ในแวดวงการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือคริปโตเคอร์เรนซี คำว่า “เพิกถอน” หรือ Delist ถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนทุกคน โดยเฉพาะในไทย ควรศึกษาอย่างละเอียด เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และเข้าใจสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายไทยให้ชัดเจน บทความนี้จะพาคุณสำรวจความหมาย สาเหตุ ผลกระทบ และวิธีรับมือ โดยมุ่งเน้นบริบทของตลาดทุนไทย รวมถึงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและมั่นใจ

Delist คืออะไร? คำจำกัดความพื้นฐานและแนวคิดหลัก
โดยทั่วไป คำว่า Delist หมายถึงการถอดถอนหรือเอารายการออกจากบัญชีหรือรายชื่อ ในมุมมองที่กว้างขวาง เราอาจคุ้นเคยกับการนำสินค้าออกจากชั้นวางในร้านค้า หรือการลบชื่อจากรายการสมาชิก แต่เมื่อพูดถึงวงการการเงิน Delist หรือการเพิกถอน กลับมีความหมายที่เฉพาะเจาะจงและสำคัญมาก นั่นคือ การที่หลักทรัพย์ของบริษัทถูกถอดออกจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลให้หุ้นของบริษัทนั้นไม่สามารถซื้อขายได้ในตลาดสาธารณะอีกต่อไป

เมื่อบริษัทถูกเพิกถอน สถานะของบริษัทและนักลงทุนจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้ถือหุ้นจะพบกับความยากลำบากในการซื้อขาย เนื่องจากขาดแพลตฟอร์มทางการที่รองรับ ทำให้สภาพคล่องหายไปในทันที
การเพิกถอน (Delisting) มีสองประเภทหลัก: แบบสมัครใจและแบบไม่สมัครใจ
การเพิกถอนบริษัทจากตลาดหลักทรัพย์สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งออกเป็นประเภทหลักสองแบบ คือ การเพิกถอนโดยสมัครใจและโดยไม่สมัครใจ แต่ละแบบมีแรงผลักดันและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป
-
การเพิกถอนแบบสมัครใจ (Voluntary Delisting): บริษัทเลือกที่จะถอนหุ้นออกจากตลาดด้วยตัวเอง เนื่องจากเหตุผลทางธุรกิจ เช่น:
- การแปรรูปเป็นบริษัทเอกชน (Going Private): บริษัทอาจซื้อหุ้นคืนจากสาธารณะ เพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบที่เข้มงวดของบริษัทจดทะเบียน
- การควบรวมกิจการและการเข้าซื้อกิจการ (Merger and Acquisition – M&A): เมื่อบริษัทถูกซื้อกิจการ หุ้นเดิมอาจถูกเพิกถอนและแปลงเป็นหุ้นของบริษัทใหม่
- การปรับโครงสร้างเชิงกลยุทธ์: เพื่อมุ่งเน้นธุรกิจหลัก หรือเพราะต้นทุนการเป็นบริษัทจดทะเบียนสูงเกินประโยชน์ที่ได้รับ
-
การเพิกถอนแบบไม่สมัครใจ (Involuntary Delisting): ตลาดหลักทรัพย์บังคับให้เพิกถอน เนื่องจากบริษัทไม่ปฏิบัติตามกฎหรือมีปัญหาการเงินรุนแรง เช่น:
- สถานะทางการเงินที่ย่ำแย่: ขาดทุนติดต่อกัน หนี้สินสูง หรือส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ
- ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานการจดทะเบียน: เช่น สภาพคล่องหุ้นต่ำ ไม่ส่งงบการเงินทันเวลา หรือขาดหลักธรรมาภิบาล
- การละเมิดกฎหมายหรือกฎระเบียบ: ฝ่าฝืนกฎของตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต.
- การล้มละลาย: เมื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย หุ้นจะถูกเพิกถอนอัตโนมัติ

นักลงทุนควรแยกแยะระหว่างสองประเภทนี้ เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อพอร์ตลงทุนของตนได้อย่างถูกต้อง
กฎระเบียบและกระบวนการเพิกถอนในตลาดหุ้นไทย (Delisting in Thailand’s Stock Market)
ในไทย การเพิกถอนหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวดจาก SET และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งทั้งสองหน่วยงานมีหน้าที่ปกป้องนักลงทุนและรักษาความเชื่อมั่นในตลาด
กฎเกณฑ์การเพิกถอนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): ก.ล.ต. และ ทจ. 34/2552 โดยละเอียด
SET มีข้อกำหนดชัดเจนสำหรับการเพิกถอน เพื่อรักษาคุณภาพบริษัทจดทะเบียนและคุ้มครองนักลงทุน ก.ล.ต. รับผิดชอบกำหนดนโยบายและกฎหมาย เช่น ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 34/2552 (เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่) และประกาศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเพิกถอน
ประกาศ ทจ. 34/2552 เป็นกฎสำคัญที่กำหนดคุณสมบัติการเสนอขายหุ้นและการดำรงสถานะบริษัทจดทะเบียน หากไม่ปฏิบัติตาม อาจนำไปสู่การเพิกถอน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดหลักเกณฑ์เพิกถอน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น:
- ฐานะการเงิน: ขาดทุนต่อเนื่อง ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ หรือหนี้สินเกินทุน
- การดำรงคุณสมบัติ: ไม่รักษาสภาพคล่องหุ้น ส่งงบการเงินล่าช้า
- การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบ: ฝ่าฝืนกฎหลักทรัพย์อย่างร้ายแรง
- การปรับโครงสร้างหนี้: ไม่แก้ไขปัญหาหนี้สินได้ตามกำหนด
กระบวนการเริ่มจาก SET ขึ้นเครื่องหมายเตือน เช่น NC, SP, C และให้เวลาบริษัทแก้ไข หากไม่สำเร็จ จะเสนอคณะกรรมการพิจารณาเพิกถอน หากเห็นชอบ จะแจ้งนักลงทุนและให้เวลาซื้อขายก่อนเพิกถอนมีผล
กรณีศึกษาการเพิกถอนบริษัทไทย: บทเรียนและผลกระทบจาก TCCC
การดูตัวอย่างจริงช่วยให้เข้าใจผลกระทบของ Delist ได้ดี กรณีที่น่าสนใจในตลาดไทยคือ บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน) หรือ TCCC ผู้ผลิตปุ๋ยเคมีรายใหญ่ ซึ่งถูกเพิกถอนจาก SET เมื่อ 31 พฤษภาคม 2565 หลังเสนอซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือรายย่อยเพื่อแปรรูปเป็นบริษัทเอกชน
เบื้องหลังและสาเหตุ: ผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องการปรับโครงสร้างธุรกิจ ลดภาระกฎระเบียบ โดยเสนอซื้อหุ้นคืนในราคายุติธรรม
ผลกระทบต่อนักลงทุน: ผู้ถือรายย่อยสามารถขายคืนหรือถือต่อ แต่การถือต่อจะมีสภาพคล่องต่ำและประเมินมูลค่าหุ้นยาก
บทเรียน: กรณีนี้เป็นเพิกถอนสมัครใจ ที่มักมีข้อเสนอซื้อคืน แต่ผู้ลงทุนควรติดตามข่าวจาก SET และบริษัท เพื่อเข้าใจผลกระทบต่อสภาพคล่อง
การ Delisting ในโลกของคริปโทเคอร์เรนซี: การถอดถอนสินทรัพย์ดิจิทัลออกจากกระดานเทรด
แนวคิด Delist ไม่จำกัดแค่หุ้น แต่ขยายไปสู่คริปโตเคอร์เรนซีด้วย เมื่อเหรียญหรือโทเคนถูกเพิกถอนจากกระดานเทรด หมายถึงหยุดบริการซื้อขาย ถอน และฝาก ซึ่งกระทบผู้ถือโดยตรง
