บทนำ: ทำไมต้องรู้จัก “หุ้น” ก่อนเริ่มลงทุน?
ในยุคที่ทุกคนมุ่งหวังสร้างความมั่งคั่ง การลงทุนในหุ้นกลายเป็นทางเลือกยอดฮิตที่ช่วยให้สินทรัพย์เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ หุ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่เป็นส่วนแบ่งในการเป็นเจ้าของธุรกิจจริงๆ ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณมีส่วนร่วมในความสำเร็จของบริษัทที่เลือก นอกจากนี้ ยังช่วยให้การเงินของคุณขยายตัวไปพร้อมกับพัฒนาการของกิจการนั้นๆ บทความนี้จะพาคุณดำดิ่งสู่โลกแห่งหุ้น ตั้งแต่หลักการพื้นฐานว่าหุ้นคืออะไร มีรูปแบบไหนบ้าง จนถึงวิธีเริ่มต้นลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อสร้างฐานความรู้ที่มั่นคงก่อนลงสนามจริง โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจมองว่าตลาดหุ้นซับซ้อนเกินไป เราจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายดายมากขึ้น

หุ้นคืออะไร? ทำความเข้าใจแก่นแท้ของการเป็นเจ้าของกิจการ
นิยาม “หุ้น” ในมุมมองของนักลงทุนและบริษัท
หุ้น หรือที่รู้จักในฐานะตราสารทางการเงินที่บริษัทออกให้กับผู้สนใจลงทุน เพื่อแสดงถึงสิทธิ์ในการถือครองส่วนหนึ่งของกิจการ ผู้ที่ถือหุ้นจึงมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้น เมื่อบริษัทตัดสินใจออกหุ้น ก็เพื่อรวบรวมทุนจากประชาชนหรือนักลงทุนทั่วไป เอาไปใช้ขยายธุรกิจ ดำเนินงาน หรือจัดการหนี้ โดยไม่ต้องพึ่งพาแค่สินเชื่อจากธนการเท่านั้น การซื้อหุ้นจึงเหมือนกับการร่วมทุนกับบริษัท และคุณจะได้สิทธิ์ในสัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถือไว้ ซึ่งช่วยให้บริษัทเติบโตได้มากขึ้นในระยะยาว
สิทธิประโยชน์และความรับผิดชอบของการเป็น “ผู้ถือหุ้น”
การเป็นผู้ถือหุ้นนำมาซึ่งสิทธิ์และหน้าที่ที่ควรรู้จักให้ดี เพื่อให้ตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ สิทธิ์หลักๆ ที่คุณจะได้รับ ได้แก่
- สิทธิ์รับเงินปันผล หากบริษัททำกำไรและที่ประชุมอนุมัติ คุณจะได้ส่วนแบ่งจากกำไรในรูปเงินปันผล สัดส่วนตามจำนวนหุ้นที่ถือ
- สิทธิ์ลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้น สำหรับหุ้นสามัญ คุณสามารถมีเสียงในการเลือกหรือถอดถอนกรรมการ อนุมัติงบดุล หรือตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ของบริษัท
- สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มเมื่อบริษัทเพิ่มทุน ผู้ถือหุ้นเดิมมักได้สิทธิ์จองซื้อก่อนคนอื่น เพื่อรักษาสัดส่วนการถือครอง
- สิทธิ์รับส่วนแบ่งทรัพย์สินเมื่อบริษัทปิดกิจการ หลังจากชำระหนี้และคืนทุนให้เจ้าหนี้กับผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว ทรัพย์สินที่เหลือจะแบ่งให้ผู้ถือหุ้น
ส่วนหน้าที่นั้น ผู้ถือหุ้นรับผิดชอบจำกัดอยู่แค่เงินที่ลงทุนไป หากบริษัทขาดทุนหรือล้มละลาย คุณไม่ต้องจ่ายหนี้แทนบริษัทเกินกว่ามูลค่าหุ้นที่ถือ ซึ่งทำให้การลงทุนแบบนี้ค่อนข้างปลอดภัยในแง่ความรับผิด

หุ้นทำงานอย่างไรในตลาดหลักทรัพย์?
หุ้นจากบริษัทที่จดทะเบียนจะถูกนำมาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในไทยคือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ที่ทำหน้าที่เป็นจุดรวมตัวของผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านระบบที่ช่วยจับคู่คำสั่งซื้อขาย ราคาหุ้นจะขึ้นลงตามหลักอุปสงค์และอุปทาน หากคนอยากซื้อเยอะกว่าขาย ราคาก็จะพุ่งขึ้น แต่ถ้าขายเยอะกว่า ราคาก็จะร่วงลง กลไกนี้ทำให้หุ้นมีสภาพคล่องสูง นักลงทุนเปลี่ยนเป็นเงินสดได้รวดเร็ว และยังสะท้อนมูลค่าบริษัทตามที่ตลาดมองเห็นจริงๆ ซึ่งช่วยให้การลงทุนไหลลื่นและโปร่งใสมากขึ้น
เจาะลึก “ประเภทของหุ้น” ที่นักลงทุนควรรู้
หุ้นสามัญ (Common Stock): สิทธิเต็มที่ ความเสี่ยงเต็มตัว
หุ้นสามัญเป็นประเภทที่พบเจอทั่วไปที่สุดและเป็นแกนหลักของตลาดหุ้น ผู้ถือหุ้นสามัญได้สิทธิ์ลงคะแนนในที่ประชุม เพื่อกำหนดทิศทางบริษัท เช่น เลือกกรรมการ อนุมัติรายงานการเงิน หรือปรับโครงสร้างองค์กร สำหรับผลตอบแทน คุณอาจได้เงินปันผลที่ขึ้นกับผลประกอบการและมติบอร์ด รวมถึงกำไรจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นหากตลาดตอบรับดี แต่ในทางตรงกันข้าม หุ้นสามัญมีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะเงินปันผลมาหลังผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ และถ้าบริษัทล้ม คุณจะได้ส่วนแบ่งท้ายสุด ซึ่งเหมาะกับคนที่อยากมีส่วนร่วมและยอมรับความผันผวนเพื่อโอกาสเติบโตสูง

หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock): สิทธิพิเศษ ความเสี่ยงจำกัด
หุ้นบุริมสิทธิแตกต่างจากหุ้นสามัญตรงที่ให้สิทธิ์พิเศษ เช่น ได้รับเงินปันผลในอัตราคงที่และก่อนหุ้นสามัญ หากบริษัทปิดตัว คุณก็จะได้คืนทุนก่อนด้วย ทำให้เสี่ยงน้อยกว่า แต่แลกมาด้วยสิทธิ์ลงคะแนนที่จำกัดหรือไม่มีเลย และโอกาสกำไรจากราคาหุ้นที่ไม่สูงเท่า ดังนั้น ประเภทนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอและความมั่นคง มากกว่าการมีอิทธิพลในบริษัทหรือการเติบโตแบบก้าวกระโดด
หุ้นกู้ (Debenture) และใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant): ความแตกต่างกับหุ้น
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับหุ้น ควรรู้จักตราสารที่คล้ายแต่ต่างกัน เช่น
หุ้นกู้คือตราสารหนี้ที่บริษัทกู้เงินจากนักลงทุน ผู้ถือมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยตามกำหนดและคืนเงินต้นเมื่อ到期 ทำให้เสี่ยงต่ำและผลตอบแทนคาดการณ์ได้ง่าย
