บทนำ: Stop Loss คืออะไร และทำไมนักลงทุนทุกคนต้องรู้
ในวงการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นไทย, การแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศ, หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโต การจัดการความเสี่ยงถือเป็นหัวใจหลักที่ช่วยให้นักลงทุนยืนหยัดและเติบโตได้ในระยะยาว หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการควบคุมความเสี่ยงและรักษาทุนของคุณคือ Stop Loss

Stop Loss หมายถึงคำสั่งที่ทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งนักลงทุนกำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อขายสินทรัพย์เมื่อราคาตกลงมาถึงระดับที่ตั้งไว้ มันเป็นกลไกที่ช่วยป้องกันความสูญเสียไม่ให้ลุกลาม และรักษาพอร์ตของคุณจากความเสียหายรุนแรง โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจติดกับดักของการปล่อยให้ขาดทุนสะสมจนแก้ไขยาก บทความนี้จะอธิบายทุกด้านของ Stop Loss ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน การทำงาน จนถึงวิธีการตั้งค่าที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำไปใช้ในแพลตฟอร์มยอดนิยมของไทย เพื่อให้คุณสามารถนำไปปฏิบัติในการเทรดได้อย่างชาญฉลาด

Stop Loss คืออะไร? ทำความเข้าใจกลไกพื้นฐาน
Stop Loss นิยามและความสำคัญ
Stop Loss คือคำสั่งที่สั่งซื้อหรือขายสินทรัพย์ เช่น หุ้น, สกุลเงิน, หรือคริปโต โดยอัตโนมัติเมื่อราคาในตลาดถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เป้าหมายหลักคือการควบคุมความสูญเสียที่อาจเกิดจากราคาที่เคลื่อนไหวตรงข้ามกับการคาดการณ์ของคุณ
สิ่งที่ทำให้ Stop Loss สำคัญคือมันเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมวินัยให้กับนักลงทุน โดยไม่ต้องพึ่งพาความรู้สึกอย่างความกลัวหรือความโลภ เมื่อราคาสัมผัสจุดที่ตั้งไว้ คำสั่งจะดำเนินการทันที ทำให้คุณจัดการความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบและรักษาทุนตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ ในตลาดที่ผันผวนสูง มันยังช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ impulsively ที่อาจนำไปสู่ความผิดพลาดใหญ่
Stop Loss ทำงานอย่างไร? ยกตัวอย่างประกอบ
การทำงานของ Stop Loss นั้นเรียบง่ายแต่มีรายละเอียดที่ต้องระวัง โดยเฉพาะเรื่องการคลาดเคลื่อนของราคา

ตัวอย่างในตลาดหุ้น (กรณีซื้อแล้วราคาตก):
- สมมติว่าคุณซื้อหุ้น A ในราคา 10 บาท และตั้ง Stop Loss ที่ 9.50 บาท
- เมื่อราคาหุ้น A ตกลงมาถึง 9.50 บาท คำสั่งจะทำงานทันทีและขายหุ้นเพื่อจำกัดความสูญเสียไม่เกิน 0.50 บาทต่อหุ้น
ตัวอย่างในตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงิน (สถานะขาย):
- คุณเปิดสถานะขายคู่สกุลเงิน EUR/USD ที่ราคา 1.1000 และตั้ง Stop Loss ที่ 1.1050
- หากราคา EUR/USD ขึ้นไปถึง 1.1050 คำสั่งจะทำงานและซื้อเพื่อปิดสถานะ โดยจำกัดความสูญเสีย