เหตุผลที่กระดานเทรดคริปโทเคอร์เรนซีถอดถอนเหรียญบางสกุล:
- กิจกรรมโครงการที่ต่ำ: โครงการขาดพัฒนา ไม่มีอัปเดตหรือชุมชน活跃
- ปริมาณการซื้อขายต่ำ: สภาพคล่องต่ำ ไม่คุ้มค่าที่กระดานจะคงไว้
- ปัญหาทีมงาน: ทีมพัฒนามีปัญหาหรือทิ้งโครงการ
- ช่องโหว่ด้านความปลอดภัย: พบช่องโหว่ในสัญญาอัจฉริยะที่เสี่ยงต่อผู้ใช้
- ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: ไม่ตรงตามกฎหมายของประเทศกระดานเทรด เช่น ถือเป็นหลักทรัพย์ไม่ลงทะเบียน
- โมเดลเศรษฐกิจโทเคนล้มเหลว: ระบบไม่ยั่งยืน มีปัญหาอุปทาน-อุปสงค์
ผลกระทบต่อผู้ถือครอง:
- สภาพคล่องลดลง: ไม่ซื้อขายบนกระดานนั้นได้ เปลี่ยนเป็นเงินสดยาก
- ความเสี่ยงที่มูลค่าสินทรัพย์เป็นศูนย์: ถ้าถูกเพิกถอนหลายแห่ง มูลค่าอาจหายไป
- ข้อจำกัดในการโอนย้าย: มีเวลาจำกัดถอนก่อนปิดระบบ
นักลงทุนคริปโตในไทยควรติดตามข่าวจากกระดานเทรด เพื่อป้องกันสินทรัพย์จากความเสี่ยง Delist
ผลกระทบและกลยุทธ์การรับมือของนักลงทุนเมื่อบริษัทถูกเพิกถอน (Delisting)
การเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ส่งผลรุนแรงต่อนักลงทุน โดยเฉพาะสภาพคล่องและมูลค่าหลักทรัพย์ แต่ในไทย นักลงทุนมีสิทธิและวิธีปฏิบัติเพื่อปกป้องผลประโยชน์
จะทำอย่างไรเมื่อบริษัทถูกเพิกถอน? การคุ้มครองสิทธิและแนวทางสำหรับนักลงทุนไทย
เมื่อหุ้นถูก Delist นักลงทุนจะเจอ:
- สภาพคล่องของหุ้นลดลงอย่างมาก: ไม่ซื้อขายปกติใน SET
- ความไม่แน่นอนของมูลค่า: ประเมินราคายาก ไม่มีผู้ซื้อ
- สิทธิผู้ถือหุ้นอาจถูกกระทบ: เข้าถึงข้อมูลหรือตัดสินใจบริษัทยากขึ้น
กลยุทธ์การรับมือสำหรับนักลงทุนไทย:
-
ติดตามข่าวสารและประกาศ: ตรวจสอบจาก SET และ ก.ล.ต. รวมถึงข่าวบริษัท เพื่อเข้าใจเหตุผลและ timeline
-
ทำความเข้าใจสิทธิผู้ถือหุ้นตามกฎหมายไทย:
- ข้อเสนอซื้อหุ้นคืน (Tender Offer): ในเพิกถอนสมัครใจ เช่น TCCC บริษัทเสนอซื้อคืนราคายุติธรรม
- สิทธิผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วย (Dissenting Shareholder Rights): ถ้าเพิกถอนจาก M&A และไม่เห็นด้วย สามารถขอซื้อคืนราคา fair ตามกฎหมาย
-
พิจารณาการขอคำปรึกษาทางกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญ: ปรึกษาทนายหรือที่ปรึกษาการเงินเฉพาะทางกฎหลักทรัพย์
-
การซื้อขายในตลาดนอกตลาดหลักทรัพย์ (Over-the-Counter – OTC): หุ้น Delist อาจซื้อขาย OTC ได้ แต่สภาพคล่องต่ำ หาผู้ซื้อขายยาก
การเตรียมตัวและรู้สิทธิคือสิ่งสำคัญในการรักษาเงินลงทุนจาก Delist
จะหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเพิกถอนได้อย่างไร? สัญญาณเตือนในตลาดไทย
การป้องกันดีกว่าหรรักษา นักลงทุนควรเรียนรู้สัญญาณเตือนของบริษัทเสี่ยงเพิกถอน ในตลาดหุ้นไทย มีปัจจัยหลายอย่างที่บ่งบอกความเสี่ยงเหล่านี้
สิ่งที่นักลงทุนไทยควรอ่าน: ระบุสัญญาณเตือนของหุ้นที่มีความเสี่ยง Delist สูง
เพื่อปกป้องการลงทุน นักลงทุนไทยควรวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้:
-
งบการเงิน:
- ขาดทุนต่อเนื่อง: ขาดทุนหลายไตรมาสหรือปี อาจเสี่ยงเพิกถอน
- ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ: สัญญาณร้ายแรง หนี้มากกว่าสินทรัพย์
- กระแสเงินสดติดลบ: ไม่สร้างเงินสดจากธุรกิจ แสดงปัญหาการดำเนินงาน
- หนี้สินสูง: D/E Ratio สูง ความสามารถชำระต่ำ
-
การรายงานข้อมูลและธรรมาภิบาล:
- ไม่ส่งงบการเงินตามกำหนด: ล่าช้าหรือไม่ส่ง เป็นสัญญาณรุนแรง
- การถูกตรวจสอบโดย ก.ล.ต. หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ: มีข่าวสอบสวนหรือปัญหาธรรมาภิบาล
- การเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร/ผู้สอบบัญชีบ่อยครั้ง: บ่งชี้ปัญหาภายใน
-
ประกาศและเครื่องหมายของตลาดหลักทรัพย์ฯ:
- เครื่องหมาย NC (Non-Compliance): ไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์บริษัทจดทะเบียน
- เครื่องหมาย SP (Suspension): ห้ามซื้อขายชั่วคราว เพื่อชี้แจงหรือแก้ไข
- เครื่องหมาย C (Caution): มีเหตุการณ์กระทบฐานะการเงินหรือผลงาน
เข้าใจเครื่องหมายเหล่านี้และเฝ้าระวังบริษัทที่ถูกขึ้น
-
ข่าวสารและบทวิเคราะห์: ติดตามจากแหล่งน่าเชื่อถือและนักวิเคราะห์ เพื่อข้อมูลลึก
การวิเคราะห์พื้นฐานและติดตามประกาศจากหน่วยงานกำกับอย่างสม่ำเสมอ ช่วยหลีกเลี่ยงหุ้นเสี่ยง Delist ในตลาดไทย
สรุป: การเข้าใจ ‘Delist’ กุญแจสู่การลงทุนที่มั่นคงในตลาดการเงินไทย
Delist ไม่ใช่แค่คำศัพท์ แต่เป็นเหตุการณ์ที่กระทบเงินลงทุนและอนาคตทางการเงินอย่างลึกซึ้ง การรู้จักความหมาย สาเหตุ และผลกระทบ ไม่ว่าจะในหุ้นไทยหรือคริปโต จึงจำเป็นมาก
บทความนี้เน้นกฎระเบียบและกระบวนการเพิกถอนในไทย โดยเฉพาะบทบาท ก.ล.ต. และ SET รวมถึง ทจ. 34/2552 และกรณี TCCC ยังให้คำแนะนำปฏิบัติสำหรับรับมือ Delist และระบุสัญญาณเตือนเพื่อหลีกเลี่ยงเสี่ยง
การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ด้วยความรู้ที่ถูกต้องและการเตรียมพร้อม นักลงทุนไทยสามารถนำทางตลาดผันผวนได้อย่างมั่นคง การเรียนรู้ต่อเนื่องและขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญคือกุญแจสู่ความสำเร็จระยะยาว
Delist แปล ว่า อะไร?ในตลาดหุ้นไทย บริษัทหุ้นถูก Delist หมายความว่าอะไร?
Delist หรือ การเพิกถอน หมายถึง การที่หลักทรัพย์ของบริษัทถูกถอดถอนออกจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทำให้หุ้นของบริษัทนั้นไม่สามารถซื้อขายได้ตามปกติในตลาดเปิดสาธารณะอีกต่อไป ส่งผลให้สภาพคล่องของหุ้นลดลงอย่างมาก และทำให้นักลงทุนขายหุ้นได้ยากขึ้น
บริษัทไทยถูกบังคับเพิกถอน (Delisting) มีสาเหตุหลักๆ อะไรบ้าง? ก.ล.ต. มีบทบาทอย่างไร?
สาเหตุหลักๆ ของการถูกบังคับเพิกถอน ได้แก่ การมีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ไม่สามารถดำรงคุณสมบัติการจดทะเบียนตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ หรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบอย่างร้ายแรง ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) มีบทบาทในการกำหนดนโยบายและออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลบริษัทจดทะเบียน รวมถึงกระบวนการเพิกถอน เพื่อคุ้มครองนักลงทุนและรักษาความน่าเชื่อถือของตลาด
ถ้าฉันถือหุ้นไทยที่ถูก Delist แล้ว ในฐานะนักลงทุนฉันมีสิทธิอะไรบ้าง? ควรจัดการอย่างไร?
หากหุ้นถูก Delist นักลงทุนควรติดตามประกาศจากบริษัทและตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างใกล้ชิด ในกรณีการเพิกถอนแบบสมัครใจ บริษัทมักจะเสนอซื้อหุ้นคืนในราคาที่กำหนด (Tender Offer) ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกที่จะขายหุ้นคืนได้ หากเป็นการเพิกถอนจากการควบรวมกิจการและคุณไม่เห็นด้วย อาจมีสิทธิในการขอให้บริษัทซื้อหุ้นคืนในราคาที่เป็นธรรมตามที่กฎหมายกำหนด คุณควรปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินหรือทนายความเพื่อทำความเข้าใจสิทธิและทางเลือกของคุณ
ประกาศ ทจ. 34/2552 ซึ่งเป็นกฎหมายไทย มีข้อกำหนดเฉพาะเจาะจงอย่างไรเกี่ยวกับกระบวนการ Delist ของบริษัทจดทะเบียน?
ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ. 34/2552 เรื่อง การขออนุญาตและการอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ เป็นกฎเกณฑ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทที่ต้องการเสนอขายหุ้น และการดำรงสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียน หากบริษัทไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในประกาศนี้และประกาศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเหตุให้ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาเพิกถอนได้ เนื่องจากถือว่าไม่ดำรงคุณสมบัติการเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ดี
นอกจากหุ้นแล้ว นักลงทุนไทยในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีก็อาจประสบปัญหาเหรียญถูก Delist ได้หรือไม่? สาเหตุและผลกระทบแตกต่างกันอย่างไร?
ได้ครับ นักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีในไทยก็อาจประสบปัญหาเหรียญถูก Delist ออกจากกระดานเทรดได้เช่นกัน สาเหตุอาจแตกต่างจากหุ้น เช่น โครงการไม่มีความคืบหน้า ปริมาณการซื้อขายต่ำ มีปัญหาด้านความปลอดภัย หรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบของกระดานเทรด ผลกระทบที่คล้ายกันคือสภาพคล่องลดลงอย่างมาก แต่ต่างกันตรงที่เหรียญคริปโทฯ อาจไม่มีกลไกการซื้อคืนที่ชัดเจนเหมือนหุ้น ทำให้ความเสี่ยงที่มูลค่าสินทรัพย์จะกลายเป็นศูนย์สูงกว่า
จะตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่กำลังจะถูก Delist หรือถูก Delist ไปแล้วจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้อย่างไร?
นักลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่กำลังจะถูก Delist หรือถูก Delist ไปแล้วได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยตรง โดยเข้าไปที่ส่วนของ ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือประกาศข่าวสารของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะมีการแจ้งเตือนและอัปเดตข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ
ตลาดซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาด (OTC) ของไทย สามารถซื้อขายหุ้นที่ถูก Delist ไปแล้วได้หรือไม่? มีขั้นตอนอย่างไร?
หุ้นที่ถูก Delist ไปแล้วอาจยังสามารถซื้อขายได้ในตลาดซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาด (Over-the-Counter – OTC) ซึ่งเป็นตลาดที่ไม่เป็นทางการ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายในตลาด OTC มีสภาพคล่องต่ำมากและทำได้ยาก การค้นหาผู้ซื้อหรือผู้ขายต้องเป็นไปโดยตรงระหว่างนักลงทุน และอาจต้องดำเนินการผ่านโบรกเกอร์บางรายที่ให้บริการซื้อขายหุ้นนอกตลาด ซึ่งมีข้อจำกัดและค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาก
ฉันจะระบุได้อย่างไรว่าบริษัทไทยใดมีความเสี่ยงแฝงที่จะถูก Delist? มีสัญญาณเตือนทางการเงินหรือธรรมาภิบาลอะไรบ้าง?
คุณสามารถระบุความเสี่ยงได้โดยการวิเคราะห์งบการเงินของบริษัท เช่น การขาดทุนต่อเนื่อง ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ หรือมีหนี้สินสูงเกินไป นอกจากนี้ สัญญาณด้านธรรมาภิบาล เช่น การไม่ส่งงบการเงินตามกำหนด การถูกตลาดหลักทรัพย์ฯ ขึ้นเครื่องหมายเตือน (เช่น NC, SP, C) หรือมีข่าวเกี่ยวกับการถูกสอบสวนโดย ก.ล.ต. ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่นักลงทุนไทยควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด