ตลาดกระทิง คืออะไร? 5 สัญญาณและกลยุทธ์สำคัญสำหรับนักลงทุนไทย

ตลาดหลักทรัพย์ไทย

ตลาดกระทิง คืออะไร? ทำความเข้าใจ Bull Market เบื้องต้น

ตลาดกระทิง หรือที่รู้จักในชื่อ Bull Market คือระยะเวลาที่ตลาดการเงินทั้งหุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์อื่นๆ แสดงแนวโน้มราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุม สิ่งนี้สะท้อนถึงความรู้สึกเชิงบวกในวงการลงทุนและความมั่นใจที่เพิ่มพูนของผู้เข้าร่วมตลาด ชื่อเรียกนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากพฤติกรรมของวัวกระทิงที่ใช้เขาแทงขึ้นด้านบน คล้ายกับการที่ราคาในตลาดทะยานขึ้นสู่จุดสูงใหม่ ช่วงเวลานี้มักเกิดขึ้นควบคู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การลดลงของอัตราการว่างงาน และผลประกอบการที่สดใสของธุรกิจต่างๆ ซึ่งจุดประกายให้ผู้ลงทุนกล้าที่จะทุ่มเทมากยิ่งขึ้น

illustration of a strong bull charging upwards symbolizing a rising market with positive investor sentiment

ในบริบทของไทย ดัชนี SET Index ก็เคยเผชิญกับหลายช่วงเวลาที่ชี้ชัดถึงตลาดกระทิง ซึ่งมักสอดคล้องกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือกระแสเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลบ่าเข้ามา ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดไทยขยับขึ้นอย่างน่าประทับใจ การทำความรู้จักกับแนวคิดพื้นฐานของตลาดกระทิงจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในประเทศไทยและมุ่งหวังจะวางกลยุทธ์การลงทุนให้เฉียบแหลมยิ่งขึ้น

สัญญาณและลักษณะสำคัญของ ตลาดกระทิง

เพื่อให้ทราบว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะกระทิงหรือไม่ นักลงทุนสามารถสังเกตจากสัญญาณและคุณสมบัติหลักๆ ได้หลายด้าน ซึ่งช่วยให้มองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

illustration of charts showing continuous upward trends high trading volumes and confident investors in a thriving economy
  • ราคาหุ้นและดัชนีหลักทรัพย์ที่ขยับขึ้นไม่หยุดยั้ง: นี่คือตัวบ่งชี้ที่เด่นชัดที่สุด โดยเฉพาะดัชนีหลักอย่าง SET Index ที่มักทะลุจุดสูงสุดเดิมหรือเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นที่มั่นคง นานหลายเดือนหรือหลายปีติดต่อกัน
  • ปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูง: เมื่อความมั่นใจแผ่ขยาย นักลงทุนจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างคึกคัก ส่งผลให้ยอดซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • ผลประกอบการของบริษัทที่สดใสขึ้น: บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เผชิญกับการเติบโตที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่รุ่งเรือง ซึ่งเป็นรากฐานที่หนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวสูง
  • เศรษฐกิจที่ขยายตัวและการว่างงานที่ลดลง: โดยปกติ ตลาดกระทิงจะปรากฏในยุคที่เศรษฐกิจของชาติกำลังเบ่งบาน อัตราการว่างงานต่ำ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่พุ่งปรี๊ด: ผู้ลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกมองโลกในแง่ดี มีความกระฉับกระเฉงในการเข้ามาลงทุน และมองเห็นโอกาสทำกำไรที่ชัดเจน
  • การเสนอขายหุ้นใหม่หรือ IPO ที่เพิ่มจำนวน: ธุรกิจต่างๆ ชอบเลือกช่วงนี้ในการระดมทุน เนื่องจากสามารถเสนอหุ้นในราคาที่สูงและดึงดูดความสนใจจากตลาดได้ง่าย

องค์ประกอบเหล่านี้รวมพลังกัน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน และขับเคลื่อนตลาดให้ไหลไปในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง

ตลาดกระทิง vs ตลาดหมี: ความแตกต่างที่นักลงทุนควรรู้

illustration comparing a powerful bull with rising market graphs against a declining bear with falling market graphs

การแยกแยะระหว่างตลาดกระทิงกับตลาดหมีถือเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้เห็นภาพที่เปรียบเทียบได้ง่าย ข้อมูลหลักๆ สามารถสรุปไว้ในตารางดังนี้

คุณสมบัติ ตลาดกระทิง (Bull Market) ตลาดหมี (Bear Market)
ทิศทางราคา ราคาหุ้นและสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นและสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
ตลาดอารมณ์ นักลงทุนมีความเชื่อมั่น, มองโลกในแง่ดี, กระตือรือร้น นักลงทุนมีความกังวล, มองโลกในแง่ร้าย, ขาดความมั่นใจ
ปริมาณการซื้อขาย สูง, โดยเฉพาะในช่วงที่ราคากำลังพุ่งขึ้น ต่ำลง, แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยก็มักจะไม่มีวอลุ่มรองรับ
ปัจจัยเศรษฐกิจ เติบโต, การว่างงานต่ำ, กำไรบริษัทดีขึ้น ชะลอตัว, ถดถอย, การว่างงานสูง, กำไรบริษัทลดลง
กลยุทธ์ที่นิยม ซื้อและถือ, ซื้อเมื่อย่อตัว, ลงทุนในหุ้นเติบโต ขายชอร์ต, ถือเงินสด, ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย
ลักษณะการโจมตี วัวกระทิงช้อนเขาขึ้น (ราคาขึ้น) หมีตะปบลง (ราคาลง)

การเปลี่ยนผ่านจากตลาดกระทิงสู่ตลาดหมี หรือกลับกัน มักถูกกระตุ้นจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือปัจจัยสำคัญที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดังนั้น การเตรียมตัวรับมือกับทั้งสองสถานการณ์จึงเป็นหัวใจของการลงทุนที่ยั่งยืน

ผลกระทบของ ตลาดกระทิง ต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ

ภาวะตลาดกระทิงส่งผลกระทบต่อประเภทสินทรัพย์ที่หลากหลายในรูปแบบที่แตกต่างกันไป นักลงทุนควรพิจารณาถึงผลลัพธ์เหล่านี้เพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

  • หุ้น: หุ้นได้รับผลดีโดยตรงและเด่นชัดที่สุดในช่วงนี้ ราคาหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ผลประกอบการที่เติบโต และการประเมินมูลค่าที่สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตที่มักเปล่งประกายเป็นพิเศษ
  • คริปโตเคอร์เรนซี: ตลาดคริปโตอย่าง Bitcoin และ Ethereum แม้จะผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้น แต่ก็มักตอบสนองเชิงบวกต่อกระแสตลาดกระทิง โดยเฉพาะเมื่อนักลงทุนกล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น ในไทย แพลตฟอร์มอย่าง Bitkub ก็จะเห็นยอดซื้อขายที่คึกคักในช่วงดังกล่าว
  • ทองคำ: ทองคำมักถูกจัดเป็นสินทรัพย์หลบภัยที่นักลงทุนหันไปถือครองในยามเศรษฐกิจไม่แน่นอน แต่ในตลาดกระทิงที่ความเชื่อมั่นสูงและผู้ลงทุนไล่ล่าผลตอบแทนที่มากกว่า ราคาทองคำอาจไม่พุ่งแรงเท่าสินทรัพย์อื่นๆ หรือบางครั้งอาจปรับตัวลงเล็กน้อย เมื่อเงินทุนไหลไปยังตัวเลือกที่ให้ผลดีกว่า
  • อสังหาริมทรัพย์: ช่วงตลาดกระทิงมักมาพร้อมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยหนุนตลาดอสังหาฯ ทางอ้อม ราคาที่อยู่อาศัยและที่ดินมีแนวโน้มสูงขึ้นจากกำลังซื้อที่เพิ่ม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และความต้องการทั้งเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนที่ขยายตัว

แม้ในช่วงที่ตลาดรุ่งเรือง การกระจายพอร์ตลงทุนให้ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภทก็ยังเป็นแนวทางที่ชาญฉลาด เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง

กลยุทธ์การลงทุนและข้อควรระวังใน ตลาดกระทิง สำหรับนักลงทุนไทย

ถึงแม้ตลาดกระทิงจะเปิดโอกาสทำกำไรเพียบ แต่สำหรับนักลงทุนในไทย การมีแผนการที่รัดกุมและคำเตือนที่ชัดเจนจะช่วยปกป้องผลประโยชน์และลดความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่

  • ลงทุนระยะยาว: นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถือครองบริษัทที่มีรากฐานมั่นคง วิธีถัวเฉลี่ยต้นทุนหรือ DCA ยังคงใช้ได้ผลดี แม้ตลาดจะขาขึ้น ช่วยให้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องกังวลเรื่องจังหวะที่ผิดพลาด
  • กระจายการลงทุน: แม้ตลาดจะสดใส แต่การแบ่งเงินไปยังสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้น กองทุนรวม คริปโต หรือทองคำ จะช่วยลดผลกระทบหากมีสินทรัพย์ใดปรับฐานกะทันหัน
  • ทำกำไรอย่างมีระบบ: การตั้งจุดขายที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากตลาดกระทิงไม่มีวันสิ้นสุดตลอดไป การขายบางส่วนเมื่อราคาแตะเป้าหมายจะช่วยล็อกกำไรและป้องกันการพลิกผัน
  • บริหารความเสี่ยง: ใช้จุดตัดขาดทุนสำหรับทุกการลงทุน เพื่อจำกัดความสูญเสียหากตลาดไม่เป็นดังหวัง และหลีกเลี่ยงการทุ่มเงินที่เกินกว่าที่ตนเองรับไหว
  • เลี่ยง FOMO: ความกลัวพลาดโอกาสคือกับดักใหญ่ในช่วงนี้ นักลงทุนอาจรีบไล่ซื้อหุ้นที่พุ่งสูง ซึ่งเสี่ยงซื้อที่จุดยอด ควรยึดติดกับแผนและลงทุนด้วยสติ
  • ติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ: อัพเดทข่าวเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนโยบายจากธนาคารแห่งประเทศไทยและ ก.ล.ต. (www.sec.or.th) เพื่อตัดสินใจบนพื้นฐานที่มั่นคง

ตัวอย่างประวัติศาสตร์ ตลาดกระทิง ในประเทศไทยและทั่วโลก

การย้อนดูตัวอย่างตลาดกระทิงในอดีตช่วยให้เข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะในระดับสากลหรือเฉพาะในไทย ซึ่งมีเหตุการณ์น่าจดจำหลายครั้ง

ตัวอย่างตลาดกระทิงทั่วโลก:

  • ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสหรัฐอเมริกา (1940s-1960s): เศรษฐกิจอเมริกันฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังสงคราม นำไปสู่ตลาดกระทิงที่ยาวนานหลายสิบปี
  • ฟองสบู่ดอทคอม ปลายทศวรรษ 1990s: หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกรับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะบริษัทอินเทอร์เน็ต แม้หลายแห่งยังไม่ทำกำไร แต่ความหวังในอนาคตดึงดูดนักลงทุน ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกในปี 2000
  • ตลาดกระทิงหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 (2009-2020): หลังวิกฤตซับไพรม์และการผ่อนคลายทางการเงินจากธนาคารกลาง ตลาดหุ้นสหรัฐและโลกเข้าสู่ช่วงกระทิงที่ยาวที่สุด ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นกว่า 400% (ที่มา: Investopedia)

ตัวอย่างตลาดกระทิงในประเทศไทย:

  • ปลายทศวรรษ 1980s – ต้นทศวรรษ 1990s: เศรษฐกิจไทยขยายตัวเร็ว ดึงดูดทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้น SET Index ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จนกว่าจะมาถึงวิกฤตปี 2540
  • หลังวิกฤตซับไพรม์ (2552-2556): ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวเด่น จากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นและมาตรการกระตุ้นภายใน SET Index ขยับจากราว 400 จุด สู่กว่า 1,600 จุด (ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
  • หลังวิกฤตโควิด-19 (2563-2564): แม้เผชิญความท้าทายใหญ่ แต่มาตรการผ่อนคลายการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล รวมถึงความหวังในการฟื้นตัว ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยกลับสู่ขาขึ้นในช่วงสั้นๆ

ประสบการณ์จากอดีตเตือนใจว่า ตลาดกระทิงเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่หมุนเวียน และมักจบลงด้วยการปรับฐานหรือเข้าสู่ตลาดหมี ดังนั้น การไม่ประมาทจึงเป็นบทเรียนหลัก

บทสรุป: เตรียมพร้อมรับมือ ตลาดกระทิง อย่างชาญฉลาด

ตลาดกระทิงนำมาซึ่งโอกาสและความตื่นเต้นให้กับนักลงทุน แต่ก็ซ่อนความเสี่ยงไว้หากขาดการวางแผนที่รอบคอบ การเข้าใจสาระสำคัญของตลาดกระทิง สัญญาณที่บ่งบอก และความแตกต่างจากตลาดหมี เป็นพื้นฐานที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับนักลงทุนไทย การคว้าโอกาสจากช่วงนี้ต้องอาศัยแนวทางที่ละเอียดถี่ถ้วน เช่น การลงทุนยาวๆ การกระจายความเสี่ยง การทำกำไรที่เหมาะสม และการจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันความสูญเสีย การหลีกเลี่ยง FOMO และยึดมั่นในแผนส่วนตัวจะช่วยให้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน

ตลาดการเงินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว ไม่ว่าตลาดจะเป็นกระทิงหรือหมี

ตลาดกระทิง มักจะเกิดขึ้นนานแค่ไหนในประเทศไทย?

ระยะเวลาของตลาดกระทิงไม่มีกำหนดที่แน่นอน โดยทั่วไปอาจอยู่ได้ตั้งแต่ไม่กี่เดือนไปจนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน บางช่วงอาจเป็นตลาดกระทิงที่ยาวนาน เช่น หลังวิกฤตซับไพรม์ หรือบางช่วงอาจเป็นเพียงการฟื้นตัวระยะสั้น

นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นลงทุนอย่างไรในช่วงตลาดกระทิง?

นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และทำความเข้าใจความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ควรเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่สูงมากนัก เช่น กองทุนรวม หรือลงทุนแบบ DCA ในหุ้นพื้นฐานดี เพื่อลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดผิดพลาด และหลีกเลี่ยงการไล่ซื้อหุ้นที่ราคาปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว

ตลาดกระทิง มีผลต่อราคา Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีใน Bitkub อย่างไร?

ในตลาดกระทิง นักลงทุนมักจะมีความกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงคริปโตเคอร์เรนซีด้วย ทำให้ราคา Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มซื้อขายในไทยอย่าง Bitkub ก็จะเห็นปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงมาก ควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง

สัญญาณใดบ้างที่บ่งชี้ว่าตลาดกระทิงใกล้จะจบลง?

  • **การขึ้นดอกเบี้ย:** ธนาคารกลางเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งอาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ
  • **ภาวะฟองสบู่:** ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานรองรับ
  • **ความกังวลเศรษฐกิจ:** สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว เช่น GDP ลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
  • **ข่าวร้ายที่ตลาดไม่ตอบรับ:** แม้มีข่าวร้าย แต่ราคาหุ้นยังคงนิ่งหรือปรับขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงความมั่นใจที่เริ่มลดลง
  • **พฤติกรรมนักลงทุน:** นักลงทุนรายย่อยแห่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างบ้าคลั่ง หรือมีข่าวลือต่างๆ มากมายในตลาด

การลงทุนในทองคำยังน่าสนใจอยู่หรือไม่ในช่วงตลาดกระทิง?

ในตลาดกระทิงที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง ทองคำอาจได้รับความสนใจน้อยลง เนื่องจากนักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการกระจายความเสี่ยง และเป็นหลักประกันในพอร์ตการลงทุน หากตลาดมีการปรับฐานหรือเกิดความไม่แน่นอนขึ้น ทองคำก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย

รัฐบาลไทยหรือธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายใดที่ส่งผลต่อตลาดกระทิงบ้าง?

นโยบายของรัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดกระทิง เช่น นโยบายการคลัง (การใช้จ่ายภาครัฐ, การลดภาษี) และนโยบายการเงิน (การปรับอัตราดอกเบี้ย, การอัดฉีดสภาพคล่อง) หากนโยบายเหล่านี้กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่น ก็จะส่งผลดีต่อตลาด และหนุนให้เกิดตลาดกระทิงได้

เราจะหลีกเลี่ยงการติดดอย (ซื้อหุ้นราคาสูงสุด) ในช่วงตลาดกระทิงได้อย่างไร?

  • **มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน:** กำหนดจุดเข้าซื้อและจุดขายทำกำไรล่วงหน้า
  • **ไม่ไล่ราคา:** หลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นแรงๆ อย่างไม่มีเหตุผล
  • **ศึกษาพื้นฐาน:** เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน ไม่ใช่ซื้อตามกระแส
  • **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ทุ่มเงินทั้งหมดไปที่หุ้นตัวเดียว
  • **บริหารเงินลงทุน:** แบ่งเงินลงทุนเป็นไม้ๆ ทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว

การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ยังคงมีประสิทธิภาพในตลาดกระทิงหรือไม่?

การลงทุนแบบ DCA ยังคงมีประสิทธิภาพแม้ในตลาดกระทิง เพราะช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับการจับจังหวะตลาด และยังคงสามารถสะสมสินทรัพย์ได้อย่างสม่ำเสมอในราคาเฉลี่ย ถึงแม้ในช่วงที่ราคาขึ้นสูงก็ยังได้ซื้อในบางส่วน และหากมีการปรับฐานลง การซื้อในรอบถัดไปก็จะได้ต้นทุนที่ถูกลง ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม

ตลาดกระทิง กับภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

ตลาดกระทิงมักจะมาพร้อมกับเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในประเทศไทยได้ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดกระทิงชะลอตัวลงได้ในอนาคต

ควรขายหุ้นเมื่อใดในตลาดกระทิงเพื่อทำกำไรสูงสุด?

ไม่มีใครสามารถจับจังหวะการขายที่จุดสูงสุดได้อย่างแม่นยำ การตัดสินใจขายควรขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนส่วนบุคคลและเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาจพิจารณาขายเมื่อ:

  1. ราคาถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
  2. ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรืออุตสาหกรรมเปลี่ยนไปในทางลบ
  3. มีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดกำลังจะกลับตัวเป็นขาลง
  4. ต้องการนำกำไรไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว

การทยอยขายทำกำไรเป็นส่วนๆ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการล็อคกำไรบางส่วน

發佈留言