับคุณได้กำไรสุทธิ 20 จุด จาก Put Option นี้ การซื้อ Put Option ในสถานการณ์เช่นนี้เปรียบเสมือนการที่คุณได้ทำประกันพอร์ตเอาไว้ ช่วยให้คุณคุ้มครองพอร์ตจากการปรับตัวลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ตลาด SET50 ปรับตัวขึ้นหรือทรงตัว: หากถึงวันหมดอายุ SET50 Index ปรับตัวขึ้นไปที่ 920 จุด หรือทรงตัวที่ 880 จุด คุณก็จะไม่ใช้สิทธิของคุณ (เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะขายที่ 880 จุด ในเมื่อราคาตลาดสูงกว่า) คุณจะขาดทุนเพียงแค่ค่าพรีเมี่ยม 10 จุดที่คุณจ่ายไปเท่านั้น
สถานการณ์ | ผลลัพธ์ |
---|---|
ตลาด SET50 ปรับตัวลง | ขายที่ราคา 880 จุดได้กำไรสุทธิ 20 จุด |
ตลาด SET50 ปรับตัวขึ้นหรือตรง | ขาดทุนเพียงค่าพรีเมี่ยม 10 จุด |
นี่แสดงให้เห็นว่าการซื้อ Put Options ทำให้คุณมีขาดทุนจำกัดอยู่แค่ค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป แต่มีศักยภาพในการป้องกันความเสียหายได้อย่างไม่จำกัด หากตลาดปรับตัวลงรุนแรง
สำรวจ Call Options: โอกาสสร้างกำไรในจังหวะตลาดขาขึ้น
ในขณะที่ Put Options ถูกใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงและบริหารความเสี่ยงในตลาดขาลง Call Options กลับเป็นเครื่องมือที่ถูกใช้เพื่อแสวงหาโอกาสในการสร้างผลกำไรในสถานการณ์ที่คาดการณ์ว่าสินทรัพย์อ้างอิงจะมีราคาปรับตัวสูงขึ้น หรือที่เรียกว่าตลาดขาขึ้น หากคุณเป็นนักลงทุนที่มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นหรือดัชนีใดดัชนีหนึ่ง แต่ไม่อยากลงทุนด้วยเงินจำนวนมากในการซื้อขายสินทรัพย์นั้นโดยตรง การซื้อ Call Options อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
หลักการทำงานของ Call Options คือการให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่ตกลงกันไว้ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ซื้อ Call Options จะได้รับประโยชน์หากราคาตลาดของสินทรัพย์อ้างอิงปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าราคาใช้สิทธิและค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้ซื้อก็สามารถใช้สิทธิ์ซื้อสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด และนำไปขายต่อในราคาตลาดที่สูงกว่าเพื่อทำกำไร หรือเลือกที่จะขาย Call Option นั้นทิ้งไปเพื่อรับผลต่างของค่าพรีเมี่ยม
ตัวอย่างการทำงานของ Call Options ในตลาด SET50 Index Options:
- สินทรัพย์อ้างอิง: SET50 Index
- ราคาปัจจุบันของ SET50 Index: 880 จุด
- ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ของ Call Option ที่คุณเลือก: 900 จุด
- ค่าพรีเมี่ยม (ต้นทุนที่คุณจ่าย): 15 จุด
- วันหมดอายุ: 3 เดือนข้างหน้า
สถานการณ์ที่เป็นไปได้:
- ตลาด SET50 ปรับตัวขึ้น: หากถึงวันหมดอายุ SET50 Index ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 940 จุด (สูงกว่าราคาใช้สิทธิ 900 จุด) คุณสามารถใช้สิทธิของคุณเพื่อ “ซื้อ” ดัชนี SET50 ที่ 900 จุด และหากเป็นการซื้อขายดัชนี สามารถเปรียบเทียบกับราคาตลาดปัจจุบันที่ 940 จุดได้ คุณได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้น 40 จุด (940 – 900) หักด้วยค่าพรีเมี่ยม 15 จุด เท่ากับคุณได้กำไรสุทธิ 25 จุด จาก Call Option นี้ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำกำไรในตลาดขาขึ้น
- ตลาด SET50 ปรับตัวลงหรือทรงตัว: หากถึงวันหมดอายุ SET50 Index ปรับตัวลงมาที่ 870 จุด หรือทรงตัวที่ 890 จุด (ไม่เกิน 900 จุด) คุณก็จะไม่ใช้สิทธิ์ของคุณ (เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะซื้อที่ 900 จุด ในเมื่อราคาตลาดต่ำกว่า) คุณจะขาดทุนเพียงแค่ค่าพรีเมี่ยม 15 จุดที่คุณจ่ายไปเท่านั้น
สถานการณ์ | ผลลัพธ์ |
---|---|
ตลาด SET50 ปรับตัวขึ้น | ซื้อที่ราคา 900 จุดได้กำไรสุทธิ 25 จุด |
ตลาด SET50 ปรับตัวลงหรือตรง | ขาดทุนเพียงค่าพรีเมี่ยม 15 จุด |
การซื้อ Call Options จึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการแสวงหากำไรจากภาวะตลาดขาขึ้น โดยมีขาดทุนจำกัดอยู่ที่ค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป แต่มีศักยภาพในการทำกำไรสูงหากการคาดการณ์เป็นไปตามที่คิดไว้ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นโดยตรงที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่า
ความเข้าใจราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และค่าพรีเมี่ยม: หัวใจของ Options
เมื่อเราพูดถึง Options ไม่ว่าจะเป็น Call Options หรือ Put Options สององค์ประกอบสำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งคือ ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และ ค่าพรีเมี่ยม การทำความเข้าใจสองสิ่งนี้คือหัวใจสำคัญในการเลือกกลยุทธ์และการคำนวณผลตอบแทนและความเสี่ยงในการลงทุนของคุณ
ราคาใช้สิทธิ (Strike Price): จุดกำหนดการทำกำไรและขาดทุน
ราคาใช้สิทธิ คือราคาที่ผู้ซื้อ Options มีสิทธิที่จะซื้อ (สำหรับ Call Options) หรือขาย (สำหรับ Put Options) สินทรัพย์อ้างอิงเมื่อใช้สิทธิ์ตามสัญญา ราคาใช้สิทธิเป็นตัวแปรคงที่ที่ระบุไว้ในสัญญา Options และไม่เปลี่ยนแปลงตลอดอายุสัญญา การเลือกราคาใช้สิทธิที่เหมาะสมกับมุมมองตลาดของคุณเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
- สำหรับ Call Options: ยิ่งราคาใช้สิทธิ์ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบันมากเท่าไหร่ Call Option นั้นก็จะยิ่งมี “มูลค่าในตัว” มากขึ้น และมีค่าพรีเมี่ยมสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะมีโอกาสสูงที่จะทำกำไรได้
- สำหรับ Put Options: ยิ่งราคาใช้สิทธิ์สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันมากเท่าไหร่ Put Option นั้นก็จะยิ่งมี “มูลค่าในตัว” มากขึ้น และมีค่าพรีเมี่ยมสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะมีโอกาสสูงที่จะป้องกันความเสียหายได้
การเลือก Strike Price ที่ “เหมาะสม” ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และความคาดการณ์ของคุณ นักลงทุนบางคนอาจเลือก Strike Price ที่ “ใกล้เงิน” (At-the-Money) คือใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบัน เพื่อความสมดุลระหว่างโอกาสทำกำไรและค่าพรีเมี่ยมที่ต้องจ่าย ในขณะที่บางคนอาจเลือก Strike Price ที่ “นอกเงิน” (Out-of-the-Money) ซึ่งมีค่าพรีเมี่ยมถูกกว่า เพื่อเก็งกำไรในกรณีที่สินทรัพย์อ้างอิงมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง
ค่าพรีเมี่ยม: ราคาของสิทธิ์และสิ่งที่ผู้ซื้อต้องจ่าย ผู้ขายได้รับ
ค่าพรีเมี่ยม คือราคาที่ผู้ซื้อ Options ต้องจ่ายให้กับผู้ขาย (หรือผู้เขียน Options) เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ์ในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิง ค่าพรีเมี่ยมเป็นราคาที่ถูกกำหนดโดยกลไกตลาดและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามปัจจัยหลายประการ โดยหลักแล้ว ค่าพรีเมี่ยมประกอบด้วยสองส่วนสำคัญ:
- มูลค่าในตัว (Intrinsic Value): คือส่วนของค่าพรีเมี่ยมที่สะท้อนถึงมูลค่าทันทีที่ Options นั้นมี หากคุณสามารถใช้สิทธิ์แล้วทำกำไรได้ทันที เช่น Call Option ที่มี Strike Price ต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ก็จะมี Intrinsic Value
- มูลค่าตามเวลา (Time Value หรือ Extrinsic Value): คือส่วนที่เหลือของค่าพรีเมี่ยมที่สะท้อนถึงโอกาสที่ Options นั้นจะกลายเป็นกำไรก่อนหมดอายุ ยิ่ง Options มีเวลาเหลือจนถึงวันหมดอายุมากเท่าไหร่ มูลค่าตามเวลาก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เพราะมีโอกาสที่ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ผู้ซื้อต้องการ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าพรีเมี่ยมยังรวมถึง ความผันผวน ของสินทรัพย์อ้างอิง (ยิ่งผันผวนมาก ค่าพรีเมี่ยมยิ่งสูง) และอัตราดอกเบี้ย (มีผลเล็กน้อย) การทำความเข้าใจว่าปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อค่าพรีเมี่ยมอย่างไร จะช่วยให้คุณสามารถประเมินมูลค่าของ Options และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น
พลังของ Time Decay (การเสื่อมค่าตามเวลา): ปัจจัยสำคัญที่นักเทรด Options ต้องระวัง
หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดและเป็นเอกลักษณ์ของ Options ที่นักเทรดทุกคนต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้คือ Time Decay หรือ การเสื่อมค่าตามเวลา หากคุณเป็นผู้ซื้อ Options ไม่ว่าจะเป็น Call Options หรือ Put Options เวลาคือศัตรูของคุณครับ! แต่หากคุณเป็นผู้ขาย Options เวลาคือเพื่อนของคุณ
Time Decay คืออะไร?
ดังที่เราได้กล่าวไปในส่วนของค่าพรีเมี่ยมแล้วว่า ค่าพรีเมี่ยมของ Options ประกอบด้วย “มูลค่าในตัว” และ “มูลค่าตามเวลา” Time Decay คือปรากฏการณ์ที่มูลค่าตามเวลาของ Options ลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป และจะเร่งตัวเร็วขึ้นเมื่อ Options ใกล้จะถึงวันหมดอายุ
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เพราะว่ายิ่งเหลือเวลามากเท่าไหร่ โอกาสที่สินทรัพย์อ้างอิงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ผู้ซื้อต้องการก็ยิ่งมีมากเท่านั้น ดังนั้น “เวลา” จึงมีมูลค่าในตัวเอง แต่เมื่อเวลาเหลือน้อยลง โอกาสเหล่านั้นก็ลดลง ทำให้มูลค่าตามเวลาของ Options ลดลงตามไปด้วย หากถึงวันหมดอายุแล้ว Options ไม่สามารถใช้สิทธิ์ทำกำไรได้ (เช่น Call Option ที่ราคาตลาดต่ำกว่า Strike Price หรือ Put Option ที่ราคาตลาดสูงกว่า Strike Price) มูลค่าทั้งหมดของ Options นั้นก็จะกลายเป็นศูนย์ และผู้ซื้อจะขาดทุนเท่ากับค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป
ผลกระทบของ Time Decay ต่อการเทรด Options:
- สำหรับผู้ซื้อ Options (Long Call/Long Put): Time Decay เป็นปัจจัยลบที่สำคัญที่สุด เพราะทุกวันที่ผ่านไป คุณกำลังสูญเสียมูลค่าจาก Options ของคุณ ถึงแม้ว่าราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะทรงตัวก็ตาม ดังนั้น การซื้อ Options จึงเหมาะกับการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและรุนแรง และไม่เหมาะกับการถือ Options ไว้นานเกินไปโดยไม่มีการเคลื่อนไหวของราคา
- สำหรับผู้ขาย Options (Short Call/Short Put): Time Decay เป็นปัจจัยบวก เพราะผู้ขายจะได้รับประโยชน์จากการที่มูลค่าตามเวลาของ Options ลดลง ทำให้ค่าพรีเมี่ยมที่พวกเขาได้รับจากการขาย Options นั้น “ลดลง” ไปเรื่อยๆ ซึ่งหมายถึงกำไรสำหรับผู้ขายหากราคาไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์อย่างรุนแรง
การทำความเข้าใจ Time Decay ช่วยให้คุณสามารถเลือกวันหมดอายุของ Options ได้อย่างเหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณ หากคุณคาดการณ์ว่าตลาดจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว Options ที่มีอายุสั้นอาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในแง่ของเปอร์เซ็นต์กำไรต่อความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม Options ที่มีอายุสั้นก็มีความอ่อนไหวต่อ Time Decay มากกว่าเช่นกัน นักลงทุนที่มีประสบการณ์มักจะพิจารณาการบริหารจัดการ Options ก่อนที่จะมีการเสื่อมค่าอย่างรุนแรงครับ
กลยุทธ์ Options พื้นฐาน: ทางเลือกสำหรับทุกสภาวะตลาด
หนึ่งในข้อดีที่โดดเด่นของ Options คือความยืดหยุ่นที่ช่วยให้เราสามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์การลงทุนได้หลากหลาย ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม ไม่ว่าคุณจะมองว่าตลาดกำลังจะขึ้น ลง หรือแม้กระทั่งไม่ไปไหนเลย ก็มีกลยุทธ์ Optionsที่เหมาะสมรองรับ นี่คือกลยุทธ์พื้นฐานบางส่วนที่คุณควรรู้:
-
Long Call (ซื้อ Call Options):
มุมมองตลาด: คาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
วิธีการ: ซื้อ Call Options โดยจ่ายค่าพรีเมี่ยม
ผลตอบแทนและความเสี่ยง: กำไรไม่จำกัด ขาดทุนจำกัดเท่ากับค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในตลาดขาขึ้นด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่าการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรง
-
Long Put (ซื้อ Put Options):
มุมมองตลาด: คาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือต้องการป้องกันความเสี่ยง
วิธีการ: ซื้อ Put Options โดยจ่ายค่าพรีเมี่ยม
ผลตอบแทนและความเสี่ยง: กำไรไม่จำกัด ขาดทุนจำกัดเท่ากับค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป
เหมาะสำหรับ: การบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน หรือเก็งกำไรในตลาดขาลง
-
Covered Call (ขาย Call Options แบบมีหลักประกัน):
มุมมองตลาด: คาดว่าราคาหุ้นที่คุณถืออยู่จะทรงตัวหรือขึ้นเล็กน้อย
วิธีการ: คุณต้องถือหุ้นของบริษัทนั้นอยู่แล้ว (เป็นหลักประกัน) แล้วขาย Call Optionsที่มีราคาใช้สิทธิสูงกว่าราคาที่คุณซื้อหุ้นมา
ผลตอบแทนและความเสี่ยง: ได้รับค่าพรีเมี่ยมเป็นรายได้เพิ่มเติม หากราคาไม่ขึ้นเกิน Strike Price แต่ถ้าขึ้นเกิน ก็อาจถูกเรียกใช้สิทธิ และหุ้นจะถูกขายออกไปที่ราคาใช้สิทธิ
เหมาะสำหรับ: นักลงทุนที่ต้องการสร้างรายได้จากหุ้นที่ถืออยู่ โดยเฉพาะในช่วงตลาด Sideway หรือตลาดที่คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ
-
Protective Put (ซื้อ Put Options เพื่อป้องกัน):
มุมมองตลาด: คาดว่าราคาหุ้นที่คุณถืออยู่จะผันผวนหรืออาจปรับตัวลง แต่ยังต้องการถือหุ้นไว้
วิธีการ: คุณถือหุ้นอยู่แล้ว และซื้อ Put Options เพื่อปกป้องความเสี่ยงขาลง
ผลตอบแทนและความเสี่ยง: คล้ายกับการซื้อประกันพอร์ต ขาดทุนจำกัดแค่ค่าพรีเมี่ยมหากราคาหุ้นปรับตัวขึ้น แต่จะช่วยจำกัดการขาดทุนหากราคาหุ้นดิ่งลง
เหมาะสำหรับ: การคุ้มครองพอร์ตในสภาวะตลาดผันผวนโดยไม่ต้องขายหุ้นออกไป
-
Straddle (ซื้อ Call และ Put พร้อมกัน):
มุมมองตลาด: คาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะมีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในอนาคตอันใกล้ แต่ไม่แน่ใจทิศทาง
วิธีการ: ซื้อ Call Options และ Put Options ที่มี Strike Price เดียวกันและวันหมดอายุเดียวกัน
ผลตอบแทนและความเสี่ยง: กำไรไม่จำกัดหากราคาเคลื่อนไหวเกินกว่าจุดคุ้มทุน (Strike Price + ค่าพรีเมี่ยมรวม) ขาดทุนจำกัดเท่ากับค่าพรีเมี่ยมรวมที่จ่ายไป
เหมาะสำหรับ: การเก็งกำไรในช่วงที่มีข่าวสำคัญ เช่น การประกาศผลประกอบการ หรือการตัดสินใจนโยบายสำคัญ ที่คาดว่าจะทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ Options ที่มีอยู่มากมาย การเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับมุมมองตลาดและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การศึกษาเพิ่มเติมและฝึกฝนจะช่วยให้คุณเชี่ยวชาญในการใช้เครื่องมือเหล่านี้ครับ
ข้อดีและข้อควรระวังในการเทรด Options: ภาพรวมที่คุณต้องรู้
เหมือนกับเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ Options มีทั้งข้อดีที่น่าสนใจและข้อควรระวังที่สำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจซื้อขาย เพื่อให้การลงทุนของคุณเป็นไปอย่างชาญฉลาดและยั่งยืน
ข้อดีของการเทรด Options:
- ความยืดหยุ่นสูง: Options ช่วยให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การลงทุนที่รองรับได้ทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดขาขึ้น ตลาดขาลง หรือแม้กระทั่งตลาด Sideway คุณสามารถสร้างกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้นเพื่อจำกัดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทำกำไรได้
- การป้องกันความเสี่ยง (Hedging): ดังที่เราได้กล่าวไปแล้ว Put Options เป็นเครื่องมือชั้นยอดในการบริหารความเสี่ยงและป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน เปรียบเสมือนการซื้อประกันพอร์ต ช่วยจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับตัวลงของราคาหุ้น
- โอกาสทำกำไรในทุกสภาวะตลาด: คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ตลาดเป็นขาขึ้นเท่านั้นถึงจะทำกำไรได้ ด้วย Options คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งจากตลาดที่ขึ้น (ด้วย Call Options) ตลาดที่ลง (ด้วย Put Options) และแม้กระทั่งตลาดที่คาดว่าจะทรงตัวหรือผันผวนในกรอบ (ด้วยกลยุทธ์อื่นๆ เช่น Covered Call หรือ Straddle)
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ: การซื้อ Options ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อยกว่าการซื้อสินทรัพย์อ้างอิงโดยตรงมาก (คือค่าพรีเมี่ยม) ซึ่งหมายถึงการใช้ประโยชน์จากเงินลงทุน (Leverage) ได้สูงกว่า หากการคาดการณ์ของคุณถูกต้อง ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมากเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้น
ข้อควรระวังในการเทรด Options:
- ความซับซ้อน: Options มีแนวคิดที่ซับซ้อนมากกว่าการซื้อขายหุ้นทั่วไป ทั้งเรื่องราคาใช้สิทธิ วันหมดอายุ Time Decay และการคำนวณกำไร/ขาดทุน ผู้เริ่มต้นอาจต้องใช้เวลาในการศึกษาและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
- การเสื่อมค่าตามเวลา (Time Decay): นี่คือปัจจัยสำคัญที่ผู้ซื้อ Options ต้องระวัง เพราะมูลค่าของ Options จะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะเมื่อใกล้ถึงวันหมดอายุ หากราคาของสินทรัพย์อ้างอิงไม่เคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ต้องการอย่างรวดเร็ว ผู้ซื้อ Options ก็อาจขาดทุนได้จาก Time Decay
- ความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะการขาย Option แบบไม่มีการป้องกัน (Naked Selling): ในขณะที่การซื้อ Options มีขาดทุนจำกัดอยู่ที่ค่าพรีเมี่ยมที่จ่ายไป แต่การ “ขาย Options” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาย Call Options แบบไม่มีหลักประกัน (Naked Call Selling) หรือ Put Options แบบไม่มีหลักประกัน (Naked Put Selling) มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ไม่จำกัด เพราะคุณมีภาระผูกพันที่จะต้องซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด ไม่ว่าราคาตลาดจะไปไกลแค่ไหนก็ตาม การทำ Naked Selling ควรทำโดยผู้ที่มีประสบการณ์และความเข้าใจในความเสี่ยงเป็นอย่างดีเท่านั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดร้ายแรง เราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจพื้นฐานอย่างละเอียด และอาจลองฝึกฝนในบัญชีจำลองก่อนที่จะลงสนามจริงเสมอครับ การเรียนรู้และระมัดระวังคือหนทางสู่ความสำเร็จในการลงทุนครับ
Options ในตลาด TFEX: ทำไม SET50 Index Options จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยม?
สำหรับนักลงทุนในประเทศไทย ตลาดหลักที่ให้บริการซื้อขาย Options คือ ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) TFEX เปิดโอกาสให้คุณสามารถซื้อขายตราสารอนุพันธ์หลากหลายประเภท หนึ่งในนั้นคือ SET50 Index Options ซึ่งเป็นสินค้าอ้างอิงที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
ทำไม SET50 Index Options จึงเป็นตัวเลือกยอดนิยม?
- อ้างอิงกับดัชนีหลักของประเทศ: SET50 Index Options มีสินทรัพย์อ้างอิงคือ ดัชนี SET50 ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวของหุ้นขนาดใหญ่ 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย ทำให้ง่ายต่อการติดตามและวิเคราะห์ภาพรวมของตลาดโดยไม่ต้องวิเคราะห์หุ้นรายตัว
- สภาพคล่องสูง: เนื่องจากความนิยมและฐานนักลงทุนที่กว้างขวาง ทำให้ SET50 Index Options มีสภาพคล่องในการซื้อขายค่อนข้างสูง การมีสภาพคล่องที่ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเข้าและออกจากสถานะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการบริหารความเสี่ยงหรือทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา
- เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงพอร์ตโดยรวม: สำหรับนักลงทุนที่ถือพอร์ตการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ การใช้ Put Options ที่อ้างอิง SET50 Index เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม โดยไม่ต้องไปทำ Hedging กับหุ้นแต่ละตัว ซึ่งอาจซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
เมื่อคุณต้องการซื้อขาย Options ใน TFEX สิ่งที่คุณต้องพิจารณาคือ:
- ราคาใช้สิทธิ (Strike Price): เลือกให้สอดคล้องกับมุมมองและกลยุทธ์การลงทุนของคุณ
- วันหมดอายุ: มีให้เลือกหลายเดือน ควรเลือกที่เหมาะสมกับกรอบเวลาการลงทุนและการคาดการณ์ของคุณ
- สภาพคล่องของ Options แต่ละรุ่น: Options แต่ละ Strike Price และแต่ละเดือนหมดอายุอาจมีสภาพคล่องไม่เท่ากัน ควรเลือกในรุ่นที่มีสภาพคล่องดี เพื่อให้สามารถเข้าออกได้ง่าย
ปัจจัยที่ต้องพิจารณา | คำอธิบาย |
---|---|
ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) | เลือกให้สอดคล้องกับมุมมองการลงทุน |
วันหมดอายุ | เลือกที่เหมาะสมกับกรอบเวลาการลงทุน |
สภาพคล่อง | ตรวจสอบสภาพคล่องของ Options แต่ละรุ่นเพื่อความคล่องตัว |
การเข้าใจบทบาทของ TFEX และการเลือก SET50 Index Options ที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงและทำกำไรในตลาดหุ้นไทยครับ
อิทธิพลของเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายภาครัฐต่อตลาด Options
ในการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ฟิวเจอร์ หรือแม้แต่ Options การทำความเข้าใจปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายของภาครัฐเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะปัจจัยเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดหุ้นและตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงราคาของ Options ด้วย