การคลาดเคลื่อนของราคา: ต้องจำไว้ว่าคำสั่ง Stop Loss ไม่รับประกันราคาที่แน่นอน โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวรุนแรงหรือสภาพคล่องน้อย เมื่อราคาแตะจุดที่ตั้ง ระบบจะส่งคำสั่งขายหรือซื้อที่ราคาตลาด ซึ่งอาจได้ราคาที่ต่ำกว่าสำหรับการขาย หรือสูงกว่าสำหรับการซื้อ เล็กน้อย นี่คือ slippage ที่เกิดขึ้นได้
Stop Loss กับ Take Profit: เครื่องมือคู่กันในการจัดการกำไรและขาดทุน
ในการเทรด นักลงทุนมักนำ Stop Loss มาใช้ร่วมกับ Take Profit เพื่อดูแลทั้งความเสี่ยงและโอกาสทำกำไรอย่างสมดุล
- Stop Loss: ใช้จำกัดความสูญเสียเมื่อราคาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาด
- Take Profit: ใช้ล็อกกำไรโดยขายหรือซื้ออัตโนมัติเมื่อราคาถึงเป้าหมายที่ต้องการ
การรวมทั้งสองอย่างนี้ช่วยสร้างกลยุทธ์ที่ครบถ้วน โดยกำหนดจุดเข้า-ออก จุดกำไร และจุดขาดทุนที่ยอมรับได้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นรากฐานของการเทรดที่มีวินัย โดยปกติ อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสมควรเป็น 1:2 หรือมากกว่า หมายถึงทุกครั้งที่เสี่ยงสูญเสีย 1 ส่วน คุณควรคาดหวังกำไร 2 ส่วน เพื่อให้ยั่งยืนในระยะยาว
| คุณสมบัติ | Stop Loss | Take Profit |
|---|---|---|
| วัตถุประสงค์หลัก | จำกัดการขาดทุน | ล็อกกำไร |
| การทำงาน | ขายอัตโนมัติเมื่อราคาลงถึงจุดที่กำหนด | ขายอัตโนมัติเมื่อราคาขึ้นถึงจุดที่กำหนด |
| ประโยชน์ | ปกป้องเงินลงทุน, ลดความเสี่ยง | รับประกันผลกำไร, ไม่พลาดโอกาส |
| อารมณ์ที่ควบคุม | ความกลัว | ความโลภ |
Cut Loss กับ Stop Loss ต่างกันอย่างไร? ชี้แจงให้กระจ่าง
แม้ทั้งสองจะเกี่ยวข้องกับการจำกัดขาดทุน แต่ Cut Loss และ Stop Loss แตกต่างกันในด้านการทำงานและผลกระทบทางจิตวิทยา
- Cut Loss (ตัดขาดทุนด้วยตนเอง): คือการตัดสินใจขายสินทรัพย์เพื่อหยุดความสูญเสียในขณะนั้น โดยอาศัยการตัดสินใจส่วนตัวโดยไม่ต้องตั้งคำสั่งล่วงหน้า มักเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงหรือราคาต่ำกว่าที่รับไหว
- Stop Loss (คำสั่งอัตโนมัติ): คือการตั้งค่าคำสั่งในระบบซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งจะทำงานเองเมื่อราคาถึงจุดกำหนด โดยไม่ต้องแทรกแซงจากเทรดเดอร์
จุดต่างหลักคือความอัตโนมัติและการปราศจากอารมณ์ของ Stop Loss ในขณะที่ Cut Loss ต้องพึ่งพาวินัยส่วนตัวสูง นักลงทุนไทยหลายคนมักลำบากกับ Cut Loss เพราะมีความหวังว่าราคาจะฟื้นตัว เช่น คิดว่า “เดี๋ยวมันขึ้น” หรือ “ยังไม่ยอมแพ้” ซึ่งนำไปสู่ขาดทุนหนักกว่าเดิม ดังนั้น Stop Loss จึงช่วยให้ยึดแผนการเทรดได้ดีกว่า โดยเฉพาะในตลาดที่อารมณ์มีบทบาทมาก
| คุณสมบัติ | Cut Loss | Stop Loss |
|---|---|---|
| การทำงาน | ตัดสินใจด้วยตนเอง, ทำแบบ Manual | คำสั่งอัตโนมัติที่ตั้งไว้ล่วงหน้า |
| กลไก | ต้องกดขายด้วยตนเอง | ระบบส่งคำสั่งอัตโนมัติ |
| ปัจจัยขับเคลื่อน | การตัดสินใจ ณ ขณะนั้น, อารมณ์ | แผนการเทรดที่วางไว้ล่วงหน้า, วินัย |
| ความเสี่ยงด้านอารมณ์ | สูง (อาจลังเล, ผิดพลาด) | ต่ำ (ตัดอารมณ์ออกไป) |
วิธีตั้งค่า Stop Loss อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ?
หลักการพื้นฐานในการกำหนดจุด Stop Loss
การตั้ง Stop Loss ต้องอาศัยเหตุผลและหลักการ ไม่ใช่การเดาสุ่ม เพื่อให้จุดนั้นทำงานได้ดี ไม่ถูกกระตุ้นบ่อยโดยไม่จำเป็น หรือกว้างจนไร้ประโยชน์
- กำหนดตามเปอร์เซ็นต์: ตั้งว่ายอมรับขาดทุนได้สูงสุดกี่เปอร์เซ็นต์จากทุนในแต่ละการเทรด เช่น 5% หรือ 10% วิธีนี้เหมาะสำหรับการควบคุมความเสี่ยงตามขนาดพอร์ต
- กำหนดตามจำนวนเงินคงที่: กำหนดเงินสูงสุดที่ยอมเสียในแต่ละครั้ง เช่น ไม่เกิน 1,000 บาท เหมาะสำหรับการจัดการความเสี่ยงในหน่วยเงินสด
- กำหนดโดยการวิเคราะห์ทางเทคนิค: วิธีที่เทรดเดอร์มือโปรชื่นชอบ โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อหาจุดที่มีความหมาย
การเลือกวิธีขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ แต่หลักสำคัญคือต้องสอดคล้องกับแผนโดยรวม เพื่อให้ Stop Loss ช่วยเสริมกลยุทธ์ ไม่ใช่เป็นอุปสรรค
กลยุทธ์การตั้ง Stop Loss ตามสภาวะตลาด
จุด Stop Loss ที่ดีควรปรับตามสภาพตลาดและเครื่องมือวิเคราะห์ เพื่อให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์
- ใช้แนวรับและแนวต้าน: วางจุดต่ำกว่าแนวรับสำคัญสำหรับการซื้อ หรือสูงกว่าแนวต้านสำหรับการขาย เพราะการทะลุระดับเหล่านี้มักบ่งชี้การเปลี่ยนทิศทางที่ชัดเจน
- ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: บางคนตั้งจุดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นหรือกลาง เช่น MA(20) หรือ MA(50) หากราคาหลุด มันอาจเป็นสัญญาณขาลง
- ใช้ Average True Range (ATR): ตัวชี้วัดนี้วัดความผันผวน ช่วยตั้งจุดที่ 1.5 หรือ 2 เท่าของ ATR จากราคาเข้า เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวปกติ
- ปรับตามความผันผวน: ในช่วงตลาดรุนแรง เช่น ช่วงข่าวใหญ่ อาจตั้งจุดกว้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกหยุดบ่อย แต่ต้องไม่ละเลยหลักการเสี่ยง
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ATR สามารถดูได้จาก Investopedia: Average True Range (ATR) ที่ให้ความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวชี้วัดนี้ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาได้ดีขึ้น
Trailing Stop Loss คืออะไร และใช้เมื่อไหร่?
Trailing Stop Loss คือรูปแบบ Stop Loss ที่ปรับตัวตามราคาเมื่อแนวโน้มเป็นบวกสำหรับคุณ กล่าวคือ ถ้าราคาขึ้นต่อเนื่อง จุด Stop Loss ก็จะเลื่อนขึ้นตาม แต่ถ้าราคากลับลง มันจะคงที่และทำงานเมื่อราคาแตะ
ประโยชน์หลัก:
- ล็อกกำไร: ช่วยรักษากำไรที่ได้มาแล้วบางส่วน หากราคาขึ้นสูงแต่ยังไม่ถึงเป้า Take Profit
- จำกัดขาดทุน: ยังคงปกป้องจากความสูญเสียเริ่มต้น
- ลดความกังวล: ไม่ต้องปรับด้วยตัวเองบ่อยๆ
เหมาะใช้เมื่อ: ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market) ที่ราคาเคลื่อนไปทางเดียว ช่วยให้คุณปล่อยกำไรวิ่งนานขึ้นโดยยังปลอดภัย คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งอธิบายคำสั่งต่างๆ ที่ช่วยจัดการความเสี่ยง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการตั้ง Stop Loss และวิธีหลีกเลี่ยง
Stop Loss เป็นเครื่องมือดี แต่หากใช้ผิดอาจนำปัญหามา นักลงทุนมือใหม่มักเจอข้อผิดพลาดเหล่านี้:
- ตั้งจุดแคบเกิน: เกิดจากกลัวสูญเสียเล็กน้อย ทำให้ถูกกระตุ้นจากความผันผวนปกติ ส่งผลเสียค่าธรรมเนียมและพลาดกำไรเมื่อราคาฟื้น
- ตั้งจุดกว้างเกิน: ทำให้ขาดทุนครั้งใหญ่เกินรับไหว ไม่สอดคล้องกับอัตราส่วนเสี่ยง-กำไร
- เลื่อนหรือยกเลิกเพราะอารมณ์: ข้อผิดพลาดร้ายแรง เมื่อราคาใกล้จุดแล้วเลื่อนเพราะหวังฟื้น มักจบด้วยสูญเสียมากกว่าแผน
- ไม่ตั้งเลย: เท่ากับเปิดรับความเสี่ยงไม่จำกัด ซึ่งอันตรายมาก
- มองข้าม slippage: ในตลาดผันผวนหรือคล่องตัวต่ำ คำสั่งอาจได้ราคาแย่กว่าที่ตั้ง ทำให้สูญเสียจริงสูงกว่าคาด
วิธีป้องกัน:
- วางแผนชัดเจน: กำหนดจุดเข้า-ออก Stop Loss และ Take Profit ก่อนเทรด และยึดมั่น
- คำนึงถึงความผันผวน: ใช้ ATR หรือเครื่องมืออื่นเพื่อตั้งจุดที่เหมาะสม
- รักษาวินัย: ตั้งแล้วอย่าเปลี่ยนด้วยอารมณ์ เชื่อในวิเคราะห์
- เรียนรู้จากอดีต: ทบทวนการเทรดเพื่อปรับปรุง
ด้วยการหลีกเลี่ยงเหล่านี้ คุณจะใช้ Stop Loss ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดไทยที่มักมีข่าวกระทบกะทันหัน
การตั้ง Stop Loss บนแพลตฟอร์มยอดนิยมในไทย
วิธีตั้ง Stop Loss ใน Streaming มือถือ (SETTRADE Streaming)
สำหรับนักลงทุนหุ้นไทย แอป Streaming จาก SETTRADE ทำให้การตั้ง Stop Loss ง่ายดายและเป็นฟีเจอร์พื้นฐานที่ควรใช้
- เข้าสู่ระบบ: เปิดแอปและล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
- เลือกหุ้น: ค้นหาหุ้นที่ถือหรือจะซื้อ
- ไปที่เมนูคำสั่ง: มักอยู่ด้านล่างหน้าจอ
- เลือกประเภท: ใช้ “Conditional Order” หรือ “Stop Order” (อาจต่างกันตามเวอร์ชัน)
- กำหนดเงื่อนไข:
- Price Type: เลือก “Stop Price” หรือ “Trigger Price”
- Stop Price: ใส่ราคาที่จะกระตุ้นการขาย
- Limit Price: ใส่ราคาขายที่ต้องการ (อาจเท่าหรือต่ำกว่า Stop Price เล็กน้อย)
- Volume: ระบุจำนวนหุ้น
- ยืนยัน: ตรวจสอบและกดยืนยัน
(ในที่นี้ควรมีรูปภาพประกอบขั้นตอนการตั้ง Stop Loss บนแอป Streaming มือถือ)
เคล็ดลับ: ทดลองในโหมดเดโมก่อนเพื่อความชำนาญ โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้แอปนี้
การตั้ง Stop Loss สำหรับคริปโตบน Bitkub
ในตลาดคริปโตไทย Bitkub เป็นแพลตฟอร์มยอดฮิต การตั้ง Stop Loss คล้ายกับแพลตฟอร์มอื่น
- เข้าสู่ระบบ: เปิดแอปหรือเว็บและล็อกอิน
- เลือกเหรียญ: ไปที่หน้าตเทรดคู่เหรียญ เช่น BTC/THB
- เลือกประเภท: หา “Stop-Limit” หรือ “Stop-Market”
- กำหนดรายละเอียด:
- Stop Price: ราคาที่กระตุ้นคำสั่ง
- Limit Price: สำหรับ Stop-Limit ราคาที่ต้องการ (ไม่มีสำหรับ Stop-Market)
- Amount: จำนวนเหรียญ
- ยืนยัน: ตรวจสอบและกดยืนยัน
(ในที่นี้ควรมีรูปภาพประกอบขั้นตอนการตั้ง Stop Loss บนแพลตฟอร์ม Bitkub)
เนื่องจากคริปโตผันผวนสูง แนะนำตั้ง Stop Loss ทุกครั้งเพื่อป้องกันความเสี่ยงกะทันหัน
สรุป: Stop Loss เครื่องมือสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรด
Stop Loss ไม่ใช่แค่คำสั่งธรรมดา แต่เป็นหลักการบริหารความเสี่ยงและวินัยที่นักลงทุนทุกคนควรยึดถือ การเข้าใจและใช้ Stop Loss อย่างถูกต้องจะช่วยปกป้องทุนจากความสูญเสียรุนแรง และให้คุณอยู่ในตลาดได้ยาวนาน
การตั้งค่าอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะด้วยเปอร์เซ็นต์ จำนวนเงิน หรือวิเคราะห์เทคนิค รวมถึง Trailing Stop Loss ในโอกาสที่เหมาะสม คือกุญแจสู่ชัยชนะ การหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดอย่างการปรับด้วยอารมณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน
ขอให้ทุกท่านนำ Stop Loss มาเป็นพันธมิตรในการลงทุน และศึกษาปรับปรุงกลยุทธ์ต่อเนื่อง เพื่อรับมือทุกสถานการณ์ในตลาด
Stop Loss คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรต่อการเทรดหุ้น คริปโต หรือ Forex?
Stop Loss คือคำสั่งอัตโนมัติสำหรับซื้อหรือขายสินทรัพย์เมื่อราคาตกถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ประโยชน์สำคัญคือช่วยจำกัดขาดทุน รักษาทุน และเสริมวินัยในการเทรด โดยไม่ต้องตัดสินใจภายใต้อารมณ์ขณะเกิดเหตุการณ์จริง ทำให้เหมาะกับตลาดหุ้น คริปโต และ Forex ที่ผันผวน
Cut Loss กับ Stop Loss ต่างกันอย่างไร และนักลงทุนไทยควรเลือกใช้แบบไหน?
Cut Loss คือการขายด้วยตัวเองเพื่อหยุดขาดทุนในขณะนั้น ขณะที่ Stop Loss เป็นคำสั่งอัตโนมัติที่ตั้งล่วงหน้าเพื่อขายเมื่อราคาถึงจุดกำหนด สำหรับนักลงทุนไทยที่มักติดปัญหาอารมณ์และความหวังว่าราคาจะฟื้น Stop Loss จึงเหมาะกว่าเพราะช่วยรักษาวินัยและจำกัดขาดทุนตามแผนได้ดี
ควรตั้ง Stop Loss เท่าไหร่ดีสำหรับหุ้นไทย? มีหลักการคำนวณหรือกลยุทธ์แนะนำไหม?
ไม่มีสูตรตายตัว แต่หลักการคือ:
- ตามเปอร์เซ็นต์: เช่น 5-10% จากราคาซื้อเข้า
- ตามจำนวนเงิน: กำหนดเงินสูงสุดที่ยอมเสีย
- ตามเทคนิค: วางต่ำกว่าแนวรับสำคัญ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือใช้ ATR เพื่อคำนึงถึงความผันผวนของหุ้นแต่ละตัว ควรศึกษาลักษณะหุ้นและปรับให้เข้ากับกลยุทธ์ส่วนตัว
Trailing Stop Loss คืออะไร และเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไรในตลาดที่มีแนวโน้ม?
Trailing Stop Loss คือ Stop Loss ที่ปรับตามราคาเมื่อราคาเคลื่อนไปทางที่ให้กำไร เช่น ราคาขึ้น จุด Stop Loss ก็เลื่อนขึ้นตาม ประโยชน์คือล็อกกำไรบางส่วนไว้พร้อมจำกัดขาดทุนเดิม เหมาะสำหรับตลาดแนวโน้ม (Trending Market) เพื่อปล่อยกำไรวิ่งนานขึ้นโดยยังปลอดภัย
วิธีตั้ง Stop Loss ในแอป Streaming มือถือ (SETTRADE) ทำได้อย่างไร มีขั้นตอนละเอียดไหม?
ตั้งผ่านเมนู “Conditional Order” หรือ “Stop Order” โดยระบุ “Stop Price” สำหรับราคากระตุ้น และ “Limit Price” สำหรับราคาขาย พร้อมจำนวนหุ้น ขั้นตอนอาจต่างเล็กน้อยตามเวอร์ชันแอป แต่หลักคือกำหนดเงื่อนไขราคาและปริมาณล่วงหน้าเพื่อให้ระบบทำงานอัตโนมัติ
ถ้าตั้ง Stop Loss แล้วราคาลงไปต่ำกว่าจุดที่ตั้งไว้มาก จะเกิดอะไรขึ้น?
เกิด slippage หรือการคลาดเคลื่อนราคา เมื่อราคาแตะจุด Stop Loss คำสั่งจะกลายเป็น Market Order และอาจจับคู่ที่ราคาต่ำกว่าที่ตั้ง โดยเฉพาะในตลาดผันผวนสูงหรือสภาพคล่องต่ำ ทำให้ขาดทุนจริงมากกว่าคาดเล็กน้อยหรือมาก
การไม่ตั้ง Stop Loss มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และส่งผลต่อนักลงทุนไทยอย่างไร?
เสี่ยงขาดทุนไม่จำกัด หากราคาเคลื่อนสวนทาง ทุนอาจหายวับในพริบตา สำหรับนักลงทุนไทย มักนำไปสู่ “ติดดอย” หรือขาดทุนสะสมจากความหวังฟื้น ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและจิตใจในการลงทุนอย่างรุนแรง
มีข้อผิดพลาดอะไรบ้างที่นักลงทุนมักทำในการตั้ง Stop Loss และจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร?
ผิดพลาดทั่วไปคือตั้งจุดแคบหรือกว้างเกิน หรือปรับด้วยอารมณ์ หลีกเลี่ยงโดยวางแผนเทรดชัดเจน ใช้เครื่องมือเทคนิคกำหนดจุด และยึดวินัยไม่ให้กลัวหรือโลภครอบงำ เพื่อให้การเทรดมีประสิทธิภาพ
Stop Loss ใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ไหม เช่น ทองคำ หรือกองทุนรวม?
ใช้ได้กับสินทรัพย์ที่ซื้อขายเรียลไทม์และคล่องตัวสูง เช่น หุ้น Forex คริปโต ทองคำ (ผ่านฟิวเจอร์สหรือ ETF) แต่สำหรับกองทุนรวม อาจไม่มีคำสั่งตรงๆ เพราะ NAV ไม่เคลื่อนไหวต่อเนื่อง ต้องใช้กลไกคล้ายๆ กันแทน
การใช้ Stop Loss มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนอย่างไร และช่วยให้นักลงทุนมีวินัยได้จริงหรือ?
Stop Loss ช่วยตัดอารมณ์ออกจาก quyết định ทำให้ยึดแผนล่วงหน้าได้อย่างมีวินัย ลดความเครียดจากขาดทุน และเพิ่มความมั่นใจเพราะเสี่ยงถูกจำกัดไว้ ส่งผลให้ตัดสินใจเทรดด้วยเหตุผลมากขึ้นจริง