การเก็งกำไร (Speculation) แค่ไหนที่รู้จักในปี 2023?

ผู้เริ่มต้นลงทุน

การเก็งกำไร (Speculation) คืออะไร?

การเก็งกำไร คือ การซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่ดำเนินการโดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น โดยผู้ที่เข้าร่วมยอมรับความเสี่ยงในระดับสูง เพราะคาดการณ์ว่าราคาจะเคลื่อนไหวในทิศทางที่ตนคาดไว้ ต่างจากการลงทุนทั่วไปที่พิจารณามูลค่าพื้นฐานของสินทรัพย์ การเก็งกำไรเน้นไปที่การคาดเดาแนวโน้มของตลาดในอนาคตอันใกล้ ผ่านปัจจัยหลายด้าน เช่น ข่าวสารเร่งด่วน อารมณ์ของนักลงทุน หรือแบบแผนการเคลื่อนไหวของราคาที่สังเกตได้จากกราฟ

นักเก็งกำไรมักจะประเมินความเสี่ยงอย่างมีระบบ พวกเขาไม่ได้เดิมพันแบบมั่ว ๆ แต่อาศัยเครื่องมือวิเคราะห์และกลยุทธ์เฉพาะตัวเพื่อเพิ่มโอกาสชนะในตลาดที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงยังคงสูงอยู่ แม้จะมีการวางแผน การขาดทุนจึงเป็นสิ่งที่ต้องพร้อมรับมืออยู่เสมอ โดยทั่วไป การเก็งกำไรพบได้บ่อยในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เช่น หุ้น คริปโท หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าและออกตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว บางครั้งอาจถือครองเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

เทรดเดอร์กำลังวิเคราะห์กราฟในตลาดที่วุ่นวาย

ความแตกต่างที่สำคัญ: การเก็งกำไร vs การลงทุน

แม้เป้าหมายสุดท้ายของทั้งสองแนวทางคือการสร้างผลตอบแทน แต่วิธีการ แนวคิด และมุมมองต่อความเสี่ยงนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้ผู้มีส่วนร่วมในตลาดการเงินสามารถเลือกแนวทางที่สอดคล้องกับบุคลิกภาพ ความรู้ และความทนทานต่อความผันผวนของตนเองได้อย่างเหมาะสม

ด้านล่างนี้คือการเปรียบเทียบรายละเอียดระหว่างการเก็งกำไรและการลงทุน ที่ครอบคลุมมิติหลัก ๆ ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น:

ปัจจัยเปรียบเทียบ การเก็งกำไร (Speculation) การลงทุน (Investment)
กรอบระยะเวลา ระยะสั้น (วัน, สัปดาห์, เดือน) ระยะยาว (หลายปีขึ้นไป)
ระดับความเสี่ยง สูงมาก ต่ำกว่า (ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์)
แหล่งที่มาของผลตอบแทน กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) เงินปันผล, ดอกเบี้ย, การเติบโตของมูลค่ากิจการ
วิธีการวิเคราะห์ เน้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis), ข่าวสาร, อารมณ์ตลาด เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

กรอบระยะเวลา (Time Horizon)

หนึ่งในความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือระยะเวลาที่ใช้ในการถือครองสินทรัพย์ นักเก็งกำไรมองหาโอกาสที่จะทำกำไรในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาอาจเปิดและปิดตำแหน่งหลายครั้งต่อวัน หรือที่เรียกว่า “เดย์เทรด” หรือ “สเกิร์ปเปอร์” ในขณะที่นักลงทุนเลือกที่จะถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานาน โดยเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทหรือเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งต้องใช้เวลาให้มูลค่าสะท้อนออกมาอย่างแท้จริง

ระดับความเสี่ยง (Risk Level)

การเก็งกำไรเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงสูงโดยธรรมชาติ เนื่องจากต้องอาศัยการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น และมักจะใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอัตราทด (Leverage) เช่น ฟิวเจอร์สหรือ CFDs ซึ่งสามารถทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนเพิ่มขึ้นได้หลายเท่า ในทางตรงกันข้าม การลงทุนเน้นการกระจายความเสี่ยง (Diversification) และการถือครองระยะยาว เพื่อให้เวลาช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนรายวันของตลาด

หุ้นเก็งกำไรและสกุลเงินดิจิทัลกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

แหล่งที่มาของผลตอบแทน (Source of Return)

สำหรับนักเก็งกำไร ผลตอบแทนหลักมาจากการซื้อในราคาต่ำและขายในราคาสูงในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยไม่ได้สนใจว่าสินทรัพย์นั้นมีรายได้หรือผลตอบแทนเชิงรับ (เช่น ปันผลหรือดอกเบี้ย) หรือไม่ ในทางกลับกัน นักลงทุนมองหาผลตอบแทนหลายช่องทาง ทั้งจากการเติบโตของมูลค่าหุ้น การรับปันผลประจำปี หรือดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ ซึ่งเป็นกระแสเงินสดที่สามารถนำไปใช้ต่อได้จริง

วิธีการวิเคราะห์ (Analysis Method)

นักเก็งกำไรส่วนใหญ่พึ่งพา การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นหลัก โดยศึกษาพฤติกรรมราคาในอดีต รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) และสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เช่น RSI, MACD หรือ Moving Averages เพื่อคาดการณ์ทิศทางในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จบางรายก็ไม่ได้ละเลยข่าวสารหรือข้อมูลเศรษฐกิจมหภาค (Macro News) เช่น ตัวเลขเงินเฟ้อ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ซึ่งสามารถกระตุ้นความผันผวนได้ทันที ในทางตรงกันข้าม นักลงทุนจะวิเคราะห์จากข้อมูลพื้นฐาน เช่น อัตราส่วนทางการเงิน รายได้ กำไร หนี้สิน และทิศทางกลยุทธ์ของบริษัท เพื่อประเมินว่าหุ้นนั้น “ถูก” หรือ “แพง” เมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง

ประเภทของการเก็งกำไรที่พบบ่อยในตลาดการเงิน

การเก็งกำไรไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดหุ้นเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวน ซึ่งดึงดูดนักเทรดที่ต้องการโอกาสทำกำไรอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ การเข้าใจประเภทของตลาดที่เหมาะกับการเก็งกำไรจะช่วยให้เลือกกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม

หุ้นเก็งกำไร (Speculative Stocks)

หุ้นกลุ่มนี้มักเป็นบริษัทที่มีขนาดเล็ก หรืออยู่ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ โดยยังไม่มีผลประกอบการที่มั่นคง หรืออาจเป็นหุ้นที่อยู่ภายใต้กระแสข่าวด้านบวก เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ การควบรวมกิจการ หรือได้รับคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ ทำให้ราคาหุ้นขยับตัวแรงในช่วงสั้น ๆ นักเก็งกำไรจะเข้าซื้อในช่วงที่คาดว่าความสนใจจากตลาดกำลังเพิ่มขึ้น และพยายามทำกำไรก่อนที่แรงซื้อจะหมดไป ตัวอย่างแพลตฟอร์มที่นิยมสำหรับการซื้อขายหุ้นลักษณะนี้คือ Moneta Markets ซึ่งให้การเข้าถึงหุ้นทั่วโลกในหลายตลาด พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัยสำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น

การเก็งกำไรทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ (Gold & Commodities)

ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือถั่วเหลือง มักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยภายนอก เช่น ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของอุปทาน-อุปสงค์ หรือข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ นักเก็งกำไรจึงใช้ตลาดฟิวเจอร์สหรือ CFD เพื่อเดิมพันทิศทางของราคา โดยไม่จำเป็นต้องครอบครองสินค้าจริง ตัวอย่างเช่น นักเทรดอาจเปิดสถานะซื้อทองคำเมื่อคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง หรือซึ่งจะทำให้สกุลเงินอ่อนค่าและเพิ่มความน่าสนใจของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ

ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives)

ฟิวเจอร์ส ออปชัน หรือ CFDs เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักเก็งกำไร เนื่องจากให้ความสามารถในการใช้เงินทุนน้อยแต่ควบคุมมูลค่าสินทรัพย์ได้มากกว่าหลายเท่า (Leverage) ซึ่งเป็นดาบสองคม — ทั้งเพิ่มโอกาสทำกำไร และเพิ่มความเสี่ยงการขาดทุนได้อย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น การใช้ Leverage 1:100 หมายถึง ใช้เงินเพียง 1,000 บาท เพื่อควบคุมสถานะมูลค่า 100,000 บาท หากราคาเคลื่อนไหวเพียง 1% ตามที่คาด ก็สามารถทำกำไรได้ถึง 1,000 บาท แต่หากเคลื่อนไหวสวนทาง ก็จะขาดทุนเต็มจำนวน

สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies)

ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี เช่น Bitcoin หรือ Ethereum มีความผันผวนสูงมาก บางครั้งราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า 10-20% ภายในวันเดียว ทำให้เป็นแหล่งหล่อเลี้ยงของนักเก็งกำไรทั่วโลก ปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคาไม่เพียงแค่ข่าวสารหรือการยอมรับจากสถาบัน แต่ยังรวมถึงอารมณ์ตลาด (FOMO หรือ FUD) ที่ส่งผลต่อแรงซื้อแรงขายอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เข้ามาในตลาดนี้ต้องมีจิตวิทยาที่แข็งแกร่ง และใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด

การบริหารความเสี่ยงในการเทรด แสดงภาพรวมของกลยุทธ์การจัดการพอร์ต

ถอดบทเรียนจากนักเก็งกำไรระดับโลก

การศึกษาแนวทางของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ไม่เพียงให้มุมมองเชิงกลยุทธ์ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของวินัยและการจัดการอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักไม่แพ้ความรู้ด้านเทคนิค

George Soros

จอร์จ โซรอส ถือเป็นหนึ่งในนักเก็งกำไรที่กล้าหาญที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาโด่งดังจากเหตุการณ์ในปี 1992 เมื่อเดิมพันว่าเงินปอนด์ของอังกฤษจะต้องถอนตัวจากกลุ่ม ERM (Exchange Rate Mechanism) เนื่องจากเศรษฐกิจไม่สามารถรักษาระดับค่าเงินได้ โซรอสจึงทุ่มทุนกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขายเงินปอนด์ จนกลายเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “การล้มธนาคารกลางอังกฤษ” และสร้างกำไรให้เขาเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ หลักการสำคัญของเขาคือ “ทฤษฎีการสะท้อนกลับ” ที่ชี้ว่า ความเชื่อของตลาดสามารถกลับไปส่งผลต่อข้อมูลพื้นฐานได้จริง ทำให้ตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวตามตรรกะเพียงอย่างเดียว แต่ถูกขับเคลื่อนด้วยพฤติกรรมของผู้เล่นด้วย

Jesse Livermore

เจสซี ลิเวอร์มอร์ คือนักเก็งกำไรระดับตำนานของตลาดหุ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เขาสามารถทำกำไรนับล้านดอลลาร์จากการคาดการณ์ตลาดขาลงในช่วงวิกฤติปี 1929 หนังสือ “Reminiscences of a Stock Operator” ที่เขียนขึ้นจากชีวประวัติของเขา ยังคงเป็นคัมภีร์ของเทรดเดอร์ทั่วโลก หนึ่งในกฎทองของเขาคือ “ตัดขาดทุนให้เร็ว และปล่อยให้กำไรงอกงาม” ซึ่งยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญของกลยุทธ์การจัดการพอร์ตในยุคปัจจุบัน

จิตวิทยาและข้อผิดพลาดที่ควรระวังในการเก็งกำไร

ความสำเร็จในการเก็งกำไรไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้หรือเครื่องมือเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับการควบคุมจิตใจอย่างเข้มงวด ตลาดไม่เคยผิด แต่มนุษย์มักตัดสินใจผิดพลาดจากอารมณ์

กับดักที่พบบ่อยที่สุดคือ ความโลภ ที่ทำให้เราไม่ยอมปิดสถานะทั้งที่กำไรเริ่มลดลง, ความกลัว ที่ทำให้เรารีบขายทิ้งในจังหวะที่ตลาดแค่สะเทือนเล็กน้อย, และ FOMO (Fear of Missing Out) ที่ผลักให้เราเข้าตลาดในจังหวะท้าย ๆ ของเทรนด์ จนเสี่ยงติดดอยหรือขาดทุนหนัก การมีวินัย แผนการเทรด และกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็น

หนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) โดยเฉพาะในตลาดที่ใช้ Leverage สูง เช่น ฟอเร็กซ์หรือ CFDs ซึ่งหากไม่มีการจำกัดความเสี่ยง อาจทำให้สูญเสียเงินทุนทั้งหมดในไม่กี่วินาที Moneta Markets ให้บริการเครื่องมือจัดการความเสี่ยงที่ทันสมัย รวมถึงการตั้ง Stop Loss และ Take Profit อัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถบริหารพอร์ตได้อย่างมีวินัยแม้ไม่ได้อยู่หน้าจอตลอดเวลา

Speculator vs. Hedger: สองบทบาทที่แตกต่างในตลาด

ในตลาดการเงิน โดยเฉพาะตลาดอนุพันธ์ สองกลุ่มผู้เล่นหลักคือ Speculator และ Hedger ซึ่งมีบทบาทต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่กลับพึ่งพาอาศัยกัน

Speculator คือผู้ที่ “รับความเสี่ยง” โดยสมัครใจ เพื่อคาดหวังผลกำไรจากความผันผวนของราคา พวกเขาเป็นเชื้อเพลิงของตลาดที่ทำให้เกิดสภาพคล่องและราคาสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในทางกลับกัน Hedger คือผู้ที่ “ต้องการลดความเสี่ยง” เช่น บริษัทส่งออกที่กังวลเรื่องค่าเงิน หรือเกษตรกรที่กลัวราคาพืชผลจะตกในอนาคต จึงใช้สัญญาฟิวเจอร์สเพื่อล็อกราคาล่วงหน้า โดยไม่ได้หวังทำกำไร แต่ต้องการความแน่นอนในการดำเนินธุรกิจ ตามข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย การป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นกลยุทธ์สำคัญของภาคเอกชนที่ทำให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมั่นคง

ดังนั้น Speculator และ Hedger จึงเป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน Speculator รับความเสี่ยงที่ Hedger ไม่ต้องการ ซึ่งทำให้ตลาดสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น

การเก็งกำไร มีอะไรบ้างที่นิยมในปัจจุบัน?