ส่วนใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือวอร์แรนต์ ให้สิทธิ์ซื้อหุ้นสามัญในราคาและเวลาที่กำหนด คุณยังไม่ใช่ผู้ถือหุ้น แต่สามารถกลายเป็นได้หากใชสิทธิ์ มันซื้อขายในตลาดเหมือนหุ้น แต่มีอายุจำกัดและราคาผันผวนตามหุ้นอ้างอิง
| คุณสมบัติ | หุ้นสามัญ (Common Stock) | หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) | หุ้นกู้ (Debenture) | ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant) |
|---|---|---|---|---|
| สถานะผู้ถือ | เจ้าของกิจการ | เจ้าของกิจการ (แต่มีสิทธิพิเศษ) | เจ้าหนี้ | มีสิทธิซื้อหุ้นในอนาคต |
| สิทธิออกเสียง | มี | ส่วนใหญ่ไม่มี | ไม่มี | ไม่มี |
| การได้รับเงินปันผล/ดอกเบี้ย | ไม่คงที่, ได้รับหลังบุริมสิทธิ | คงที่, ได้รับก่อนสามัญ | คงที่, ได้รับก่อนหุ้นทุกประเภท | ไม่มี (จนกว่าจะใช้สิทธิ) |
| การได้รับคืนเมื่อเลิกกิจการ | ลำดับสุดท้าย | ก่อนหุ้นสามัญ | ลำดับแรก (ร่วมกับเจ้าหนี้อื่น) | ไม่มีสิทธิโดยตรง |
| ความเสี่ยง | สูง | ปานกลาง | ต่ำ | สูง (ขึ้นกับหุ้นอ้างอิง) |
การจำแนกประเภทหุ้นตามมุมมองการลงทุนและลักษณะธุรกิจ
หุ้นเติบโต (Growth Stock) และหุ้นคุณค่า (Value Stock)
การแบ่งประเภทหุ้นตามศักยภาพธุรกิจและมุมมองลงทุนช่วยให้คุณวางแผนได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- หุ้นเติบโต หมายถึงหุ้นของบริษัทที่คาดว่ารายได้และกำไรจะโตเร็วกว่าตลาดหรืออุตสาหกรรม โดยเฉพาะบริษัทในสาขาใหม่ๆ หรือมีนวัตกรรมเด่น นักลงทุนมักยอมจ่ายแพงกว่าปัจจุบันเพราะหวังผลในอนาคต เช่น บริษัทเทคโนโลยีไทยที่กำลังขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว
- หุ้นคุณค่า คือหุ้นที่ตลาดอาจมองข้ามมูลค่าจริง บริษัทเหล่านี้มีพื้นฐานแข็งแกร่ง กำไรสม่ำเสมอ และจ่ายปันผลดี แต่ราคายังต่ำกว่าที่ควร นักลงทุนเชื่อว่าราคาจะปรับตัวขึ้นในระยะยาว เหมาะกับบริษัทในอุตสาหกรรมมั่นคงที่เจอปัญหาชั่วคราว
หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stock) และหุ้นเชิงรับ (Defensive Stock)
อีกมุมหนึ่งคือดูว่าหุ้นตอบสนองต่อเศรษฐกิจอย่างไร เพื่อเลือกให้เหมาะกับสถานการณ์
- หุ้นวัฏจักร คือหุ้นที่ผลประกอบการขึ้นลงตามเศรษฐกิจ เช่น เติบโตดีตอนเศรษฐกิจรุ่ง แต่ร่วงหนักตอนชะลอ ตัวอย่างเช่น กลุ่มพลังงาน เคมีภัณฑ์ อสังหา หรือรถยนต์ ที่ผูกติดกับการบริโภคและการลงทุน
- หุ้นเชิงรับ หรือหุ้นที่ทนเศรษฐกิจได้ดี คือหุ้นของบริษัทที่มีรายได้คงที่เพราะสินค้าเป็นของจำเป็น เช่น โรงพยาบาล สาธารณูปโภคอย่างไฟฟ้าหรือน้ำประปา อาหารและเครื่องดื่ม ที่คนยังใช้แม้เศรษฐกิจไม่ดี
หุ้นระยะสั้น (Short-term Stock) และหุ้นระยะยาว (Long-term Stock) คืออะไร?
การแบ่งนี้ขึ้นกับระยะเวลาที่คุณถือและเป้าหมายลงทุน
- หุ้นระยะสั้น ไม่ใช่ประเภทหุ้นเฉพาะ แต่เป็นแนวทางที่เน้นกำไรจากราคาที่เปลี่ยนแปลงเร็ว อาจถือไม่กี่วันถึงเดือน โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคและข่าวสาร มีความเสี่ยงสูง ต้องมีประสบการณ์
- หุ้นระยะยาว คือการถือหุ้นนานตั้งแต่ปีขึ้นไป เพื่อรอการเติบโตของบริษัทและเงินปันผล ใช้วิเคราะห์พื้นฐานเป็นหลัก เหมาะกับมือใหม่ที่อยากสร้างความมั่งคั่งยั่งยืน โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนระยะสั้น
เริ่มต้นลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย: สิ่งที่คุณต้องรู้
การเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์: ขั้นตอนและเอกสารที่จำเป็น
สำหรับมือใหม่ที่อยากเริ่มลงทุนหุ้นไทย ขั้นตอนแรกคือเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยทั่วไปทำได้ดังนี้
- เลือกบริษัทหลักทรัพย์ที่ตรงกับสไตล์คุณ (รายละเอียดต่อไป)
- เตรียมเอกสาร เช่น
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร สำหรับรับปันผลหรือโอนเงิน
- เอกสารรายได้ เช่น สลิปเงินเดือนหรือรายการเดินบัญชี
- กรอกฟอร์มสมัครบัญชีหลักทรัพย์และ ATS สำหรับโอนเงินอัตโนมัติ
- ยืนยันตัวตน ผ่าน NDID สาขาธนาคาร หรือนัดเจ้าหน้าที่
- รอรับการอนุมัติ แล้วได้รหัสเข้าใช้งาน
ตอนนี้หลายโบรกเกอร์เปิดออนไลน์ได้ สะดวกและเร็วมาก ลดขั้นตอนให้เหลือน้อยลง
การเลือกบริษัทหลักทรัพย์ที่เหมาะสมกับคุณ
การเลือกโบรกเกอร์ดีๆ สำคัญมากสำหรับมือใหม่ ควรดูจาก
- ค่าธรรมเนียม คอมมิชชั่นที่เหมาะกับการเทรดของคุณ
- แพลตฟอร์ม ใช้งานสะดวก มีเครื่องมือวิเคราะห์ และแอปมือถือ
- บริการ มีรายงานวิเคราะห์ ข่าวสาร หรือที่ปรึกษา
- ความน่าเชื่อถือ มีฐานะมั่นคงและกำกับโดย ก.ล.ต.
ตัวอย่างโบรกเกอร์ยอดนิยมในไทย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง (Bualuang Securities), บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (Yuanta Securities), บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ (Liberator Securities), บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ (SCB Securities), และ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร (KKP Securities) แต่ละแห่งมีจุดแข็งต่างกัน เช่น บางแห่งเน้นมือใหม่ บางแห่งให้บริการพรีเมี่ยม
| คุณสมบัติ | Bualuang Securities | Yuanta Securities | Liberator Securities | SCB Securities | KKP Securities |
|---|---|---|---|---|---|
| ค่าคอมมิชชั่น | อัตราทั่วไป | อัตราทั่วไป | ไม่มีขั้นต่ำ (ฟรีค่าคอมฯ บางช่วง) | อัตราทั่วไป | อัตราทั่วไป |
| แพลตฟอร์ม | Streaming, BLS Trade, BLS Anywhere | Streaming, Yuanta iTrade | Liberator (เป็นของตัวเอง) | Streaming, SCBS Easy Invest | Streaming, KKP Trade |
| บริการเพิ่มเติม | บทวิเคราะห์, สัมมนา | บทวิเคราะห์, สัมมนา | เน้นเทรดเอง, โซเชียล | บทวิเคราะห์, โปรแกรม AI | บทวิเคราะห์, Private Fund |
| เหมาะกับ | มือใหม่-มีประสบการณ์ | มือใหม่-มีประสบการณ์ | เน้นเทรดบ่อย/วอลุ่มน้อย | มือใหม่-มีประสบการณ์ | เน้นบริการพรีเมี่ยม |
ข้อควรระวังสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในตลาดหุ้นไทย
การลงทุนหุ้นมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะมือใหม่ ควรระวังดังนี้
- ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ ศึกษาธุรกิจ งบการเงิน และเทรนด์อุตสาหกรรมให้ละเอียด
- อย่าหลงเชื่อข่าวลือ ตัดสินใจจากข้อมูลน่าเชื่อถือ ไม่ใช่คำชักชวนจากคนไม่เชี่ยวชาญ
- กระจายความเสี่ยง อย่าใส่เงินหมดในหุ้นตัวเดียวหรือกลุ่มเดียว ลองผสมสินทรัพย์อื่นๆ
- ตั้งจุดขายตัดขาดทุน หากราคาตกถึงระดับที่รับไม่ได้ ให้ขายเพื่อจำกัดความเสียหาย
- จัดการอารมณ์ ไม่ให้ความโลภหรือกลัวมาควบคุม ใจเย็นๆ จะช่วยได้มาก
- เริ่มด้วยเงินน้อย ใช้จำนวนที่เสียได้โดยไม่กระทบชีวิต เพื่อฝึกฝน
สรุป: ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนหุ้นอย่างชาญฉลาด
การรู้จักหุ้นว่าคืออะไรและมีประเภทไหนบ้าง เป็นจุดเริ่มต้นที่ขาดไม่ได้สำหรับใครที่อยากเข้าสู่การลงทุน หุ้นเป็นเครื่องมือสร้างความมั่งคั่งระยะยาวที่ทรงพลัง แต่ต้องเข้าใจและจัดการความเสี่ยงให้ดี การแยกแยะหุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ รวมถึงการแบ่งตามการเติบโตหรือวัฏจักรเศรษฐกิจ จะช่วยให้เลือกได้ตรงเป้าหมายและระดับเสี่ยงที่ยอมรับ การเริ่มลงทุนในตลาดไทยไม่ยากอย่างที่คิด แค่ศึกษาวางแผนและมีวินัยต่อเนื่อง ข้อมูลในบทความนี้หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจและฐานรากให้คุณก้าวสู่การเป็นนักลงทุนที่เฉียบแหลม
คำถามที่พบบ่อย (FAQs) เกี่ยวกับหุ้นและการลงทุนสำหรับมือใหม่
Q1: ซื้อหุ้นครั้งแรก ต้องเริ่มต้นยังไงในตลาดหุ้นไทย?
อันดับแรก คุณต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ก่อนครับ โดยสามารถเลือกเปิดบัญชีออนไลน์หรือไปที่สาขาก็ได้ จากนั้นก็โอนเงินเข้าบัญชีหลักทรัพย์ และเริ่มส่งคำสั่งซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์ได้เลยครับ
Q2: หุ้นสามัญกับหุ้นบุริมสิทธิ แตกต่างกันอย่างไร และเหมาะกับนักลงทุนแบบไหน?
หุ้นสามัญ ให้สิทธิออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น มีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคาและเงินปันผลที่ผันแปรตามผลประกอบการ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการมีส่วนร่วมและรับความเสี่ยงได้สูงเพื่อผลตอบแทนที่สูงกว่า
หุ้นบุริมสิทธิ ไม่ค่อยมีสิทธิออกเสียง แต่จะได้รับเงินปันผลคงที่และได้รับก่อนหุ้นสามัญ รวมถึงได้รับคืนเงินลงทุนก่อนเมื่อเลิกกิจการ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอและรับความเสี่ยงได้จำกัด
Q3: ถ้าบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ล้มละลาย ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินคืนหรือไม่ และได้รับเท่าไหร่?
หากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นจะได้รับคืนเงินลงทุนเป็นลำดับสุดท้าย หลังจากบริษัทชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นกู้ รวมถึงคืนทุนให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว หากไม่มีทรัพย์สินเหลือเพียงพอ ผู้ถือหุ้นสามัญก็อาจไม่ได้รับเงินคืนเลย หรือได้รับเพียงบางส่วนตามสัดส่วนที่เหลืออยู่ครับ
Q4: หุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีลักษณะการลงทุนเหมือนกันหมดไหม?
ไม่เหมือนกันครับ หุ้นแต่ละตัวมีลักษณะธุรกิจ ผลประกอบการ ศักยภาพการเติบโต และความเสี่ยงที่แตกต่างกันมาก การจำแนกประเภทหุ้น เช่น หุ้นเติบโต หุ้นคุณค่า หุ้นวัฏจักร หุ้นเชิงรับ ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจลักษณะเฉพาะและเลือกหุ้นที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของตนเองได้
Q5: มือใหม่ควรเริ่มต้นลงทุนหุ้นด้วยเงินเท่าไหร่ และมีวิธีบริหารความเสี่ยงอย่างไร?
มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยๆ ที่คุณพร้อมจะขาดทุนได้โดยไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน อาจจะเริ่มต้นด้วยหลักพันหรือหลักหมื่นบาท เพื่อเรียนรู้และสร้างประสบการณ์
วิธีบริหารความเสี่ยงที่สำคัญคือ
- ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุน
- กระจายความเสี่ยงโดยไม่ลงทุนในหุ้นตัวเดียว
- กำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop Loss)
- และลงทุนในระยะยาวเพื่อลดความผันผวนระยะสั้นครับ
Q6: หุ้นปันผลคืออะไร และมีข้อดี-ข้อเสียเมื่อเทียบกับหุ้นประเภทอื่นอย่างไร?
หุ้นปันผล คือ หุ้นของบริษัทที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและในอัตราที่น่าพอใจ
ข้อดี: ให้ผลตอบแทนในรูปของกระแสเงินสดที่ชัดเจน สม่ำเสมอ และช่วยลดความผันผวนของพอร์ตลงทุนได้
ข้อเสีย: อาจมีโอกาสในการเติบโตของราคาหุ้น (Capital Gain) ไม่สูงเท่าหุ้นเติบโต และการจ่ายเงินปันผลก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทและการอนุมัติของบอร์ดครับ
Q7: มีวิธีการเลือกบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) สำหรับมือใหม่ในประเทศไทยอย่างไร?
สำหรับมือใหม่ ควรพิจารณาจาก:
- ค่าธรรมเนียม: เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าคอมมิชชั่นที่เหมาะสม
- แพลตฟอร์มการซื้อขาย: ใช้งานง่าย มีแอปพลิเคชันมือถือที่เสถียร
- บริการและคำแนะนำ: มีบทวิเคราะห์ บทความ หรือผู้แนะนำการลงทุนคอยให้คำปรึกษา
- ความน่าเชื่อถือ: เลือกโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียงและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
Q8: การเทรดหุ้นมีกี่แบบ? และมีกลยุทธ์อะไรบ้างที่เหมาะกับผู้เริ่มต้น?
การเทรดหุ้นหลักๆ มี 2 แบบคือ
- การลงทุนระยะสั้น (Trading): เน้นทำกำไรจากส่วนต่างราคาในระยะเวลาอันสั้น
- การลงทุนระยะยาว (Investing): เน้นถือหุ้นเพื่อการเติบโตของบริษัทและเงินปันผลในระยะยาว
สำหรับผู้เริ่มต้น การลงทุนระยะยาว โดยเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการทยอยลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมและมีความเสี่ยงต่ำกว่าครับ
Q9: ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นประเภท “หุ้นเติบโต” และ “หุ้นคุณค่า” ให้เลือกอย่างไร?
มีให้เลือกทั้งสองประเภทครับ
- หุ้นเติบโต มักจะเป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ที่มีนวัตกรรม หรือบริษัทที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
- หุ้นคุณค่า มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง อยู่ในอุตสาหกรรมที่มั่นคง มีกำไรสม่ำเสมอ แต่ราคาหุ้นอาจจะยังไม่แพงเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริง
นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์แต่ละบริษัทเพื่อจำแนกประเภทครับ
Q10: ควรศึกษาข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นจากแหล่งใดบ้างที่น่าเชื่อถือ?
แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ได้แก่:
- เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): www.set.or.th
- เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. (SEC Thailand): www.sec.or.th
- บทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์: โบรกเกอร์ที่คุณเปิดบัญชีมักจะมีบทวิเคราะห์ให้
- ข่าวสารจากสำนักข่าวการเงินที่น่าเชื่อถือ: เช่น กรุงเทพธุรกิจ, ประชาชาติธุรกิจ, ข่าวหุ้นธุรกิจ
- หนังสือและคอร์สเรียนเกี่ยวกับการลงทุน: เลือกผู้สอนหรือผู้เขียนที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จริง