เราได้เห็นว่าในบางช่วงเวลา ดัชนี SET Index และ SET50 Index มีการปรับลดลง (เช่น การลดลงใน 2 เดือนแรกของปี 2568 ตามข้อมูลที่เรามี) ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้มักจะกระตุ้นให้เกิดความสนใจในการใช้ Put Options เพื่อบริหารความเสี่ยงและป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
ปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและนโยบายภาครัฐที่ส่งผลต่อตลาด Options:
- การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: การตัดสินใจของธนาคารแห่งประเทศไทยในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมักมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดดอกเบี้ยสามารถทำให้ต้นทุนการกู้ยืมลดลง และอาจส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มเป็นตลาดขาขึ้น และหนุนความน่าสนใจของ Call Options
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ: รัฐบาลมักจะออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ยกตัวอย่างเช่น การแจกเงินดิจิทัล โครงการ Jump+ การผลักดันแปลง กองทุน LTF เป็น Thai ESGx หรือแม้กระทั่งการนำเงินจาก กองทุนวายุภักษ์ มาใช้เพื่อหนุนภาคตลาดทุน มาตรการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ สร้างความเชื่อมั่น และอาจดึงดูดเม็ดเงินใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตลาดขาขึ้นหรือลดความผันผวนของตลาดได้
- ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน: นโยบายและมาตรการต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน เมื่อนักลงทุนมีความเชื่อมั่น พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดคึกคักและลดความผันผวนลง ในทางกลับกัน หากมีปัจจัยลบที่ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง เช่น สถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน หรือวิกฤตเศรษฐกิจโลก ตลาดก็อาจเข้าสู่ภาวะตลาดผันผวนหรือตลาดขาลง ซึ่งจะทำให้ Put Options เป็นที่นิยมมากขึ้นในการบริหารความเสี่ยง
ปัจจัย | ผลกระทบ |
---|---|
การปรับลดอัตราดอกเบี้ย | ส่งเสริมเศรษฐกิจและตลาดขาขึ้น |
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ | สร้างความเชื่อมั่นและเพิ่มกำลังซื้อ |
ความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน | สร้างความน่าสนใจและลดความผันผวน |
ในฐานะนักลงทุน การติดตามข่าวสารและทำความเข้าใจผลกระทบของปัจจัยเหล่านี้ต่อตลาดหุ้นไทยและ TFEX จะช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนใน Options ได้อย่างเหมาะสม ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดว่านโยบายรัฐบาลจะส่งผลดีต่อตลาด คุณอาจพิจารณาซื้อ Call Options หรือหากคุณกังวลเกี่ยวกับปัจจัยลบ คุณอาจเลือกใช้ Put Options เพื่อคุ้มครองพอร์ตของคุณครับ
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน: ก้าวสู่ความเชี่ยวชาญในตลาด Options
การเดินทางในโลกของ Options นั้นเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทาย บทสรุปของบทความนี้ เราอยากจะมอบคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ เพื่อช่วยให้คุณซึ่งเป็นนักลงทุนสามารถก้าวไปสู่ความเชี่ยวชาญและประสบความสำเร็จในการเทรด Options ได้อย่างยั่งยืน
1. ศึกษาและทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง:
อย่าหยุดเรียนรู้! แม้บทความนี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกแล้ว แต่โลกของ Options ยังมีอะไรอีกมากให้คุณค้นหา ทำความเข้าใจทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็น Call Options, Put Options, ราคาใช้สิทธิ (Strike Price), ค่าพรีเมี่ยม, วันหมดอายุ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Time Decay (การเสื่อมค่าตามเวลา) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นักเทรด Options ต้องระวังเสมอ ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไหร่ การตัดสินใจของคุณก็จะยิ่งมีคุณภาพมากขึ้นเท่านั้น
2. เริ่มต้นด้วยเงินลงทุนจำกัด:
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย หรือลองฝึกฝนในบัญชีจำลอง (Paper Trading) ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การทำเช่นนี้ช่วยให้คุณได้ทดลองกลยุทธ์การลงทุนต่างๆ โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงินจริง และคุณจะสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดได้อย่างสบายใจ
3. กำหนดแผนการเทรดและบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด:
ก่อนที่คุณจะเข้าสู่การซื้อขายใดๆ ให้กำหนดแผนการเทรดที่ชัดเจนเสมอ ตั้งเป้าหมายกำไรที่ต้องการ และที่สำคัญที่สุดคือ กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่คุณยอมรับได้ การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ยั่งยืน การใช้ Options ในการป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน หรือการใช้กลยุทธ์เช่น Protective Put ก็เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงที่ชาญฉลาด
4. ติดตามข่าวสารเศรษฐกิจและตลาด:
ตลาดหุ้นและตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือมาตรการส่งเสริมตลาดทุน การติดตามข่าวสารเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของตลาด และสามารถปรับกลยุทธ์ Options ของคุณให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้
5. ใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นของ Options:
Options มอบความยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อในการทำกำไรในทุกสภาวะตลาด ลองพิจารณาการใช้กลยุทธ์ที่หลากหลาย ไม่ใช่แค่ Long Call หรือ Long Put เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลยุทธ์ที่ซับซ้อนขึ้นอย่าง Covered Call หรือ Straddle ซึ่งสามารถปรับใช้ได้ทั้งในตลาดขาขึ้น ตลาดขาลง หรือตลาดผันผวน การเรียนรู้กลยุทธ์ที่หลากหลายจะเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและช่วยบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ท้ายที่สุดแล้ว Options ไม่ว่าจะเป็น Call Options หรือ Put Options ล้วนเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพสูงในการบริหารความเสี่ยงและสร้างผลกำไร หากนักลงทุนมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในกลไก ความเสี่ยง และผลตอบแทน การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด และเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด Options และช่วยให้นักลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้อย่างมั่นใจ ขอให้ทุกท่านโชคดีกับการลงทุนนะครับ!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับput call option คือ
Q:Options คืออะไร?
A:Options หรือสิทธิอนุพันธ์คือสัญญาทางการเงินที่มีสิทธิในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่ตกลงกันไว้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
Q:Put Options ใช้อย่างไร?
A:Put Options ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาสินทรัพย์ โดยผู้ซื้อมีสิทธิขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด
Q:Call Options คืออะไร?
A:Call Options คือสิทธิในการซื้อสินทรัพย์ในราคาที่กำหนด และใช้เมื่อคาดว่าราคาสินทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต