ตลาดกระทิง คืออะไร? ทำความเข้าใจ Bull Market เบื้องต้น
ตลาดกระทิง หรือที่รู้จักในชื่อ Bull Market คือระยะเวลาที่ตลาดการเงินทั้งหุ้น คริปโตเคอร์เรนซี หรือสินทรัพย์อื่นๆ แสดงแนวโน้มราคาที่พุ่งสูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอและครอบคลุม สิ่งนี้สะท้อนถึงความรู้สึกเชิงบวกในวงการลงทุนและความมั่นใจที่เพิ่มพูนของผู้เข้าร่วมตลาด ชื่อเรียกนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากพฤติกรรมของวัวกระทิงที่ใช้เขาแทงขึ้นด้านบน คล้ายกับการที่ราคาในตลาดทะยานขึ้นสู่จุดสูงใหม่ ช่วงเวลานี้มักเกิดขึ้นควบคู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การลดลงของอัตราการว่างงาน และผลประกอบการที่สดใสของธุรกิจต่างๆ ซึ่งจุดประกายให้ผู้ลงทุนกล้าที่จะทุ่มเทมากยิ่งขึ้น

ในบริบทของไทย ดัชนี SET Index ก็เคยเผชิญกับหลายช่วงเวลาที่ชี้ชัดถึงตลาดกระทิง ซึ่งมักสอดคล้องกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือกระแสเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลบ่าเข้ามา ส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดไทยขยับขึ้นอย่างน่าประทับใจ การทำความรู้จักกับแนวคิดพื้นฐานของตลาดกระทิงจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกประเภท โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในประเทศไทยและมุ่งหวังจะวางกลยุทธ์การลงทุนให้เฉียบแหลมยิ่งขึ้น
สัญญาณและลักษณะสำคัญของ ตลาดกระทิง
เพื่อให้ทราบว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะกระทิงหรือไม่ นักลงทุนสามารถสังเกตจากสัญญาณและคุณสมบัติหลักๆ ได้หลายด้าน ซึ่งช่วยให้มองเห็นภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

- ราคาหุ้นและดัชนีหลักทรัพย์ที่ขยับขึ้นไม่หยุดยั้ง: นี่คือตัวบ่งชี้ที่เด่นชัดที่สุด โดยเฉพาะดัชนีหลักอย่าง SET Index ที่มักทะลุจุดสูงสุดเดิมหรือเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นที่มั่นคง นานหลายเดือนหรือหลายปีติดต่อกัน
- ปริมาณการซื้อขายที่พุ่งสูง: เมื่อความมั่นใจแผ่ขยาย นักลงทุนจะเข้ามามีส่วนร่วมอย่างคึกคัก ส่งผลให้ยอดซื้อขายในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ผลประกอบการของบริษัทที่สดใสขึ้น: บริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่เผชิญกับการเติบโตที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจที่รุ่งเรือง ซึ่งเป็นรากฐานที่หนุนราคาหุ้นให้ปรับตัวสูง
- เศรษฐกิจที่ขยายตัวและการว่างงานที่ลดลง: โดยปกติ ตลาดกระทิงจะปรากฏในยุคที่เศรษฐกิจของชาติกำลังเบ่งบาน อัตราการว่างงานต่ำ และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่พุ่งปรี๊ด: ผู้ลงทุนส่วนใหญ่รู้สึกมองโลกในแง่ดี มีความกระฉับกระเฉงในการเข้ามาลงทุน และมองเห็นโอกาสทำกำไรที่ชัดเจน
- การเสนอขายหุ้นใหม่หรือ IPO ที่เพิ่มจำนวน: ธุรกิจต่างๆ ชอบเลือกช่วงนี้ในการระดมทุน เนื่องจากสามารถเสนอหุ้นในราคาที่สูงและดึงดูดความสนใจจากตลาดได้ง่าย
องค์ประกอบเหล่านี้รวมพลังกัน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน และขับเคลื่อนตลาดให้ไหลไปในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง
ตลาดกระทิง vs ตลาดหมี: ความแตกต่างที่นักลงทุนควรรู้

การแยกแยะระหว่างตลาดกระทิงกับตลาดหมีถือเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจลงทุน เพื่อให้เห็นภาพที่เปรียบเทียบได้ง่าย ข้อมูลหลักๆ สามารถสรุปไว้ในตารางดังนี้
คุณสมบัติ | ตลาดกระทิง (Bull Market) | ตลาดหมี (Bear Market) |
---|---|---|
ทิศทางราคา | ราคาหุ้นและสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง | ราคาหุ้นและสินทรัพย์ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง |
ตลาดอารมณ์ | นักลงทุนมีความเชื่อมั่น, มองโลกในแง่ดี, กระตือรือร้น | นักลงทุนมีความกังวล, มองโลกในแง่ร้าย, ขาดความมั่นใจ |
ปริมาณการซื้อขาย | สูง, โดยเฉพาะในช่วงที่ราคากำลังพุ่งขึ้น | ต่ำลง, แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยก็มักจะไม่มีวอลุ่มรองรับ |
ปัจจัยเศรษฐกิจ | เติบโต, การว่างงานต่ำ, กำไรบริษัทดีขึ้น | ชะลอตัว, ถดถอย, การว่างงานสูง, กำไรบริษัทลดลง |
กลยุทธ์ที่นิยม | ซื้อและถือ, ซื้อเมื่อย่อตัว, ลงทุนในหุ้นเติบโต | ขายชอร์ต, ถือเงินสด, ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย |
ลักษณะการโจมตี | วัวกระทิงช้อนเขาขึ้น (ราคาขึ้น) | หมีตะปบลง (ราคาลง) |
การเปลี่ยนผ่านจากตลาดกระทิงสู่ตลาดหมี หรือกลับกัน มักถูกกระตุ้นจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือปัจจัยสำคัญที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดังนั้น การเตรียมตัวรับมือกับทั้งสองสถานการณ์จึงเป็นหัวใจของการลงทุนที่ยั่งยืน
ผลกระทบของ ตลาดกระทิง ต่อการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ
ภาวะตลาดกระทิงส่งผลกระทบต่อประเภทสินทรัพย์ที่หลากหลายในรูปแบบที่แตกต่างกันไป นักลงทุนควรพิจารณาถึงผลลัพธ์เหล่านี้เพื่อปรับแต่งกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
- หุ้น: หุ้นได้รับผลดีโดยตรงและเด่นชัดที่สุดในช่วงนี้ ราคาหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ผลประกอบการที่เติบโต และการประเมินมูลค่าที่สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเติบโตที่มักเปล่งประกายเป็นพิเศษ
- คริปโตเคอร์เรนซี: ตลาดคริปโตอย่าง Bitcoin และ Ethereum แม้จะผันผวนสูงกว่าตลาดหุ้น แต่ก็มักตอบสนองเชิงบวกต่อกระแสตลาดกระทิง โดยเฉพาะเมื่อนักลงทุนกล้าที่จะเสี่ยงมากขึ้น ในไทย แพลตฟอร์มอย่าง Bitkub ก็จะเห็นยอดซื้อขายที่คึกคักในช่วงดังกล่าว
- ทองคำ: ทองคำมักถูกจัดเป็นสินทรัพย์หลบภัยที่นักลงทุนหันไปถือครองในยามเศรษฐกิจไม่แน่นอน แต่ในตลาดกระทิงที่ความเชื่อมั่นสูงและผู้ลงทุนไล่ล่าผลตอบแทนที่มากกว่า ราคาทองคำอาจไม่พุ่งแรงเท่าสินทรัพย์อื่นๆ หรือบางครั้งอาจปรับตัวลงเล็กน้อย เมื่อเงินทุนไหลไปยังตัวเลือกที่ให้ผลดีกว่า
- อสังหาริมทรัพย์: ช่วงตลาดกระทิงมักมาพร้อมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยหนุนตลาดอสังหาฯ ทางอ้อม ราคาที่อยู่อาศัยและที่ดินมีแนวโน้มสูงขึ้นจากกำลังซื้อที่เพิ่ม อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และความต้องการทั้งเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนที่ขยายตัว
แม้ในช่วงที่ตลาดรุ่งเรือง การกระจายพอร์ตลงทุนให้ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภทก็ยังเป็นแนวทางที่ชาญฉลาด เพื่อรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลง
กลยุทธ์การลงทุนและข้อควรระวังใน ตลาดกระทิง สำหรับนักลงทุนไทย
ถึงแม้ตลาดกระทิงจะเปิดโอกาสทำกำไรเพียบ แต่สำหรับนักลงทุนในไทย การมีแผนการที่รัดกุมและคำเตือนที่ชัดเจนจะช่วยปกป้องผลประโยชน์และลดความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
- ลงทุนระยะยาว: นี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถือครองบริษัทที่มีรากฐานมั่นคง วิธีถัวเฉลี่ยต้นทุนหรือ DCA ยังคงใช้ได้ผลดี แม้ตลาดจะขาขึ้น ช่วยให้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ต้องกังวลเรื่องจังหวะที่ผิดพลาด
- กระจายการลงทุน: แม้ตลาดจะสดใส แต่การแบ่งเงินไปยังสินทรัพย์หลากหลาย เช่น หุ้น กองทุนรวม คริปโต หรือทองคำ จะช่วยลดผลกระทบหากมีสินทรัพย์ใดปรับฐานกะทันหัน
- ทำกำไรอย่างมีระบบ: การตั้งจุดขายที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากตลาดกระทิงไม่มีวันสิ้นสุดตลอดไป การขายบางส่วนเมื่อราคาแตะเป้าหมายจะช่วยล็อกกำไรและป้องกันการพลิกผัน
- บริหารความเสี่ยง: ใช้จุดตัดขาดทุนสำหรับทุกการลงทุน เพื่อจำกัดความสูญเสียหากตลาดไม่เป็นดังหวัง และหลีกเลี่ยงการทุ่มเงินที่เกินกว่าที่ตนเองรับไหว
- เลี่ยง FOMO: ความกลัวพลาดโอกาสคือกับดักใหญ่ในช่วงนี้ นักลงทุนอาจรีบไล่ซื้อหุ้นที่พุ่งสูง ซึ่งเสี่ยงซื้อที่จุดยอด ควรยึดติดกับแผนและลงทุนด้วยสติ
- ติดตามข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ: อัพเดทข่าวเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงนโยบายจากธนาคารแห่งประเทศไทยและ ก.ล.ต. (www.sec.or.th) เพื่อตัดสินใจบนพื้นฐานที่มั่นคง
ตัวอย่างประวัติศาสตร์ ตลาดกระทิง ในประเทศไทยและทั่วโลก
การย้อนดูตัวอย่างตลาดกระทิงในอดีตช่วยให้เข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาดได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะในระดับสากลหรือเฉพาะในไทย ซึ่งมีเหตุการณ์น่าจดจำหลายครั้ง
ตัวอย่างตลาดกระทิงทั่วโลก:
- ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสหรัฐอเมริกา (1940s-1960s): เศรษฐกิจอเมริกันฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังสงคราม นำไปสู่ตลาดกระทิงที่ยาวนานหลายสิบปี
- ฟองสบู่ดอทคอม ปลายทศวรรษ 1990s: หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกรับความนิยมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะบริษัทอินเทอร์เน็ต แม้หลายแห่งยังไม่ทำกำไร แต่ความหวังในอนาคตดึงดูดนักลงทุน ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกในปี 2000
- ตลาดกระทิงหลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 (2009-2020): หลังวิกฤตซับไพรม์และการผ่อนคลายทางการเงินจากธนาคารกลาง ตลาดหุ้นสหรัฐและโลกเข้าสู่ช่วงกระทิงที่ยาวที่สุด ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นกว่า 400% (ที่มา: Investopedia)
ตัวอย่างตลาดกระทิงในประเทศไทย:
- ปลายทศวรรษ 1980s – ต้นทศวรรษ 1990s: เศรษฐกิจไทยขยายตัวเร็ว ดึงดูดทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้น SET Index ทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จนกว่าจะมาถึงวิกฤตปี 2540
- หลังวิกฤตซับไพรม์ (2552-2556): ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวเด่น จากเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นและมาตรการกระตุ้นภายใน SET Index ขยับจากราว 400 จุด สู่กว่า 1,600 จุด (ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)
- หลังวิกฤตโควิด-19 (2563-2564): แม้เผชิญความท้าทายใหญ่ แต่มาตรการผ่อนคลายการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล รวมถึงความหวังในการฟื้นตัว ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยกลับสู่ขาขึ้นในช่วงสั้นๆ
ประสบการณ์จากอดีตเตือนใจว่า ตลาดกระทิงเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรที่หมุนเวียน และมักจบลงด้วยการปรับฐานหรือเข้าสู่ตลาดหมี ดังนั้น การไม่ประมาทจึงเป็นบทเรียนหลัก
บทสรุป: เตรียมพร้อมรับมือ ตลาดกระทิง อย่างชาญฉลาด
ตลาดกระทิงนำมาซึ่งโอกาสและความตื่นเต้นให้กับนักลงทุน แต่ก็ซ่อนความเสี่ยงไว้หากขาดการวางแผนที่รอบคอบ การเข้าใจสาระสำคัญของตลาดกระทิง สัญญาณที่บ่งบอก และความแตกต่างจากตลาดหมี เป็นพื้นฐานที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับนักลงทุนไทย การคว้าโอกาสจากช่วงนี้ต้องอาศัยแนวทางที่ละเอียดถี่ถ้วน เช่น การลงทุนยาวๆ การกระจายความเสี่ยง การทำกำไรที่เหมาะสม และการจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันความสูญเสีย การหลีกเลี่ยง FOMO และยึดมั่นในแผนส่วนตัวจะช่วยให้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืน
ตลาดการเงินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง คือกุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว ไม่ว่าตลาดจะเป็นกระทิงหรือหมี
ตลาดกระทิง มักจะเกิดขึ้นนานแค่ไหนในประเทศไทย?
ระยะเวลาของตลาดกระทิงไม่มีกำหนดที่แน่นอน โดยทั่วไปอาจอยู่ได้ตั้งแต่ไม่กี่เดือนไปจนถึงหลายปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และความเชื่อมั่นของนักลงทุน สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน บางช่วงอาจเป็นตลาดกระทิงที่ยาวนาน เช่น หลังวิกฤตซับไพรม์ หรือบางช่วงอาจเป็นเพียงการฟื้นตัวระยะสั้น
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นลงทุนอย่างไรในช่วงตลาดกระทิง?
นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน และทำความเข้าใจความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ควรเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่สูงมากนัก เช่น กองทุนรวม หรือลงทุนแบบ DCA ในหุ้นพื้นฐานดี เพื่อลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะตลาดผิดพลาด และหลีกเลี่ยงการไล่ซื้อหุ้นที่ราคาปรับขึ้นไปสูงมากแล้ว
ตลาดกระทิง มีผลต่อราคา Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีใน Bitkub อย่างไร?
ในตลาดกระทิง นักลงทุนมักจะมีความกล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงคริปโตเคอร์เรนซีด้วย ทำให้ราคา Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มซื้อขายในไทยอย่าง Bitkub ก็จะเห็นปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูงมาก ควรลงทุนด้วยความระมัดระวัง
สัญญาณใดบ้างที่บ่งชี้ว่าตลาดกระทิงใกล้จะจบลง?
- **การขึ้นดอกเบี้ย:** ธนาคารกลางเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ซึ่งอาจชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจ
- **ภาวะฟองสบู่:** ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานรองรับ
- **ความกังวลเศรษฐกิจ:** สัญญาณเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว เช่น GDP ลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
- **ข่าวร้ายที่ตลาดไม่ตอบรับ:** แม้มีข่าวร้าย แต่ราคาหุ้นยังคงนิ่งหรือปรับขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงความมั่นใจที่เริ่มลดลง
- **พฤติกรรมนักลงทุน:** นักลงทุนรายย่อยแห่เข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างบ้าคลั่ง หรือมีข่าวลือต่างๆ มากมายในตลาด
การลงทุนในทองคำยังน่าสนใจอยู่หรือไม่ในช่วงตลาดกระทิง?
ในตลาดกระทิงที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นสูง ทองคำอาจได้รับความสนใจน้อยลง เนื่องจากนักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีสำหรับการกระจายความเสี่ยง และเป็นหลักประกันในพอร์ตการลงทุน หากตลาดมีการปรับฐานหรือเกิดความไม่แน่นอนขึ้น ทองคำก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
รัฐบาลไทยหรือธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายใดที่ส่งผลต่อตลาดกระทิงบ้าง?
นโยบายของรัฐบาลไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดกระทิง เช่น นโยบายการคลัง (การใช้จ่ายภาครัฐ, การลดภาษี) และนโยบายการเงิน (การปรับอัตราดอกเบี้ย, การอัดฉีดสภาพคล่อง) หากนโยบายเหล่านี้กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่น ก็จะส่งผลดีต่อตลาด และหนุนให้เกิดตลาดกระทิงได้
เราจะหลีกเลี่ยงการติดดอย (ซื้อหุ้นราคาสูงสุด) ในช่วงตลาดกระทิงได้อย่างไร?
- **มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน:** กำหนดจุดเข้าซื้อและจุดขายทำกำไรล่วงหน้า
- **ไม่ไล่ราคา:** หลีกเลี่ยงการซื้อหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นแรงๆ อย่างไม่มีเหตุผล
- **ศึกษาพื้นฐาน:** เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีการเติบโตของกำไรที่ชัดเจน ไม่ใช่ซื้อตามกระแส
- **กระจายความเสี่ยง:** ไม่ทุ่มเงินทั้งหมดไปที่หุ้นตัวเดียว
- **บริหารเงินลงทุน:** แบ่งเงินลงทุนเป็นไม้ๆ ทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) ยังคงมีประสิทธิภาพในตลาดกระทิงหรือไม่?
การลงทุนแบบ DCA ยังคงมีประสิทธิภาพแม้ในตลาดกระทิง เพราะช่วยให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับการจับจังหวะตลาด และยังคงสามารถสะสมสินทรัพย์ได้อย่างสม่ำเสมอในราคาเฉลี่ย ถึงแม้ในช่วงที่ราคาขึ้นสูงก็ยังได้ซื้อในบางส่วน และหากมีการปรับฐานลง การซื้อในรอบถัดไปก็จะได้ต้นทุนที่ถูกลง ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ตลาดกระทิง กับภาวะเงินเฟ้อในประเทศไทยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
ตลาดกระทิงมักจะมาพร้อมกับเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในประเทศไทยได้ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดกระทิงชะลอตัวลงได้ในอนาคต
ควรขายหุ้นเมื่อใดในตลาดกระทิงเพื่อทำกำไรสูงสุด?
ไม่มีใครสามารถจับจังหวะการขายที่จุดสูงสุดได้อย่างแม่นยำ การตัดสินใจขายควรขึ้นอยู่กับแผนการลงทุนส่วนบุคคลและเป้าหมายที่ตั้งไว้ อาจพิจารณาขายเมื่อ:
- ราคาถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรืออุตสาหกรรมเปลี่ยนไปในทางลบ
- มีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดกำลังจะกลับตัวเป็นขาลง
- ต้องการนำกำไรไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น หรือเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว
การทยอยขายทำกำไรเป็นส่วนๆ ก็เป็นกลยุทธ์ที่ดีในการล็อคกำไรบางส่วน