สินทรัพย์ที่นิยมใช้ในการเก็งกำไรในปัจจุบันมีหลากหลายประเภท โดยมักเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง ได้แก่:

  • หุ้นเก็งกำไร: หุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่มีข่าวเฉพาะตัว
  • สกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies): เช่น Bitcoin, Ethereum ที่มีราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
  • ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives): เช่น Futures, Options ซึ่งมีอัตราทดสูง
  • ทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์: เก็งกำไรตามสภาวะเศรษฐกิจโลก

Speculator คือใคร และแตกต่างจาก Hedger อย่างไร?

Speculator (นักเก็งกำไร) คือผู้ที่ยอมรับความเสี่ยงเพื่อคาดหวังผลกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น ในขณะที่ Hedger (ผู้ป้องกันความเสี่ยง) คือผู้ที่ต้องการลดหรือถ่ายโอนความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาที่อาจกระทบต่อธุรกิจหลักของตนเอง สรุปง่ายๆ คือ Speculator “วิ่งเข้าหา” ความเสี่ยง แต่ Hedger “วิ่งหนี” ความเสี่ยง

การเก็งกำไรทองคำระยะสั้นมีความเสี่ยงหลักๆ อะไรบ้าง?

ความเสี่ยงหลักในการเก็งกำไรทองคำระยะสั้นคือความผันผวนของราคาสูง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยที่คาดเดายาก เช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ, ค่าเงินดอลลาร์, สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ และอารมณ์ของตลาด ซึ่งอาจทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วจนเกิดการขาดทุนหนักได้

นักเก็งกำไรระดับโลกมีใครบ้างที่เป็นแบบอย่างในการศึกษา?

มีนักเก็งกำไรระดับตำนานหลายคนที่สามารถศึกษาแนวคิดและกลยุทธ์ได้ เช่น George Soros ผู้โด่งดังจากการโจมตีค่าเงินปอนด์ และ Jesse Livermore ตำนานแห่ง Wall Street ที่มีกฎการเทรดที่เฉียบคมและยังคงถูกนำมาปรับใช้จนถึงปัจจุบัน การศึกษาเรื่องราวของพวกเขาช่วยให้เข้าใจถึงจิตวิทยาและวินัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง

หุ้นเก็งกำไร คืออะไร และมีวิธีเลือกเบื้องต้นอย่างไร?

หุ้นเก็งกำไร คือ หุ้นที่มีความผันผวนของราคาสูงกว่าปกติ อาจเป็นหุ้นขนาดเล็ก, หุ้นที่กำลังฟื้นตัวจากปัญหา, หรือหุ้นที่มีสตอรี่น่าสนใจรออยู่ การเลือกเบื้องต้นมักจะไม่ได้ดูที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก แต่จะเน้นไปที่การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคเพื่อหาสัญญาณซื้อขาย, การติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด, และการประเมินปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นซึ่งบ่งชี้ถึงความสนใจของตลาด

การเก็งกำไรถือว่าเป็นการพนันหรือไม่ แตกต่างกันตรงไหน?

แม้จะมีความคล้ายคลึงกันในเรื่องความเสี่ยงสูง แต่การเก็งกำไรที่ถูกต้องไม่ใช่การพนัน ความแตกต่างที่สำคัญคือ การเก็งกำไรอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและใช้หลักการบริหารความเสี่ยง (เช่น การตั้ง Stop Loss) เพื่อจำกัดผลขาดทุน ในขณะที่การพนันมักจะอาศัยโชคชะตาเป็นหลักและมีโอกาสเสียเงินทั้งหมดโดยไม่มีการควบคุมความเสี่ยง

หากต้องการเริ่มต้นเก็งกำไร ควรเริ่มต้นอย่างไรและต้องยอมรับความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ผู้ที่ต้องการเริ่มต้นควรศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิคและจิตวิทยาการลงทุน เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยที่พร้อมจะสูญเสียได้ทั้งหมดโดยไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน และต้องมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด ความเสี่ยงที่ต้องยอมรับคือโอกาสขาดทุนสูงและรวดเร็ว ซึ่งอาจมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นหากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Leverage

發佈留言